สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 209 ฮุ่ยหยวน!
บทที่ 209 ฮุ่ยหยวน!
กั๋วจื่อเจียนทราบข่าวเรื่องการประกาศผลสอบตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้พวกเขาจึงประกาศหยุดการเรียนการสอนแก่ชั้นเรียนทั้งหก
ส่วนชั้นเรียนปฐมวัยยังคงดำเนินการเรียนการสอนตามเดิม
เพราะก่อนหน้านี้เซียวลิ่วหลังกับเสี่ยวจิ้งคงมักจะหยุดเรียนพร้อมกัน บ้างก็เสี่ยวจิ้งคงหยุดเรียนแต่เซียวลิ่วหลังไม่หยุด ครั้งนี้กลายเป็นว่าเสี่ยวจิ้งคงต้องไปเรียนคนเดียว จึงรู้สึกไม่พอใจ
“ใครหน้าไหนกล้ามาบอกว่าชั้นเรียนปฐมวัยไม่ต้องหยุดเรียน ข้าน่ะอยากรู้ใจจะขาดว่าเจ้านั่นสอบได้ที่เท่าไหร่” เสี่ยวจิ้งคงถือกระเป๋าหนังสือ มือข้างหนึ่งไขว้หลัง โน้มตัวเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย และเดินออกไปตามทางที่ตาเฒ่าจ้าวชอบไปเดินเล่น
ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวจิ้งคงขมวดเป็นจุดเดียว ถอนหายใจ ราวกับคนกลัดกลุ้ม
เป็นภาพที่ตาเฒ่าจ้าวไม่อยากจะเห็นมากที่สุด
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ร้อนใจเท่าใดนัก เซียวลิ่วหลังกลับมุ่งหน้าไปยังย่านบ่อนพนัน เพื่อดูว่าเขาชนะหรือไม่
ส่วนเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ไปรอที่หน้าประตูสนามสอบตั้งแต่ช่วงดึกของเมื่อวาน
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีผู้เข้าสอบอีกไม่น้อยที่มายืนรออย่างใจจจดใจจ่อ
รุ่งเช้า ประตูบานใหญ่ของสนามสอบถูกเปิดออก ทหารยามสองนายเดินออกมาแล้วติดประกาศบนผนัง
ด้วยความที่ช่วงประกาศผลสอบมักตรงกับช่วงที่ต้นลูกพลัมบานสะพรั่ง พวกเขาเลยตั้งฉายาให้ผลการสอบว่าผลลูกพลัม
เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่เป็นคู่แรกที่พุ่งตัวเข้าไปดู
พวกเขาไล่ดูรายชื่อตั้งแต่อันดับหนึ่งไปจนถึงท้าย
“ไม่น่าใช่มั้ง”
ทั้งสองโพล่งขึ้นพร้อมๆ กัน
เซียวลิ่วหลัง ได้อันดับหนึ่ง
แต่ไม่ได้มีเซียวลิ่วหลังแค่คนเดียว
ยังมีอันจวิ้นอ๋องอีกด้วย!
มีคนได้ที่หนึ่งถึงสองคน!
นี่แหละคือเหตุผลที่หนุ่มๆ ทั้งสองต่างพากันตกตะลึง คนอื่นอาจไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเซียวลิ่วหลัง มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้
แต่กระนั้น อันจวิ้นอ๋องก็เป็นคนเก่งอีกคน ซ้ำยังมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งและเหนือกว่าเซียวลิ่วหลัง ดังนั้นการที่อันจวิ้นอ๋องได้ที่หนึ่งจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ที่น่าแปลกใจที่สุดคือพวกเขาดันได้ที่หนึ่งเหมือนกันนี่สิ
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแคว้นจ้าว
ที่จริงแล้ว เรื่องนี้มีที่มาที่ไป
ในการสอบฮุ่ยซื่อ คนที่ทำคะแนนออกมาได้ดีในทุกด่านจึงจะมีสิทธิ์ได้เป็นฮุ่ยหยวน และโดยทั่วไปแล้ว กรรมการข้าหลวงทั้งหลายจะไม่มีทางให้คะแนนดีหมดพร้อมกันถึงสองคน พูดง่ายๆ คือ ฮุ่ยหยวนจะต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
การสอบครั้งนี้ต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
จะโทษก็ต้องโทษข้าหลวงคนนั้นที่ขโมยข้อสอบของอันจวิ้นอ๋อง เพราะว่าข้อสอบของเซียวลิ่วหลังถูกตรวจก่อนของอันจวิ้นอ๋อง
พวกเขาเลือกกระดาษคำตอบสองร้อยอันดับแรกที่ทำได้ดีที่สุดและส่งมอบให้กับประธานและรองประธานอีกสองคน
การตรวจข้อสอบนั้นไม่ได้แยกเป็นแต่ละด่าน แต่จะตรวจรวมกันและลงหมายเลขเอาไว้
ในบรรดาสองร้อยชุดนั้นย่อมต้องมีหนึ่งชุดที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดในข้อสอบทุกด่าน
เมื่อข้อสอบชุดที่ดีที่สุดไปถึงมีประธานและรองประธานกรรมการสอบ พวกเขาก็ได้ให้คะแนนเพิ่มไปอีก
พวกเขาตกตะลึงกับความสามารถของผู้เข้าสอบ
ด้วยความที่รองประธานเป็นลูกศิษย์ของราชครูจวง ดังนั้นพวกจึงโน้มเอนไปทางอันจวิ้นอ๋อง และก่อนหน้าที่จะมาตรวจข้อสอบ พวกเขาก็ได้ศึกษาแนวทางการเขียนคำตอบของอันจวิ้นอ๋องมาอย่างดี
ว่ากันตามตรง พอพวกเขาเห็นข้อสอบชุดนั้น พวกเขารู้ในทันทีว่านั่นไม่ใช่ของอันจวิ้นอ๋อง
แต่จะทำอย่างไรใด้ ผู้เข้าสอบคนนี้เขียนคำตอบออกมาได้สมบูรณ์แบบยิ่งนัก เรียกได้ว่าเหนือชั้นเลยทีเดียว
นอกจากอันจวิ้นอ๋องแล้ว ก็ไม่มีใครเขียนเรียงความได้ดีขนาดนี้แล้ว
ต่อให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเช่นไร แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยอมให้คะแนนเต็มกับข้อสอบชุดนี้
ดังนั้น ข้อสอบของเซียวลิ่วหลังจึงกลายเป็นข้อสอบที่ได้คะแนนเยอะที่สุดในรอบนี้
พอมาถึงวันสุดท้ายของการตรวจ ได้มาเจอกับข้อสอบของอันจวิ้นอ๋องพวกกรรมการก็ถึงกับหน้าหงาย แม้จะไม่อยากยอมรับความความจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชุดนี้ต่างหากคือข้อสอบของอันจวิ้นอ๋อง!
แล้วถ้าข้อสอบชุดนี้เป็นของอันจวิ้นอ๋อง แล้วก่อนหน้าล่ะ เป็นของใคร!
ขณะที่กำลังมึนงงกันอยู่ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
พวกเขาจึงจำต้องให้ข้อสอบของอันจวิ้นอ๋องชุดนี้เป็นคะแนนที่ดีที่สุดไปด้วยเหมือนกัน
ถ้าเป็นสมัยก่อน หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาจะต้องนำคะแนนและชุดข้อสอบของทั้งคู่เข้าไปยังราชสำนักเพื่อทำการตรวจสอบ
ซึ่งจะไม่มีการเปิดเผยชื่อของผู้เข้าสอบแต่อย่างใด มีเพียงแค่หมายเลขประจำชุดข้อสอบเท่านั้น
แต่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นของอันจวิ้นอ๋องอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรข้อสอบเสร็จ ทรงมิได้มีคำสั่งอันใด เพียงแต่เรียกราชครูจวงมาเข้าเฝ้าแล้วให้ราชครูจวงช่วยตัดสินใจก็เท่านั้น
ราชครูจวงได้แต่ถอนหายใจในใจ พลางนึก ไม่เห็นจะน่าเลือกตรงไหน ไฉนจู่ๆ ถึงมีคนที่ขึ้นมาทัดเทียมได้กับหลานชายของเขาได้เสียนี่
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาตรวจข้อสอบทั้งสองฉบับด้วยความรังเกียจ เขาก็พูดไม่ออกในทันใด
เขาเป็นญาติผู้ใหญ่แท้ๆ ของอันจวิ้นอ๋อง ย่อมต้องรู้รูปแบบการเขียนของหลานตัวเองดีที่สุด
“ต้องให้เรียกข้าหลวงคนอื่นๆ มาช่วยดูหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
ราชครูจวงยื่นมือคำนับก่อนตอบ “ไม่จำเป็นพ่ะย่ะค่ะ ให้เป็นไปตามพินิจพิเคราะห์ของพระองค์เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจ “ข้าว่ามันก็ดีทั้งคู่นั่นแหละ ก็ให้เป็นที่หนึ่งคู่กันไปเลย ราชครูว่าอย่างไร”
ราชครูจวงน้อมรับ “ทรงพระปรีชายิ่งนัก”
ราชครูจวงถึงขั้นยอมให้อีกฝ่ายได้ที่หนึ่งพร้อมกันกับหลานชายตนเอง แสดงให้เห็นว่าข้อสอบอีกชุดนั้นไร้ที่ติจริงๆ
โจมตีแทบไม่ได้เลย
ตราบใดที่มีประเด็นที่โต้แย้งได้ ราชครูจวงไม่มีทางยอมแน่นอน
เพียงแต่ ฮ่องเต้เองก็มิอาจกำราบอันจวิ้นอ๋องได้ในคราวเดียว
เพราะทุกวันนี้อำนาจข้าหลวงในวังอยู่ในเงื้อมมือของราชครูจวง
ตัดภาพมาที่อีกมุมหนึ่งของวัง เสียงของชายสองคนดังมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่
“ไหนว่าให้คนไปหยิบออกมาแล้วไง ไฉนถึงเป็นแบบนี้เฉยเลย”
“ใต้เท้าเถิงบอกว่า เขาเอาข้อสอบของอันจวิ้นอ๋องไปซ่อนแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้อสอบของอันจวิ้นอ๋องถึงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเองยังสงสัยว่าหรือเพราะโดนผีอำกันแน่”
“บนโลกนี้มีผีเสียที่ไหน”
“หากไม่ใช่ผี ก็ต้องเป็นคน แล้วเหตุใดเขาถึงไม่เปิดโปงใต้เท้าเถิงล่ะ”
“นั่นน่ะสิ”
“ถ้าอย่างนั้น…แผนการต่อไปเล่า”
“แผนการต่อไปอะไรอีกเล่า คะแนนก็ประกาศออกมาแล้ว คิดหรือว่าเขาจะจัดสอบใหม่อีกรอบน่ะ”
เดิมที แผนการของพวกเขาคือขโมยข้อสอบของอันจวิ้นอ๋อง และด้วยอำนาจของตระกูลจวงอย่างไรแล้วคงตามจับผู้กระทำได้ไม่ยาก และจะต้องขอให้ราชสำนักจัดสอบใหม่อย่างแน่นอน
ตอนสอบชุนเหว่ยรอบแรก พวกเขายังไม่คิดจะลงมือ แต่เป็นเพราะพวกเขาดันมาล่วงรู้จุดอ่อนของอันจวิ้นอ๋องสองวันก่อนการสอบจะเริ่ม
ก็เลยเลือกใช้วิธีที่จะทำให้เกิดการสอบใหม่ขึ้นอีกครั้งแทน เพื่อที่จะให้เวลาสอบเลื่อนออกไป พอตกกลางคืน อันจวิ้นอ๋องจะได้ทำข้อสอบไม่ได้ก็เลยตกรอบไป
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
เซียวลิ่วหลังและอันจวิ้นอ๋องได้เป็นฮุ่ยหยวนพร้อมกัน บ่อนหอชิงเฟิงถึงกับขาดทุนกันยับเลยทีเดียว
ส่วนกู้เจียวนั้นก็ประสบความสำเร็จในการแปลงเงินหนึ่งพันตำลึงให้กลายเป็นเงินหนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึง!
ชาวบ้านตรอกปี้สุ่ยต่างพากันลงเงินให้เซียวลิ่วหลังเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเขาก็สอบได้อันดับหนึ่งจริงๆ แม้อันดับหนึ่งจะมีด้วยกันถึงสองคนก็ตาม แต่ที่หนึ่งก็คือที่หนึ่ง หอชิงเฟิงจะไม่ยอมจ่ายเงินให้ก็คงไม่ได้
หอชิงเฟิงแทบล้มละลาย
ทุกคนพอได้เงินมา ก็รีบพุ่งเข้ามาหาหญิงชราเพื่อเล่นไพ่นกกระจอก
หญิงชรานึกในใจ อืม ดีมาก มีเงินกันแล้วสินะ หมูที่กินอิ่ม ย่อมพร้อมจะให้เชือด!
เงินทั้งหมดนี้ต้องเป็นของข้า!
ส่วนจี้จิ่วอาวุโสที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ขณะกำลังก้าวเท้าลงจากรถม้า ก็ถูกหญิงชราลากคอเสื้อไปที่เรือนขอนายใหญ่จ้าวและคุณนายใหญ่จ้าวเพื่อเล่นไพ่!
แน่นอนว่าหน้าที่ของจี้จิ่วอาวุโสก็คือคอยนับเงินให้นาง!
เฝิงหลินเองก็สอบติดกับเขาเหมือนกัน เรียกได้ว่าแทบจะหลุดอันดับ เพราะครั้งนี้เขาสอบได้ที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกจากผู้สอบทั้งหมดสองร้อยสิบคน
ช่วงสอบระดับมณฑล เขาคืออันดับที่สิบเจ็ดของโยวโจว แต่พอมาที่เมืองหลวงแห่งนี้ กลับตกไปอยู่ที่อันดับร้อยกว่าๆ เสียอย่างนั้น มันช่างน่าปวดใจยิ่งนัก
แต่กระนั้น ครั้งนี้ก็ถือว่าเขาทำได้ดีเลยทีเดียว คนที่เคยสอบได้อันดับก่อนหน้าเขาตั้งหลายคนพอมาครั้งนี้ก็หลุดโผไปเยอะเหมือนกัน
นี่สินะ การแข่งขันระดับเทพ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
หลินเฉิงเย่เองก็สอบได้เช่นกัน คะแนนของเขาไม่เลวเลยทีเดียว อันดับที่ได้คือหนึ่งร้อยยี่สิบสาม
ตอนสอบระดับมณฑลเขาเคยได้ที่สี่สิบห้าจากห้าสิบคน ซึ่งก็เกือบจะตกรอบไปแล้ว
หลินเฉิงเย่ดีใจแทบบ้า เงินค่าเรียนหนึ่งพันกว่าตำลึงไม่สูญเปล่าเลยจริงๆ ท่านอาจารย์ลิ่วหลังเก่งมากเลย!
เฝิงหลินยืนพยักหน้าพลางมองที่เขา นี่สินะ คนมีกะตัง!
ส่วนตู้รั่วหานติดหนึ่งในสิบห้าคน
ซึ่งผลที่ได้ห่างจากความตั้งใจของเขาไปหน่อย เดิมตู้รั่วหานนึกว่าตัวเองน่าจะติดสักหนึ่งในสิบ แต่ได้เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้ว เพราะเป็นการสอบทั้งแคว้น มีแต่คนเก่งๆ มารวมตัวกัน เป็นการจัดสอบสามปีต่อครั้ง
ตู้รั่วหานไม่ใช่คนที่มักใหญ่ใฝ่สูงแล้วก็ไม่ใช่คนที่ทะนงตน เขายอมรับกับสิ่งที่เกิดได้อย่างรวดเร็ว และพึงพอใจกับคะแนนที่ได้มา
แน่นอนว่า ที่การสอบครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดีส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กู้เจียว เพราะหากไม่ได้ยาของนาง เกรงว่าเขาคงได้ถูกหามออกจากห้องสอบตั้งแต่ด่านแรกแล้ว
เพราะการสอบชุนเหว่ยนั้นไม่ง่ายเลย ต่างจากการสอบระดับตำบลและอำเภอโดยสิ้นเชิง ทุกคนมาด้วยฝีมืออันเก่งกาจ คะแนนเชือดเฉือนกันข้อต่อข้อ จุดต่อจุด ดุเดือดและเข้มข้นมาก
ในคืนวันนั้น ตู้รั่วหานถือถุงเล็กถุงใหญ่เดินเข้าไปในตรอกปี้สุ่ย
หลังจากที่มีข่าวว่าเซียวลิ่วหลังสอบได้อันดับหนึ่ง ที่เรือนก็เรียกได้ว่าหัวบันไดไม่เคยแห้งอีกเลย
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่เองก็มาสมทบด้วย
พอพวกเขาเห็นว่าตู้รั่วหานมาหา เซียวลิ่วหลังมิได้ทำหน้าประหลาดใจอย่างใดที่เห็นเขา แต่ของที่เขาแบกมาด้วยนี่สิ
เซียวลิ่วหลังเห็นว่าเขาแทบจะถือไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกเกรงใจ “ก็แค่สอบฮุ่ยหยวนได้เอง ไม่เห็นต้องทำใหญ่โตขนาดนี้…”
“เจียวเหนียง! ข้ามาแล้ว!” ตู้รั่วหานพุ่งตัวเข้าไปในเรือนด้วยความตื่นเต้น
เหมือนกันกับเจ้าเฝิงหลินไม่มีผิด
เซียวลิ่วหลังหน้าดำคร่ำเครียด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับความฝันของกู้เจียว การที่เซียวลิ่วหลังสอบได้ที่หนึ่งนับว่าเป็นการสร้างตำนานบทใหม่ แถมยังขึ้นอันดับหนึ่งคู่กันกับอันจวิ้นอ๋องด้วย นั่นทำให้ชื่อเสียงและมูลค่าของเขาพุ่งสูงขึ้น
เด็กชนบทที่สอบได้อันดับเดียวกับอันจวิ้นอ๋อง สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้คนมากนัก
ข่าวนี้แพร่กระจายเร็วกว่าตอนที่เกิดเรื่องระเบิดที่กรมโยธาเสียอีก ใช้เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น ข่าวนี้ก็ได้กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูเซวียนผิงโหวแล้วเช่นกัน
เซวียนผิงโหวที่เพิ่งได้ยินข่าว แสดงสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ “ใครสอบได้ที่หนึ่งกันนะ”
“คุณชายน้อยอย่างไรเล่าขอรับ!” ผู้ดูแลหลิวยิ้มร่าด้วยความดีใจ
เพราะเขาวางพนันชื่อของเซียวลิ่วหลัง และชนะเงินมาหนึ่งร้อยตำลึง!
เป็นฝีมือของกู้เจียว ตอนนั้นที่วางเงินก็คิดอยู่หรอกว่าต้องเข้าเนื้อแน่ๆ แต่พอผลออกมาเช่นนี้ ก็สบายใจหายห่วงไปหลายเปลาะ
จะว่าไปแล้วก็แอบเสียดายอยู่ไม่น้อย รู้อย่างนี้วันนั้นเขาลงเงินเยอะกว่านี้เสียดีกว่า
เซวียนผิงโหวทำหน้าสงสัย พลางนึก นี่เขาเก่งถึงเพียงนั้นเชียวรึ ลูกชายของเขาเป็นอัจฉริยะอีกแล้วรึ!
ไฉนถึงรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลกันนะ!
“เอ๊ะ แล้วเหตุใดท่านจะให้กำเนิดบุตรชายที่เป็นอัจฉริยะไม่ได้เล่าขอรับ เสี่ยวโหวเหย่ฉลาดมากเลยมิใช่หรือ”
เซวียนผิงโหวรู้ตัวเขาเองดี ที่เซียวเหิงเป็นเด็กฉลาดไม่ใช่เพราะได้เขามาหรอก เพราะถ้าใช่จริงๆ เกรงว่าคงไม่ออกมาเรียบร้อยขนาดนี้
เซียวเหิงน่ะได้มารดาเขามาต่างหาก ทั้งฉลาด ทั้งละเอียดรอบคอบ เป็นเด็กใฝ่รู้
แล้วเด็กคนนี้ไปได้ใครมากันนะ เฉินอวิ๋นเหนียงงั้นรึ แม้นางจะเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารี แต่ไม่ใช่คนมีสมองเสียทีเดียว
เซวียนผิงโหวเอ่ยด้วยท่าทีขึงขัง “ไปตามนักปราชญ์เก่าๆ มาให้หมด แล้วก็ กระดาษคำตอบของเซียวลิ่วหลังด้วย”
โดยปกติแล้วข้อสอบของทุกคนจะถูกเก็บไว้อย่างดี ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้
เพียงแต่ เซวียนผิงโหวมิใช่คนทั่วไป และคนอย่างเขาหาใช่คนไม่
พอผู้ดูแลหลิวได้กระดาษคำตอบของเซียวลิ่วหลังมาอยู่ในมือแล้ว ฉังจิ่งเองก็ตามนักปราชญ์เฒ่าชนิดที่ว่าผมขาวเดินโซเซมาจนได้
เซวียนผิงโหววานให้นักปราชญ์เฒ่าช่วยเปรียบเทียบกระดาษคำตอบของเซียวลิ่วหลังกับกระดาษเรียงความที่เซียวหังเขียนไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
ทั้งสองชุด พอเอามาเทียบกัน สร้างความตกใจให้นักปราชญ์เฒ่าเป็นอย่างมาก
“ทั้งสองชุดนี้ ใช่ผู้เขียนคนเดียวกันหรือไม่” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม
“มิใช่ขอรับ”
“ดูแวบแรกก็รู้แล้วว่ามิใช่”
เหล่านักปราชญ์เฒ่าส่ายหัว
“พวกท่านแน่ใจนะ” เซวียนผิงโหวเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจ
“ท่านโหวขอรับ หากพวกเราไม่แน่ใจ เช่นนั้นทุกอย่างที่พวกเราเคยเรียนมาคงสูญเปล่า ทั้งสองชุดนี้ นอกจากลายมือจะไม่เหมือนกันแล้ว วิธีการเขียนและวิธีการคิดยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
คนหนึ่งขาว คนหนึ่งดำ
วิธีการเขียนของเซียวเหิงเปรียบเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนเซียวลิ่วหลังนั้นกลับเหมือนพายุหิมะในฤดูหนาว
หากเป็นคนเดียวกันอย่างที่ว่า จะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวและความทุกข์ระทมมามากเพียงใดกันนะ