สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 252.3 การสอบหน้าพระที่นั่ง (3)
บทที่ 252 การสอบหน้าพระที่นั่ง (3)
“เริ่มสอบได้” ประโยคเอ่ยเตือนของซ่างซูแห่งกรมพิธีการดังขึ้น เหล่าผู้เข้าสอบถึงได้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความฝัน พากันหยิบกระดาษร่างขึ้นมาเริ่มแก้โจทย์
หากถามว่าความยากของการสอบคราวนี้อยู่ที่ใด คงจะเป็นเรื่องของระยะเวลาที่มีเพียงสองชั่วยามเท่านั้น
ทว่าด้วยโจทย์ที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก เวลาเพียงเท่านี้ถือว่าเพียงพอแล้ว แม้แต่เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ยังไม่รู้สึกกดดันสักเท่าไหร่
การสอบย่อยนั้นไม่เก็บคะแนน เป้าหมายหลักของการสอบก็ไม่ใช่การคัดเลือกผู้มีความสามารถ แต่เป็นการอุ่นเครื่องก่อนสอบระดับเตี้ยนซื่อ ทั้งยังเป็นการเรียนรู้พิธีการหน้าพระพักตร์และกฎเกณฑ์ของสนามสอบ
เจ้ากรมพิธีการและเอกอัครราชทูตเป็นผู้คุมสอบร่วมกัน
เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่ลำดับที่สองนับจากท้ายของแถวแรก ตำแหน่งนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คุมสอบมากนัก เว้นเสียแต่ว่าข้างกายเขาจะมีไม้เท้าวางอยู่
เอกอักครราชทูตสังเกตเห็นไม้เท้านั้นในทันใด เขาเอ่ยกระซิบถามขันทีที่อยู่ข้างกัน “นั่นคือผู้ใด”
ขันทีนับลำดับที่เลขประจำตัวสอบของเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะมองป้ายประจำตัวในมือแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เป็นบัณฑิตคนหนึ่งจากกั๋วจื่อเจียนขอรับ”
“เหตุใดถึงเป็น…”
เอกอักครราชทูตจะพูดว่าเหตุใดถึงเป็นคนขาเป๋
ทว่าคำพูดกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากไม่ได้เปล่งออกไป
ในเมื่อรัชสมัยนี้ผ่อนปรนคุณสมบัติของการเข้าสอบขุนนางเคอจวี่ เช่นนั้นแล้วขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสำนักอย่างเขาก็สมควรน้อมนำมาปฏิบัติ
ทว่าสายตาของเอกอักครราชทูตยังคงถูกเซียวลิ่วหลังดึงดูดอย่างห้ามไม่ได้ จะโทษเขาก็คงไม่ถูก เพราะนับแต่เริ่มต้นรัชสมัยนี้ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคนขาเป๋คนไหนเขามาสอบขุนนางได้
ยิ่งสอบผ่านมาถึงระดับเตี้ยนซื่อหรือการสอบหน้าพระพักตร์เช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่
คนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าเองก็มีไม่น้อย
เจ้าหนุ่มนี่คงไม่ได้มีแผลเป็นบนใบหน้าด้วยหรอกกระมัง ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทคงตกใจแย่
เอกอักคราชทูตตั้งใจว่าจะไปดูเสียหน่อย หากหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่ว่าอย่างไรก็คงหมดคุณสมบัติ ถึงขั้นว่าไม่อาจนำกระดาษคำตอบของเขาให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรได้ หากฮ่องเต้ตกอกตกใจขึ้นมา พวกเขาคงถูกลงโทษสถานหนัก
ด้วยเหตุนี้เอกอักคราชทูตจึงเดินไปหยุดอยู่คงหน้าเซียวลิ่วหลัง
เพียงสบตา เขาก็ตกตะลึงอย่างรุนแรง
เซียวลิ่วหลังท่าทีสงบนิ่ง เขาทำข้อสอบเสร็จแล้วทว่ากลับไม่ส่งกระดาษตอบ เพราะถึงจะส่งข้อสอบแล้วเขาก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี
ช่วงบ่ายเป็นการเรียนรู้กฎระเบียบและพิธีการเข้าเฝ้า ว่ากันตามตรง ท่ามกลางบัณฑิตก้งซื่อนับร้อยชีวิต ลูกหลานคนยากคนจนมีเพียงไม่กี่คน นั่นไม่ใช่เพราะบัณฑิตยากจนไม่ขยันหมั่นเพียร แต่เป็นเพราะสิทธิ์ในการเข้าถึงการศึกษาและระบบการศึกษาที่นั้นทำให้ไม่อาจสู้กับเหล่าบัณฑิตจากตระกูลชั้นสูงได้
การที่ตระกูลหนึ่งจะฟูมฟักบัณฑิตจิ้นซื่อได้สักคนนั้นย่อมต้องทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายอย่างมหาศาล ยกตัวอย่างเช่น บัณฑิตตระกูลหยวนและบัณฑิตตระกูลจวงก็ได้ปรมาจารย์ลัทธิขงจื่ออย่างราชเลขาหยวนและราชครูจวงมาเป็นอาจารย์ พวกเขาชี้แนะเพียงไม่กี่คำก็ทำให้บัณฑิตในตระกูลกระจ่างแจ้งในตำรา
หากรองลงมาหน่อยก็คงเหมือนเช่นอัจฉริยะแห่งเจียงหนานอย่างหวังยวน ที่มาจากตระกูลบัณฑิต ในครอบครัวมีจิ้นซื่อถึงสองคน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยชี้แนะเขาได้มากมาย
บัณฑิตจากตระกูลยากจนจึงยากจะสู้ไหว
ครั้งนี้บัณฑิตก้งเซิงผู้เข้าสอบส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่พอมีฐานะอยู่บ้าง ที่บ้านจึงเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาสอบกฎระเบียบพิธีการให้ เพราะอย่างนั้นในการเรียนพิธีการเข้าเฝ้า ทุกคนจึงเรียนรู้กันได้อย่างรวดเร็ว
ยามพลบค่ำ เหล่าผู้เข้าสอบฝึกซ้อมเสร็จ ก็พากันเก็บจดหมายเชิญเข้าสอบและป้ายประจำตัวแล้วออกจากวังหลวงไป
เฝิงหลินยังทำไม่ค่อยเป็นนัก เขาถึงถามหลินเฉิงเย่ เดิมทีหลินเฉิงเย่ก็ทำเป็นอยู่หรอก แต่จู่ๆ พอถูกเฝิงหลินถามก็กลับไม่แน่ใจขึ้นมาเสียงอย่างนั้น
“ลิ่วหลัง” เฝิงหลินมองเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาอ้อนวอน
เซียวลิ่วหลังสาธิตให้ทั้งสองคนดูบนรถม้า
ตู้รั่วหานรวบพัดลงพลางเอ่ย “เอ๊ะ เจ้าหก เหตุใจเจ้าถึงถวายบังคมเก่งถึงเพียงนี้”
มองดูแล้วไม่เหมือนคนยากคนจากชนบทเสยสักนิด
ไม่ใช่ว่าเขาเยินยอแต่อย่างใด เพราะท่าถวายบังคมของเซียวลิ่วหลังนั้นแทบจะเทียบกับอันจวิ้นอ๋องได้เลยทีเดียว เจ้าหมอนี่แอบไปร่ำเรียนท่าทางของท่านชายจากเมืองหลวงมาจากไหนกัน
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียเรียบ “เห็นบ่อยเข้าก็เป็นเองไม่ใช่หรือไร”
“เจ้าหมอนี่… ช่างเถิด” ตู้รั่วหานโบกพัดไปมา ไม่ได้เอ่ยออกไปว่าเมื่อครู่ตนเองตั้งใจว่าจะถามอะไร “นี่ก็ค่ำมืดแล้ว ข้ากลับล่ะ! ให้ข้าไปส่งพวกเจ้าไหม”
เฝิงหลินเอ่ย “ไม่เป็นไร พวกข้าก็มีรถม้า”
เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ใช้รถม้าคันเดียวกัน ส่วนเซียวลิ่วหลังก็มีรถม้าของหลิวเฉวียนที่อยู่อีกฝั่ง
“ก็ย่อมได้ เช่นนั้นอีกสองวันนี้พวกเราก็ไม่ต้องมาพบกันหรอก พักผ่อนอยู่บ้านรอวันสอบก็แล้วกัน” ตู้รั่วหานพูดจบก็หันหลังกลับลงจากรถม้าไป
เฝิงหลินเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “ลิ่วหลัง เช่นนั้นพวกเข้าไปล่ะ”
เซียวลิ่วหลังมองออกว่าเขาประหม่าไม่น้อยจึงบอกกับเขาว่า “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ฝ่าบาทมิใช่อสรพิษหรือสัตว์ร้าย แม้จะเกิดข้อผิดพลาดบ้างเล็กน้อยก็คงไม่ถือสา ตั้งใจสอบก็พอแล้ว เจ้าเองก็เช่นกัน”
เขาหันไปทางหลินเฉิงเย่ “การสอบระดับเตี้ยนซื่อไม่สอบเรียงความปากู่เหวิน มีแต่โจทย์ยุทธศาสตร์การเมือง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้เจ้าทำข้อสอบยุทธศาสตร์ได้ดีขึ้นมาก ทำใจให้สบายแล้วตอบข้อสอบก็พอ”
หลินเฉิงเย่ร่ำเรียนกับเซียวลิ่วหลังมานาน เซียวลิ่วหลังเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดคนหนึ่ง ไม่เคยเอ่ยชมเขามาก่อน ราวกับว่าแม้เขาจะขยันหมั่นเพียรสักเพียงใดก็ไม่เคยเป็นที่พึงพอใจของเซียวลิ่วหลัง…
ทว่าเมื่อครู่นี้ เซียวลิ่วหลังบอกว่าเขาก้าวหน้าขึ้นมากอย่างนั้นหรือ
หลินเฉิงเย่ดีใจเสียยิ่งกว่ายามได้รับคำชมจากอาจารย์ที่กั๋วจือเจียนเสียอีก!
แผ่นหลังของเขาตั้งตรงขึ้นมาในทันใด ก่อนจะสีหน้าจริงจังว่า “ข้า ข้า ข้าจะ…ตั้งใจสอบ!”
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “สองวันนี้ก็ไม่ต้องอ่านตำราแล้ว ทำใจให้สบายรอวันสอบเถิด”
“ได้เลย!”
หลินเฉิงเย่ที่ได้รับคำชมก็ลงจากรถม้าไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตัวเองพร้อมกับเฝิงหลิน
สองวันนี้ พวกเขาต่างอยู่ที่เรือนไม่ออกไปไหน
วันที่สิบเจ็ด การสอบระดับเตี้ยนซื่อก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
วันนี้สำนักบัณฑิตทั่วทั้งเมืองหลวงต่างหยุดเรียน รวมทั้งกั๋วจือเจียนด้วย
ผู้เข้าสอบกว่าสอบร้อยชีวิตมายืนรออยู่หน้าประตูวังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ผู้เข้าสอบคนหนึ่งลืมจดหมายเชิญเช้าสอบไว้ที่เรือน จึงตกอกตกใจจนแทบจะเป็นลม โชคดีที่เถ้าแก่โรงเตี้ยมที่เขาพักอยู่เป็นคนเจอจดหมายเชิญเข้าสอบเข้า จึงรีบสะบัดแส้ควบม้านำมาส่งให้เขาถึงที่
แม้จะบอกว่าโดยปกติแล้วการสอบระดับเตี้ยนซื่อจะไม่มีการไล่ผู้เข้าสอบออกจากสนาม แต่หากมาเข้าสอบแล้วแต่กลับไม่ยอมเขียนคำตอบก็คงต้องถูกไล่ออกไปอยู่ดี
การตรวจข้อสอบของระดับเตี้ยนซื่อจึงเข้มงวดเป็นอย่างมาก
ผู้เข้าสอบบางคนที่เป็นคนเมืองหลวง พ่อแม่ก็มันจะติดตามมาด้วย เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้บริเวณวังหลวง ห่างจากประตูไปกว่าหลายร้อยเมตรจึงมีคนคอยคุ้มกันอยู่
แต่ขุนนางราชสำนักอย่างราชครูจวงและราชเลขาหยวนนั้นเป็นข้อยกเว้น
พวกเขาทั้งสองมาว่าเข้าประชุมราชสำนัก จึงถือโอกาสมาให้กำลังใจลูกหลานตระกูลตนเองสักหน่อย
ทว่าสำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นนั้น วินาทีที่ได้เห็นก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
“ตั้งใจสอบ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น” ราชครูจวงพูดกับอันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่ท้ายแถว เขาจับฉลากหมายเลขเข้าสอบได้ลำดับที่สองรองสุดท้าย ทว่าการปรากฏตัวของราชครูจวงนั้นสร้างความแตกตื่นไม่น้อย ผู้เข้าสอบแทบจะทั้งหมดต่างพากันมองมาที่เขา
อันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง “ท่านปู่โปรดวางใจของรับ”
ราชครูจวงจัดแจงแขนเสื้อให้แก่อันจวิ้นอ๋อง เป็นการบอกกับเขาว่า เจ้าสนใจแค่การสอบก็พอ ส่วนที่เหลือให้ข้าเป็นคนจัดการเอง
ด้วยความสามารถของอันจวิ้นอ๋อง ประกอบกับอำนาจของราชครูจวง เขาจะคว้าที่หนึ่งมาไม่ได้เชียวหรือ
เรื่องอำนาจก็ส่วนอำนาจ ส่วนตัวเขานั้นมีวิธีกำจัดข้อสอบของคู่ต่อสู้อยู่นับร้อยกระบวนท่า!
วินาทีนั้น เหล่าผู้เข้าสอบอิจฉาอย่างเหลือล้น อิจฉาสติปัญญาของอันจวิ้นอ๋อง ทั้งยังอิจฉาชาติกำเนิดของอันจวิ้นอ๋อง
ราชครูจวงไม่อาจอยู่ได้นาน เขาหันหลังกลับตั้งท่าจะเดินออกไป ทว่าจู่ๆ ก็มีเงาร่างสูงใหญ่ใกล้เข้ามา
“เอ๊ะ นั่นราชครูจวงมิใช่หรือ บังเอิญยิ่งนั้น”
น้ำเสียงกวนโมโหเช่นนี้ จะเป็นผู้ใดไปได้อีกนอกเสียจากเซียวผิงโหว
ทุกวันนี้ราชครูจวงแค่เห็นหน้าเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา คนที่ทั้งราชสำนักเกลียดชัง คงเป็นใครไม่ได้นอกจากเซวียนผิงโหวผู้นี้
ราชครูจวงยกแผ่นป้ายฮู่ป่านในมือขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าต้องเป็นคนพูดคำนั้นต่างหากถึงจะถูก ยังไม่ทันคล้อยบ่ายเลย เหตุใดเซวียนผิงโหวถึงเข้าวังมาแล้ว”
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเซวียนผิงโหวไม่เคยเข้าประชุมราชสำนักยามเช้า
ยามนี้ผู้คนเยอะแยะเต็มไปหมด เซวียนผิงโหวจึงข่มอารมณ์ไว้ เขาตอบกลับด้วยท่าทางสงบนิ่งสง่างาม “ข้าก็คงเหมือนท่าน”
ราชครูจวงแทบจะสำลัก เหมือนกับเขาอย่างนั้นหรือ เหมือนกับเขาเรื่องอะไร มาส่งลูกหลานที่บ้านเข้าสอบระดับเตี้ยนซื่ออย่างนั้นหรือ เหอะ ผู้ใดกัน ลูกชายไม่เอาถ่านสองคนนั่นของเขาอย่างนั้นหรือ
เซวียนผิงโหวไม่สนใจคำพูดเย้ยหยันของราชครูจวง เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวฉับเดินออกไป
เซวียนผิงโหวเป็นคนมีเสน่ห์ เพียงครู่เดียวทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เขา
เหล่าผู้เข้าสอบอยากมองแต่ก็ไม่กล้ามอง ประหม่าจนแทบไม่กล้าหายใจแรง
เซวียนผิงโหวหยุดลงที่ข้างกายเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นช่วยเซียวลิ่วหลังจัดเครื่องแต่งกายอย่างตั้งอกตั้งใจ