สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 266 ไทเฮาทรงพระเจริญ
บทที่ 266 ไทเฮาทรงพระเจริญ
เมื่อกู้เจียวตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนฟูกสะอาดบนเตียง
นางเงยหน้าขึ้น เหลียวมองรอบกาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่คือห้องพักของนางในโรงหมอ นางลองขยับร่างกายแล้วก็พบว่าร่างทั้งร่างปวดร้าวไปหมด
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
เสียงของเซียวลิ่วหลังดังขึ้นแผ่วเบาเหนือศีรษะนาง
เป็นเพราะนางนอนราบอยู่ ลำคอจึงขยับได้อย่างจำกัด ทำให้ไม่อาจมองเห็นเขาได้ในตอนนี้
“อย่าขยับ ข้าเอง” เซียวลิ่วหลังก้าวเดินเข้าไปใกล้ แล้วนั่งลงริมเตียงข้างกายนาง นางเริ่มเหงื่อซึม เซียวลิ่วหลังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหน้าผากของนางอย่างเบามือ
“เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง” เขาถาม “เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บ” นางตอบ
ความเจ็บปวดบนร่างกายกายเพียงแค่นี้ไม่อาจทำอะไรนางได้ นางชินเสียแล้ว จึงไม่รู้สึกอะไร
นางเหม่อมองซ้ายขวา
เซียวลิ่วหลังเห็นท่าทางร้อนรนของนาง ก็เอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าบาดเจ็บสาหัสนัก อย่าเพิ่งขยับตัว”
น้ำเสียงนั้นเคร่งขรึม แต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
เดิมทีวันนี้เขาต้องสอนเสริมให้กับหลินเฉิงเย่และเฝิงหลินที่เรือนของหลินเฉิงเย่ ทว่าจู่ๆ ฝนก็กระหน่ำเทลงมา เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด แล้วก็เป็นไปตามคาด ไม่ทันไรหลิวเฉวียนก็มาหา บอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับกู้เจียวและหญิงชรา
หลิวเฉวียนเองก็เพิ่งกลับมาถึงเรือนและเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่กู้เสี่ยวซุ่นถูกจับตัวไป ยังไม่ทันหายเสียขวัญจากก่อนหน้านี้ กู้เจียวและหญิงชราก็ดันมาเกิดเรื่องขึ้น
เซวียนผิงโหวเป็นคนพามาส่งถึงโรงหมอ
กู้เจียวและหญิงชราได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทก ทั้งสองหมดสติคาที่ ในตอนนั้นเซวียนผิงโหวและฉังจิ่งไล่ตามเพื่อจะเอาชีวิตหญิงชรา แต่กลับกลายเป็นว่าพบกับราชครูจวงเข้า เมื่อมีราชครูจวงอยู่ ก็ไม่อาจฆ่านางได้
เมื่อเซวียนผิงโหวมาถึง กู้เจียวและหญิงชราก็ถูกหามออกมาจากซากปรักหักพังแล้ว คนมากมายรุมล้อมหญิงชรา ทว่าข้างกายกู้เจียวกลับมีเพียงจี้จิ่วอาวุโส
เซวียนผิงโหวพาร่างอาบเลือดของกู้เจียวมายังโรงหมอ
อาการบาดเจ็บของหญิงชราเองก็ไม่สู้ดีนัก เลือดแดงสดไหลออกมาจากศีรษะของนางไม่หยุด ราชครูจวงกลัวว่านางจะอดทนกลับไปถึงจวนไม่ไหว ด้วยเหตุนี้จึงพานางมายังโรงหมอตามหลังเซวียนผิงโหว
แผ่นหลังของกู้เจียวถูกหลังคากระแทกเข้าอย่างจัง กระดูกสันหลังเกือบหัก หมอซ่งบอกว่า หากกระดูกสันหลังหักแล้วมีความเสี่ยงทำให้เป็นอัมพาต อาจจะยืนไม่ได้ไปตลอดชีวิต
เมื่อได้ยินดังนั้น เหงื่อเย็นก็ผุดซึมไปทั่วร่างของเซียวลิ่วหลัง
อย่างน้อยก็หายห่วงเรื่องกระดูกสันหลังได้แล้ว แต่แผ่นหลังและท่อนขาของนางที่ยังมีรอยบวมช้ำดำเขียวและแผลถลอกจากเสี้ยนไม้นี่สิ
ข้อศอกของนางก็อีกเรื่องหนึ่ง ในตอนนั้นหากนางใช้มือค้ำยันเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงชราล้มฟาดลงไปก็ดี แต่นางกลับใช้มือข้างหนึ่งของนางประคองเอวของท่านย่า ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กันศีรษะของหญิงชราเอาไว้ จนสุดท้ายหัวเข่าและข้อศอกของนางจึงบวมช้ำไปหมด!
ทว่านางกลับบอกว่าไม่เจ็บเสียอย่างนั้น ทั้งยังขยับร่างกายไปมาไม่หยุด
เซียวลิ่วหลังรู้สึกว่าในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของนาง แม้จะเพียงนามก็ตามแต่ ถึงกระนั้นก็ควรพูดกับนางด้วยเหตุผลว่าอย่าทำอะไรเสี่ยงอันตรายโดยไม่คิดถึงตัวเองเช่นนี้อีก และจะต้องพักฟื้นให้เต็มที่
กู้เจียวพลันเหลียวไปมองรอบทิศ “ท่านย่าเล่า”
คำพูดทั้งหมดของเซียวลิ่วหลังจุกอยู่ในลำคอ
ภายในห้องอีกห้องหนึ่ง หมอเฒ่าแซ่ลู่คนหนึ่งกำลังพันผ้าพันแผลบริเวณศีรษะให้กับหญิงชรา
หญิงชรายังคงไม่ได้สติ แต่ลมหายใจไม่ได้อ่อนแรงเหมือนดังก่อนหน้าแล้ว
“นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ราชครูจวงถาม
หมอเฒ่าลู่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ดูแล้วหากไม่ใช่เศรษฐีก็ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ เขายกมือสองมือขึ้นคำรับแล้วตอบ “ตอบคำถามนายท่าน อาการบาดเจ็บของเหล่าฮูหยินผู้นี้มิได้รุนแรงนัก บาดแผลไม่ลึก เลือดก็หยุดไหลแล้ว หากฟื้นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทว่าแม่นางกู้ของพวกเขาเนี่ยสิ บาดเจ็บสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน แม้แต่เขายังไม่กล้ามอง
ราชครูจวงโล่งใจขึ้นมา ก่อนจะให้เงินรางวัลก้อนหนึ่งกับหมอเฒ่าลู่ “เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ!” หมอเฒ่าลู่หิ้วกระเป๋ายาแล้วออกไปจากห้อง
ราชครูจวงเฝ้าอยู่ข้างเตียง
ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย เขากังวลเหลือเกินว่าไทเฮาจะถูกทับจนมีอันไปเป็น
ราชครูจวงรออยู่ไม่นาน คนบนเตียงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ราชครูจวงลุกยืนขึ้นในทันใด ก่อนจะมองนางด้วยความร้อนใจ “น้องพี่ เจ้าตื่นแล้วหรือ”
เขานึกว่านางยังไม่ฟื้นคืนความทรงจำ หากใช้คำเรียกเช่นนี้นางคงยอมรับเขาได้ง่ายขึ้น ทว่าเมื่อเขาได้สบสายตากับอีกฝ่าย ร่างทั้งร่างก็พลันนิ่งชะงักไป
นั่นเป็นแววตาที่ทรงอำนาจเหลือเกินแม้จะร่างกายจะยังบาดเจ็บ แววตาของจวงจิ่นเซ่ส่อที่ไม่มีใครเหมือน
ราชครูจวงถดถอยหลัง จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ ก่อนจะยื่นมือออกไป สองขาทรุดลง ยกมือขึ้นคำนับ “กระหม่อม ขอต้อนรับไทเฮาด้วยความยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
นับจากนี้ บนโลกนี้ไม่มีท่านย่าอีกต่อไป มีเพียงแค่จวงไทเฮาเท่านั้น
…
จวงไทเฮานั่งอยู่บนรถม้าของราชครูจวง ก่อนจะออกเดินทางไปยังจวนตระกูลจวง
ก่อนจะออกเดินทาง ราชครูจวงสั่งให้องครักษ์ล่วงหน้ากลับจวนไปก่อน เพื่อแจ้งให้คนในครอบครัวได้รู้ จวงผิงลูกชายคนโตของราชครูจวง จวงโจวลูกชายคนรอง จวงมู่ลูกชายคนที่สาม สะใภ้ใหญ่แม่นางเจิน สะใภ้รองแม่นางเฟิง สะใภ้เล็กแม่นางถัน รวมทั้งลูกหลานคนอื่นๆ และอันจวิ้นอ๋อง ทั้งตระกูลจวงออกมายืนรออยู่ที่หน้าประตูจวน ยืนท่ามกลางลมฝน เฝ้ารอการมาเยือนของจวงไทเฮา
รถม้าจอดท่ามกลางพายุฝนที่หน้าประตูจวน
จวงผิงคุกเข่าลงเป็นคนแรก หลักจากที่เขาคุกเข่าลง ทุกคน ณ ที่นั้นก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น เขาประสานมือแล้วส่งเสียงดังกังวาน “กระหม่อมขอต้อนรับไทเฮาด้วยความยินดียิ่ง ไทเฮาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
ทุกคนโขกหัวถวายบังคม “ขอต้อนรับไทเฮาด้วยความยินดียิ่ง ไทเฮาทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
ราชครูจวงลงมาจากรถม้าอีกคัน ฝ่ากระแสฝน กางร่มให้ไทเฮาด้วยตนเอง
จวงไทเฮายังสวมชุดเสื้อผ้าเรียบง่ายเหมือนยามอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย แต่กลับไม่ได้มีผลต่อรัศมีของนางแต่อย่างใด
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนในครอบครัวของนาง แต่พวกเขากลับคุกเข่าอยู่แทบเท้านาง
นางเอ่ยเสียงเรียบพลางกวาดตามอง “ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยไทเฮา!” ทุกคนขานตอบอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะลุกยืนขึ้นเรียงรายเป็นแถว เสื้อผ้าอาภรณ์ของทุกคนต่างเปียกชุ่ม แม้แต่เด็กสามขวบที่อายุน้อยที่สุดในบ้านยังไม่กล้าส่งเสียงร้องงอแง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าไทเฮาเคร่งครัดพิธีรีตองมากแค่ไหน
ราชครูจวงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รีบเข้าเรือนเถิด ฝนตกหนักนัก ไทเฮายังบาดเจ็บอยู่ ไม่ควรตากฝน”
ราชครูจตวงเดินเข้าไปในจวนตระกูลจวง เดินเข้าไปในเรือนที่คนทั้งตระกูลจวงเตรียมไว้ให้นางเป็นอย่างดี
นี่เป็นเรื่องที่จวงจิ่นเซ่ส่ออาศัยอยู่ก่อนจะออกเรือนไป เหล่าต้นไม้ใบหญ้าบุปผานานาพันธุ์ที่อยู่ภายในถูกจัดแต่งดังเดิมเหมือนกับก่อนที่นางจะออกเรือน หลายสิบปีผ่านไปยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าจวงไทเฮากลับไม่แลตามองแม้แต่น้อย ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นบันได
เพียงแต่ขณะที่เดินผ่านต้นไห่ถังต้นหนึ่ง นางกลับมองอยู่นานสองนาน รู้สึกเหมือนว่าเด็กที่มักจะนั่งอยู่บนนั้นขาดหายไป
นางเดินเข้าไปในเรือน
ในตระกูลจวง คนที่รู้ว่าจวงไทเฮาเป็นโรคเรื้อนนั้นมีเพียงราชครูจวงและอันจวิ้นอ๋อง และบ่าวคนสนิทของทั้งสองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ราชครูจวงจึงไม่เรียกแม้แต่ลูกชายของตัวเองเข้ามา แต่กลับมีเพียงอันจวิ้นอ๋องที่ติดตามเข้ามาด้วย
หลังจากทั้งสามคนเข้ามาในห้อง ราชครูจวงก็เรียกสาวใช้สองคนเข้ามา “คนเก่าคนแก่ของไทเฮาล้วนแต่อยู่นอกวัง เหล่านี้คือบ่าวที่เหิงเอ๋อร์คัดเลือกมาให้ไทเฮา อยู่ปรนนิบัติไทเฮาไปพลางๆ ก่อน”
“ไม่ต้อง ออกไปเถิด” จวงไทเฮานั่งลงแล้วโบกมือไล่ “ข้าไม่ต้องการคนมาปรนนิบัติ”
ทั้งพี่ชายและหลานชายต่างชะงักไป จวงไทเฮาที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์และพิธีรีตอง ปกติแล้วข้างกายต้องมีนางกำนัลและขันทีคอยติดตามรับใช้ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดคน แต่ยามนี้จวงไทเฮากลับยื่นมือออกไปยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมารินเอง
ราชครูจวงขมวดคิ้วในทันใด หันไปมองสาวใช้ทั้งสองพลางเอ่ย “มัวนิ่งอะไรอยู่ ยังไม่รินน้ำชาให้ไทเฮาอีก”
ทั้งสองรีบเข้ามารินน้ำชา
จวงไทเฮาคว้ากาน้ำชาบนโต๊ะเคลื่อนไปอีกฝั่ง เห็นได้ชัดว่าเริ่มหมดความอดทนแล้ว ทั้งสองตกใจจนรีบทรุดเข่าลงในทันใด
จวงไทเฮาพลันได้สติคืนมา ราวกับรู้ว่าท่าทีของตนไม่สมกับสถานะ นางจึงเอ่ยเสียงเรียบเฉย “รินเถิด”
“เพคะ!” ทั้งสองสบสายตากันแล้วลุกยืนขึ้น คนหนึ่งรินน้ำชา คนหนึ่งยกของว่างเข้ามาให้
จวงไทเฮาไม่อยากอาหารสักเท่าไหร่ จิบชาเพียงหนึ่งคำก่อนจะบอกให้ทั้งสองออกไป
“ช่วงที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” จวงไทเฮาถามเสียงเคร่งขรึม
ราชครูจวงและอันจวิ้นอ๋องส่งสายตาให้กัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความประหลาดใจในแววตาของกันและกัน
แล้วก็เป็นอันจวิ้นอ๋องที่เอ่ยปากขึ้น “ท่าน…จำไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮานวดขมับที่เริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา “ข้าจำได้เพียงว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อน ถูกบีบบังคับให้พำนักอยู่ที่เขาหม่าเฟิง ข้าฉวยจังหวะตอนที่คนไม่ทันได้ระวังแล้วหนีออกมา หลังจากนั้นข้าก็ท่องไปหลายหนแห่ง จนสุดท้ายก็เป็นลมหมดสติไป… เรื่องราวหลังจากนั้น ข้าก็จำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ พวกเจ้าตามหาข้าที่ไหน ข้าหมดสติไปกี่วัน”
หมดสติอย่างนั้นหรือ กี่วันอย่างนั้นหรือ
ทั้งสองสูดลมหายใจเย็นยะเยือกอย่างห้ามไม่อยู่
ไทเฮาจำเรื่องราวในอดีตได้แล้ว แต่จำไม่ได้ว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ความทรงจำของนางหยุดอยู่ในวันที่เป็นลมใต้ต้นไม้
ราวกับคิดอะไรได้บางอย่าง ไทเฮาเอ่ยขึ้น “ว่าแต่ โรคเรื้อนของข้ารักษาหายได้อย่างไร”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “โรคเรื้อนของท่าน…”
“ท่านไม่ได้เป็นโรคเรื้อน! แต่วินิจฉัยนผิดต่างหาก!” ราชครูจวงเอ่ยแทรกคำพูดของอันจวิ้นอ๋อง
“วินิจฉัยผิดอย่างนั้นรึ” จวงไทเฮาขมวดคิ้ว
ราชครูจวงเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะวินิจฉัยผิด! ไม่ขอปิดบังท่าน ท่านหายตัวได้ปีกว่าแล้ว หากท่านเป็นโรคเรื้อนจริงๆ อาการไม่มีทางเป็นเช่นยามนี้ได้!”
จวงไทเฮามองดูฝ่ามือของตัวเอง ก่อนจะลูบใบหน้าขอตัวเองต่อ “ข้าจำได้ว่าข้ามีอาการนี่นา…”
ราชครูจวงเอ่ย “โรคเรื้อนไม่อาจรักษาได้ ท่านเพียงแค่มีอาการคล้ายคลึง แต่มิได้เป็นโรคเรื้อนพ่ะย่ะค่ะ!”
ในแคว้นเจาแห่งนี้ โรคเรื้อนไม่สามารถรักษาหายได้ ได้ยินมาว่ามีเพียงยอดฝีมือจากแคว้นเยียนเท่านั้นที่มีวิธีรักษาโรคเรื้อน
ไทเฮาชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตอนที่ข้าหายตัวไป ข้าอยู่ที่ไหน”
ราชครูจวงตอบ “ไทเฮาถูกคนของฝ่าบาทจับตัวไป! ไม่รู้ว่าพวกเขาให้ไทเฮากินโอสถใด ไทเฮาถึงได้ความจำเสื่อม กระหม่อมไปพบไทเฮาหลายต่อหลายหน แต่กลับถูกพวกเขากีดกันอย่างไม่ใยดี วันนี้กระหม่อมหมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ จึงส่งองครักษ์ลับไปชิงตัวท่าน แต่กลับพลาดพลั้งทำให้ไทเฮาบาดเจ็บ ขอไทเฮาโปรดลงโทษ!”
อันจวิ้นอ๋องอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก
“ท่านย่า! ท่านย่า!”
เสียงของจวงเมิ่งเตี๋ยดังลอยมาจากข้างนอก
แววตาของไทเฮาตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด
ชื่ออันแสนคุ้นเคยแวบขึ้นภายในหัว ราวกับเคยมีใครเรียกนางเช่นนี้มาก่อน ทว่านางกลับนึกชื่อไม่ออกว่าเป็นใคร
“เมิ่งเตี๋ยนี่เอง” ราชครูจวงยิ้ม “น่าจะอยู่พี่สาวของนาง ไทเฮา ท่านอยากพบพวกนางหรือไม่”
เมิ่งเตี๋ย
คนที่เรียกนางท่านย่าคืนเมิ่งเตี๋ยอย่างนั้นหรือ
คงใช่กระมัง ไม่อย่างนั้นจะมีนางหนูคนไหนเรียกนางว่าท่านย่าอีก
จวงไทเฮาพยักหน้า “เข้ามาสิ”
จวงเมิ่งเตี๋ยผลักประตูห้องให้เปิดออก ก่อนจะเดินเข้ามาดีอกดีใจ “ท่านย่า!”
“เรียกไทเฮาสิ!” ราชครูจวงเอ่ยเตือนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าค่ะ” จวงเมิ่งเตี๋ยขานรับอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะถวายบังคมอย่างนอบน้อม “จวงเมิงเตี๋ยถวายบังคมไทเฮาเพคะ”
จวงเย่ว์ซีที่เดิมตามเข้ามาทีหลังก็โค้งตัวถวายบังคมเช่นกัน “จวงเย่ว์ซีถวายบังคมไทเฮาเพคะ”
จวงไทเฮาพยักหน้า
จวงเมิ่งเตี๋ยนั่งลงข้างกายไทเฮาก่อนจะคล้องแขนของนางไว้ พลางพูดคุยอย่างสนิทสนม “ไทเฮา ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน! เหตุใดท่านถึงไม่เรียกข้ามาเข้าเฝ้า”
จวงไทเฮาหน้าบึ้งตึง “อย่าทำกิริยาเช่นนี้!”
จวงเมิ่งเตี๋ยส่งเสียงฮึดฮัด
จวงไทเฮานั้นเอ็นดูบรรดาลูกหลานตระกูลจวงเป็นอย่างมาก ประการแรกเป็นเพราะตนเองไม่มีลูก ประการที่สองเป็นเพราะเด็กๆ พวกนี้ช่างเอาอกเอาใจเสียเหลือเกิน
ไทเฮามองจวงเมิ่งเตี๋ยที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะหันไปมองจวงเย่ว์ซีที่เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้
อันที่จริงแล้วไทเฮานั้นเด็กดูจวงเมิ่งเตี๋ยมากกว่าใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเด็กขี้แย่ย่อมมีนมกิน จวงเมิ่งเตี๋ยรู้จักออดอ้อน แน่นอนว่าต้องได้รับความเอ็นดูมากกว่า
ทว่าวันนี้จวงไทเฮากลับอยากทำความรู้จักกับจวงเย่ว์ซีที่พูดน้อยเรียบร้อยเสียมากกว่า
นางจ้องมองจวงเย่ว์ซี
ราชครูจวงส่งสายตาให้จวงเย่ว์ซี จวงเย่ว์ซีเข้าใจในทันใด พลางเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายจวงไทเฮาอีกฟากหนึ่ง
จวงไทเฮายกมือขึ้นก่อนจะลูบใบหน้าซีกซ้ายของจวงเย่ว์ซี “หายไปแล้วหรือ”
“อะไรหายไปแล้วหรือเพคระ” จวงเมิ่งเตี๋ยถามด้วยความสงสัย
นั่นสิ อะไรหายไปอย่างนั้นหรือ
ตัวไทเฮาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ณ โรงหมอ
กู้เจียวยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูของโถงใหญ่ บนร่างของนางยังคงมีบาดแผล ลมหนาวพัดผ่านพร้อมกับน้ำฝนเย็นยะเยือกที่ซาดกระเซ็น
เซียวลิ่วหลังกางร่มให้นาง
“ท่านย่าไปแล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“แล้วนางจะกลับมาหรือไม่” กู้เจียวเหลียวหันมาจ้องมองเขาพลางเอ่ยถาม
วินาทีนี้ ในที่สุดนางก็มีความไร้เดียงสาและความสับสนที่เด็กสาววันสิบห้าปีควรจะมี
ทว่าเซียวลิ่วหลังดีใจไม่ออก
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก หลุบตาลง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจียวเจียว นางไม่ใช่ท่านย่า ไม่ใช่อีกต่อไป”
กู้เจียวเหม่อมองสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมา นางรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
เซียวลิ่วหลังปล่อยมือออกจากร่ม รั้งร่างของนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกอย่างแผ่วเบา
ศีรษะของนางแอบอิงกับแผงอกแกร่งของเขา
นางส่ายหน้าไปมา ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าไม่เศร้าหรอก”
มือของเซียวลิ่วหลังที่โอบเอวนางไว้กระชับแน่น ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวนางอย่างแผ่วเบา “อืม”
ภายในเรือน กู้เหยี่ยนกำลังหลับใหล ทว่าทันใดนั้นก็เขาตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นแล้วผุดตัวขึ้นนั่ง
แม่นางเหยาตกใจสะดุ้งโหยงเพราะเขา “เป็นอะไรไปหรือ”
กู้เหยี่ยนไม่เอ่ยคำใด น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตา เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาพลางจ้องมองนิ่งอยู่อย่างนั้น
แม่นางเหยาเห็นก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้”
กู้เหยี่ยนตอบ “ข้าไม่ได้ร้อง”
นี่ไม่ใช่น้ำตาของเขา แต่เป็นของเจียวเจียว