สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 257 คืบหน้า
บทที่ 257 คืบหน้า
ที่จริงเซียวลิ่วหลังเองก็รู้สึกเหมือนฝันไปเช่นกัน
แม้เขาจะเคยไปเยือนที่วังมาแล้วหลายต่อหลายครั้งก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินลอดประตูหลวงซึ่งเป็นประตูหลักของวังและเป็นประตูสำหรับคนใหญ่คนโตเท่านั้นที่จะเดินผ่านได้ โดยจอหงวน ปั้งเหยี่ยน และทั่นฮวาได้มีโอกาสเดินผ่านประตูหลวงในครั้งนี้
ตอนแรกเขาก็คิดว่าตัวเองไม่น่าจะรู้สึกตื่นเต้นอะไร
แต่พอเอาเข้าจริง วินาทีที่ลอดผ่านประตูนั้น ความรู้สึกก็พลันเปลี่ยน
แม้เซียวลิ่วหลังจะไม่ได้ออกอาการหนักเท่าเฝิงหลินก็ตาม
“เจ้ายังมีโอกาสทำงานรับใช้ราชสำนักไปอีกนาน” เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับเฝิงหลิน
เฝิงหลินจึงกระซิบตอบไปว่า “แต่ข้าไม่อยากกลับไปประจำที่ชนบท ข้าอยากทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ข้าล่ะอิจฉาเจ้านักที่ได้เข้าทำงานที่นั่น”
จอหงวนยังถือว่าไม่ใช่ตำแหน่งสูงสุดของสำนักฮั่นหลิน โดยตำแหน่งสูงสุดถูกเรียกว่าฮั่นหลิน
มีประโยคหนึ่งว่าไว้ หากมิใช่จิ้นซื่อแล้วมิอาจเข้าสำนักฮั่นหลินได้ และหากมิใช่ฮั่นหลินก็มิอาจเข้าเน่ยเก๋อได้ นับแต่โบราณ สำนักฮั่นหลินถูกขนานนามว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะขุนนางชั้นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นราชครูจวง ราชเลขาหยวน หรือแม้แต่จี้จิ่วอาวุโสก็ตาม ล้วนแต่เป็นผู้สำเร็จจากสำนักฮั่นหลินทั้งสิ้น
กระนั้นใช่ว่าทุกคนที่อยู่ในสำนักฮั่นหลินจะได้ดิบได้ดีกันหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่ได้เข้าไปเลย
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “จิ้นซื่อชั้นสองและชั้นสามจะมีการสอบเข้าราชสำนักในเดือนหน้า ตราบใดที่สอบผ่าน ก็สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ อีกสามปีให้หลังเข้าเรียนหนังสือที่ซ่านกว่าน หากทำได้ดีในชั้นเรียน ก็มีโอกาสจะได้เข้าไปทำงานในสำนักฮั่นหลิน”
นี่คงเป็นวิธีเดียวของเฝิงหลินในการหาหนทางเข้าทำงานในสำนักฮั่นหลินสินะ
หลังจากที่กู้เจียวส่งสามีเสร็จก็มิได้รีบร้อนไปหาหลิ่วอีเซิงแต่อย่างใด เพราะนางไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน จึงทำได้แค่รอให้เขามาหา
แต่นางก็ไม่ได้ไปที่โรงหมอเช่นกัน
เพราะนางต้องไปที่หอชิงเฟิงก่อน
หลายๆ คนต่างลงพนันให้อันจวิ้นอ๋องและหยวนอวี่ แต่ไม่ค่อยมีใครลงให้เซียวลิ่วหลังมากนัก!
เงินห้าพันตำลึงของกู้เจียวงอกเพิ่มเป็นสองหมื่นห้าพันตำลึงในพริบตา
ส่วนคนที่วางเงินพนันให้จวงเย่ว์ซีและกู้จิ่นอวี้นั้นเรียกได้ว่าหมดตัวจนกระเป๋าแบน
ส่วนกู้เจียวคือชื่อที่จัดว่าอยู่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากที่สุดเพราะแทบไม่มีใครลงเงินให้นาง จะมีก็แค่อันจวิ้นอ๋องและจวงเมิ่งเตี๋ยสองคนเท่านั้น
อันจวิ้นอ๋องได้เงินมาก้อนนึง แต่เขาไม่ได้ดีใจเลยสักนิด
จวงเมิ่งเตี๋ยเองก็เช่นกัน ถ้ารู้ว่ากู้เจียวจะชนะ ป่านนี้นางคงเอาเงินที่มีมาลงไว้ทั้งหมด!
คนที่ดีใจที่สุดก็คงนี่ไม่พ้นกู้เจียว ซ้ำหอชิงเฟิงยังให้เงินสดด้วย กู้เจียวใช้ย่ามผ้าดิบห่อเงินทั้งหมดไว้ก่อนจะเดินออกจากหอด้วยความอิ่มเอมใจ!
ชาวบ้านทั้งตรอกปี้สุ่ยพอรู้ข่าวที่เซียวลิ่วหลังได้เป็นจอหงวน ก็รีบมาเคาะประตูเรือนเพื่อแสดงความยินดีเสียจนประตูแทบพัง
“ไอ้่หยา ท่านพี่ฮั่ว พวกท่านเลี้ยงดูลูกหลานยังไงให้ได้ดิบได้ดีเช่นนี้เนี่ย ข้านะเคี่ยวเข็ญให้ลูกข้ามันเรียนหนังสือแทบตายมันก็ไม่เชื่อฟัง!” นายใหญ่จ้าวที่เข้ามาแสดงความยินดีกับจี้จิ่วอาวุโสเอ่ยตัดพ้อถึงลูกชายไม่รักดีของตัวเอง
“อย่าพูดเช่นนั้น หยางเกอร์น่ะเก่งออก” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยปลอบใจจนลืมเอ่ยขอขมาฮ่องเต้องค์ก่อนในใจเสียสนิทว่าเขากับไทเฮาเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น มิใช่ความสัมพันธ์อื่นแบบที่ชาวบ้านเข้าใจกัน
วันนี้หญิงชราดีใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นยอมอ่อนข้อให้ขาไพ่คนอื่นๆ
แม่นางเหยาเองก็ดีใจจนหุบยิ้มไว้ไม่อยู่ จึงเข้าครัวลงมือทำขนมด้วยตัวเอง หลังจากที่ตั้งท้องนางก็แทบไม่ได้แตะงานครัวเลย พอมาวันนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษ แม่นมฝางห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่
แม่นมฝางจึงทำได้แค่เข้าไปเป็นผู้ช่วยให้แม่นางเหยาอีกที
วันนี้แม่นางเหยาทำขนมถั่วกรอบ พวกเด็กๆ ไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่นัก แต่เป็นขนมโปรดของเซียวลิ่วหลัง
แม่นางเหยาลงมือนวดแป้ง พลางเอ่ย “ตอนแรกข้าเห็นว่าเขาดีกับเจียวเจียว และเห็นว่าเขาเป็นเด็กขยัน แต่ไม่ยักรู้เลยว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาเป็นจอหงวน เช่นนี้เจียวเจียวของพวกเราก็กลายเป็นจอหงวนเหนียงแล้วสินะ!”
“นั่นสิเจ้าคะ” แม่นมฝางหัวเราะพลางหย่อนฟืนลงเตา
เดิมทีแม่นมฝางก็มีความคิดคล้ายๆ กับกู้โหวเหย่ที่มองว่าลูกเขยคนนี้ไม่เหมาะกับคุณหนูใหญ่สักเท่าไหร่ แม้คุณหนูใหญ่จะเติบโตในชนบทก็ตาม แต่อย่างน้อยนางก็มีเชื้อสายของจวนโหวผู้สูงศักดิ์อยู่
เพราะลูกเขยคนนี้แทบจะไม่มีอะไรดีเลย แถมยังเป็นคนร่างกายไม่สมประกอบอีก
แม้จะด้อยกว่าในหลายๆ ด้าน และแม้เขาจะเป็นคนมีความรู้ แต่ก็อย่างที่โบราณว่าไว้ นักปราชญ์ทำได้แค่เรียนหนังสือเท่านั้น แม่นมฝางจึงอดห่วงไม่ได้ว่าเขาจะทำให้คุณหนูใหญ่ต้องใช้ชีวิตลำบาก
โชคยังดีที่นางไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้ออกไปให้ใครล่วงรู้ ไม่เช่นนั้นท่านจอหงวนคงไม่พอใจนางมากแน่ๆ
กู้เจียวกับจิ้งคงกลับมาถึงที่เรือนก่อนใครเพื่อน พอทุกคนในเรือนเห็นว่ากู้เจียวหอบเงินจำนวนมหาศาลกลับมา ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
ส่วนเซียวลิ่วหลังต้องรอถึงมืดค่ำถึงจะกลับเรือนได้
และคนที่มาส่งเขา ไม่ใช่เฝิงหลิน ไม่ใช่หลินเฉิงเย่แต่อย่างใด แต่เป็นคนที่เพิ่งโดนเซียวลิ่วหลังขู่แกล้งไป ซึ่งก็คือหนิงจื้อหย่วน
วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองของพวกเขาทั้งหมด ซึ่งในงานฉลองแน่นอนว่าย่อมมีเหล้าสุราเป็นของคู่กัน เซียวลิ่วหลังผู้ที่ได้อันดับหนึ่งและได้เป็นจอหงวนจึงต้องดื่มเหล้าเลี่ยงอย่างอดไม่ได้
ทว่าเซียวลิ่วหลังไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน เรียกได้ว่าคออ่อนขั้นสุด แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าดื่มจนเมาแอ๋เสียทีเดียว ปัญหาอยู่ที่พอหลังจากแยกย้ายกันแล้ว ก็จะมีคนบางกลุ่มที่แยกย้ายกันไปที่อื่นต่อ
เป็นที่ไหนนั้น บางทีก็ออกจากพูดยากอยู่บ้าง
เซียวลิ่วหลังไม่อยากอยู่ตรงนั้น เข้าอยากกลับเรือนแล้ว แต่คนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่พอใจ เลยลงโทษให้เขาดื่มเหล้าสามแก้ว พอดื่มเสร็จก็ถึงกับภาพตัดเลยทีเดียว
หนิงจื้อหย่วนเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เขาเองก็ไม่ชอบที่จะเข้าไปอยู่ในนั้น ก็เลยอาสาขอตัวออกมาส่งจอหงวนคนใหม่กลับเรือน
“ไปทางซ้ายอีกใช่ไหม ตรงตรอกนั่นใช่ไหม” บนรถม้า หนิงจื้อหย่วนพยายามถามทางกับเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเมาจนไม่มีกะจิตกะใจจะไปยุ่งอะไรกับใครแล้ว
หนิงจื้อหยวนส่ายหัว พลางบอกให้สารถีขับไปข้างหน้า และดูเหมือนว่าจะเร่งมากเกินไปหน่อย เพราะพอถึงตรงปากทางกลายเป็นว่าเกือบชนกับคนเข้าให้
คนที่เกือบโดนชนเป็นหญิงสาวสองคน คนหนึ่งสวมชุดแม่ชียาว ส่วนอีกคนสวมชุดสีม่วง
“ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย!” สารถีรีบเอ่ยขอโทษ
หนิงจื้อหย่วนเปิดม่านออก ก่อนจะลงมาเอ่ยขอโทษคู่กรณี “พวกท่านทั้งสองเป็นอะไรหรือไม่ ข้าต้องขอโทษด้วยที่รีบเกินเหตุจนเกือบชนพวกท่าน”
หนิงจื้อหย่วนยังคงอยู่ในเครื่องแบบทั่นฮวา
สตรีชุดสีม่วงจำเขาได้ในทันที ก่อนจะหันไปซุบซิบกับแม่ชี “ท่านพี่ คนนี้ไง ทั่นฮวาที่ตัวดำๆ คล้ำๆ น่ะ!”
หนิงจื้อหย่วนคิดในใจ ข้าผิวดำขนาดนั้นเชียวหรือ!
แต่ที่ดำกว่านั้น คงจะเป็นหน้าของเขาในตอนนี้
แม่ชีทำท่าจุ๊ปากเตือนกับสตรีชุดสีม่วง ก่อนสตรีชุดสีม่วงจะแลบลิ้นใส่
แม่ชีหันมาทางหนิงจื้อหยวน ก่อนโน้มตัวลง “ไม่เป็นไร เช่นนั้นขอตัวลาล่ะ”
เอ่ยจบก็จูงมือสตรีชุดสีม่วงแล้วเดินออกไป
เมื่อทั้งสองเดินผ่านรถม้า ลมกลางคืนก็พัดมาเปิดม่านของรถม้าทันที เผยให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนพิงในรถม้า
แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนชุดผ้าสีแดงเลือดนกนั้น ใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มนั้นช่างดูบอบบางราวกับหยกที่ขาวใส ซ้ำยังมีรอยเลือดฝาดบนใบหน้าราวกับคนที่เพิ่งดื่มหนักมา ช่างงามและตราตรึงจนเกือบจะลืมหายใจ
ขนาดแม่ชีสาวที่เติบโตในวัด ผู้ซึ่งมีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ไม่ลุ่มหลงไปกับอารมณ์และความปรารถนาทั้งหมดออกไปแล้ว ยังต้องยอมรับว่าชายหนุ่มผู้นี้น่าดึงดูดจริงๆ
แน่นอนว่านางก็แค่มองอย่างเดียว และระลึกว่าพ่อหนุ่มคนนี้มีเจ้าของแล้ว
นางไม่หมกมุ่นกับของของๆ คนอื่นอยู่แล้ว
หญิงสาวทั้งสองเดินห่างจากรถม้าไปไกลแล้ว แต่สตรีในชุดสีม่วงที่เพิ่งจะได้สติกลับมาก็ทำท่าร้อนรนพลางเอามืออังแก้มอันร้อนผ่าว “ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านพี่! เมื่อครู่นี้ คนที่อยู่ในรถม้าคือจอหงวนคนใหม่ใช่ไหม ! ให้ตายสิ! เขาช่าง…”
ช่าง…ช่างอะไรล่ะ
จู่ๆ สตรีในชุดสีม่วงก็นึกคำไม่ออกว่าจะบรรยายอย่างไรดี ขนาดมองจากระยะไกลก็ว่าดูดีมากแล้ว พอมาตอนนี้ ได้เห็นในระยะประชิด ก็ยิ่งตอกย้ำว่าท่านจอหงวนผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามมากแค่ไหน!
“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านพี่!” สตรีชุดสีม่วงตื่นเต้นจนเขย่ามือของแม่ชีเข้าเต็มแรง
“ฝันไปเถอะ” แม่ชีสาวพูดเรียกสติ
“ฮือออ” หัวใจของสตรีในชุดสีม่วงร่วงหล่นแตกกระจายบนพื้น
ขณะที่ทั้งสองเดินขึ้นรถม้าไป หนิงจื้อหย่วนก็กำลังแบกเซียวลิ่วหลังที่ไม่ได้สติลงจากรถม้า
แต่บริเวณนั้นไม่ได้มีแค่พวกเขา เพราะที่ตรอกถัดไป มีรถม้าอีกคันกำลังจอดอยู่
ซึ่งเป็นรถม้าของไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยเดินทางผ่านมาแถวนี้ และบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่ทั่นฮวากำลังเอ่ยขอโทษสตรีสองคนนั้นอยู่
นางพอรู้มาบ้างว่าใครที่สอบได้สามอันดับแรก แต่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาพวกเขาเพราะนางไม่ได้ไปดูขบวนในวันนี้ แต่ที่นางรู้ว่าเขาคือทั่นฮวาก็เพราะเครื่องแบบของเขา
ทั่นฮวาผู้ไร้ซึ่งความมีสง่าราศีอาจไม่ได้ดึงความสนใจนางมากนัก ขณะที่นางกำลังจะตัดสินใจกลับนั้นเอง ก็เห็นว่าหนิงจื้อหย่วนกำลังอุ้มใครอีกลงจากรถม้า
เขาผู้นั้นคือ…จอหงวนคนใหม่…คือ…เขา…เองรึ
จู่ๆ ใบหน้าที่อ่อนวัยผุดขึ้นในความคิดของไท่จื่อเฟย เด็กชายที่อายุราวสิบสามสิบสี่คนนั้น เด็กหนุ่มที่เพิ่งสูญเสียความเป็นเด็กไป เขาเป็นคนที่น่ารักมาก แต่แน่นอน ระหว่างเขากับนางไม่ใช่ความรักเฉกเช่นชายหญิง
ทว่าาชายยหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ แม้จะมีรูปลักษณ์ที่คลับคล้ายคลับคลาแต่พอดูๆ แล้วกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ชายผู้นี้ตัวสูงกว่า ตาจมูกปากคมชัด มีความเป็นเด็กน้อยแต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นชายชาตรีด้วย เต็มไปด้วยเสน่ห์อันล้มหลาม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
หนิงจื้อหย่วนเคาะประตูที่หน้าเรือนของใครสักคน
เสียงประตูถูกเปิดออก
“มาหาใครรึ”
“นี่เป็นเรือนของเซียวลิ่วหลังใช่หรือไม่” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยถาม
“ไอ้หยา นี่ลิ่วหลังมิใช่รึ” แม่เฒ่าหลิวพอเห็นว่าเป็นเซียวลิ่วหลัง ก็รีบวิ่งออกไป พลางตะโกนไปที่เรือนอีกหลัง “เจียวเจียว! ลิ่วหลังกลับมาแล้ว!”
สักพักไท่จื่อเฟยก็เห็นสตรีในชุดสีเขียวครามเดินออกมาจากเรือนหลังหนึ่ง แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงจื้อหย่วน ก่อนจะรับร่างของเซียวลิ่วหลังไว้
เซียวลิ่วหลังที่กำลังอยู่ในอาการมึนเมา พอบริเวณช่วงเอวของเขาสัมผัสได้ถึงมือของหญิงสาว ก็รีบลืมตาขึ้น
“ข้าเอง” กู้เจียวเอ่ย
“เจียวเจียว”
“อืมอ ข้าอยู่นี่”
“อ้่อ…” พอเขารู้ว่าเป็นกู้เจียว ก็ไม่ขัดขืนอะไร ยอมให้นางแบกร่างของเขาเข้าเรือนไป
ในตอนนี้ กู้เจียวน่าจะกำลังเอ่ยขอบคุณหนิงจื้อหย่วนอยู่ แต่สายตาของไท่จื่อเฟยกลับจดจ่อไปที่มือของกู้เจียวที่คอยโอบเอวของเขาไว้อยู่
ความรู้สึกว้าวุ่นใจก็พลันเกิดขึ้น
“ไท่จื่อเฟยเพคะ” นางข้าหลวงเอ่ยเรียกด้วยความกังวล
ในเวลานี้ ไท่จื่อเฟยเพิ่งจะสังเกตได้ว่าตัวเองเผลอฉีกผ้าเช็ดหน้าจนขาดวิ่น ก่อนจะรีบปล่อยมือ แล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “เมื่อครู่ข้ารู้สึกปวดท้องน่ะ รีบกลับกันเถอะ”
นางข้าหลวงรีบเอ่ยตอบ “หม่อมฉันจะไปตามหมอหลวงมาให้นะเพคะ”
“อืมอ” ไท่จื่อเฟยพยักหน้า
ก่อนจะหันไปทางชายหญิงสองคนท่ามกลางแสงกลางคืน
นั่นไม่ใช่อาเหิง ไม่ใช่หรอก
อาเหิงไม่เคยรักกับใคร และไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาเข้าใกล้ด้วย ไม่เคย ไม่มีทาง
กู้เจียวค่อยๆ พยุงร่างของเขาเข้าเรือน
กู้เจียวไม่ไว้ใจให้เซียวลิ่วหลังที่เมาแอ๋นอนห้องเดียวกับจิ้งคง เผื่อเกิดเรื่องขึ้นกลัวว่าจะเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน
ก็เลยตัดสินใจแบกร่างของเขามาไว้ที่ห้องตัวเอง
กู้เจียวปล่อยร่างของเขาลงบนเตียง ช่วยเขาถอดหมวก ด้วยความที่เป็นช่วงปลายเดือนสี่ แต่เขายังต้องมาใส่เครื่องแบบที่ทั้งหนักทั้งหนาขนาดนี้ คงอึดอัดน่าดู
เหงื่อของเซียวลิ่วหลังเริ่มพรั่งพรูออกมามากขึ้น
กู้เจียวรีบไปตักน้ำแล้วเอาผ้ามาเช็ดตัวให้เขา
ขณะที่กู้เจียวเพิ่งจะนั่งลง ก็ได้ยินเสียงในลำคอ “เจียวเจียว ข้าร้อน…”
ปกติเซียวลิ่วหลังเป็นคนพูดจาห้วนๆ แต่พอเมาเท่านั้นแหละ เสียงของเขากลับมีความเอื้อยเอื้อนเจือปนด้วยความออดอ้อนเล็กๆ
ว่าไปแล้ว ตอนที่กู้เจียวเพิ่งมาถึงที่นี่ เสียงของเซียวลิ่วหลังยังไม่ถึงกับแตกหนุ่ม ซึ่งพอฟังดูแล้วแม้จะไม่ได้แย่แต่ แต่ก็ไม่ได้น่าฟังขนาดนั้น
ต่อมาพอภายหลัง เสียงของเขาเริ่มแตกหนุ่มแล้ว เพียงแต่กู้เจียวอยู่กับเขาทุกวันจนลืมสังเกต
พอมาตอนนี้ที่ได้ยินเสียงที่แตกหนุ่มที่เปล่งออกมาตอนเมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ชินหู
กู้เจียววางขันน้ำลง แล้วช่วยเขาปลดกระดุมเสื้อ ขณะที่นางกำลังปลดกระดุมช่วงบนออก ก็เหลือบไปเห็นช่วงคอที่ยาวระหงพร้อมกับริ้วกล้ามเนื้อและไหปลาร้าที่ขยับเล็กน้อย
กู้เจียวนึกในใจ มันช่างดึงสายตาชะมัด
กู้เจียว “…”
จากนั้นกู้เจียวพยายามทำใจดีสู้เสื้อปลดกระดุมเสื้อของเขาจนหมด ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำแล้วเริ่มเช็ดที่ใบหน้าของเขา
ด้วยความที่เขาดื่มสุรามา พวงแก้มของเขามีรอยเลือดฝาด ริมฝีปากของเขาแลดูชุ่มชื้นและมีคราบน้ำเมาติดอยู่บนนั้น
อาจเป็นเพราะเขาถูกเช็ดตัวจนรู้สึกตื่น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาพร่ามัวเล็กน้อย
กู้เจียวนึกในใจ ข้าเปล่าน้ำลายหกเลยนะ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงมึนเมา “เหตุใดมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น”
กู้เจียวตอบตามความจริง “ก็เจ้าหล่อ”
เขาหัวเราะ “หล่อตรงไหน”
“หล่อทุกตรงนั่นแหละ” คิ้วเข้ม ตาคม จมูกเรียวโด่ง…ก่อนที่กู้เจียวจะชำเลืองไปที่ริมฝีปากของเขา ก่อนจะนึกในใจต่อ ปากก็ได้รูป ข้าชอบริมฝีปากที่สุดเลย
เซียวลิ่วหลังมองคนตรงหน้าขณะที่กำลังนอนหงาย ก่อนจะส่งสายตาเย้ายวนพลางเบ้ปาก แบบที่ปกติเขาไม่เคยทำมาก่อน “จะจ้องเฉยๆ อย่างเดียวรึ”
“หือ” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
วินาทีถัดมา เขายกแขนขึ้น และใช้มืออันเรียวยาวของเขาช้อนเข้าไปที่ด้านหลังศีรษะของคนตรงหน้าก่อนจะดึงโน้มลงมาหาตัวเขา