สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 270.1 พบกันอีกครา (1)
บทที่ 270 พบกันอีกครา (1)
ทั้งสองนั่งรถม้าของเว่ยกงกงเข้าวังหลวง
อย่างไรเสียเว่ยกงกงก็เป็นผู้ดูแลใหญ่ของตำหนักหวาชิง หน้าประตูวังไม่มีใครกล้าขวางรถม้าของเขา คนทั้งกลุ่มจึงเข้าวังมาได้อย่างราบรื่น
หากว่ากันอย่างจริงจังตำหนักหวาชิงเป็นของวังหลัง ชายนอกเข้ามาได้ เพียงแต่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ได้ เว่ยกงกงจึงต้องไปแจ้ง
ทว่าพอเขาไปแจ้ง ฮ่องเต้ก็หมดสติไปแล้ว สภาพพระองค์ย่ำแย่มาก ใบหน้าบวมแดง หายใจลำบาก เหมือนจะหมดลมหายใจไปได้ตลอดเวลา
“ฝ่าบาท!”
เว่ยกงกงไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก เขารีบไปพากู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังเข้ามาทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังดูกู้เจียวรักษาคนไข้ ตอนผ่าตัดให้กู้เฉิงหลินที่ตรอกปี้สุ่ยตอนนั้นมีแต่กลิ่นคาวเลือด กู้เจียวจึงปิดประตู ไม่อนุญาตให้เซียวลิ่วหลังเข้ามา
กู้เจียวหิ้วกระเป๋ายามาตรงหน้าเตียงไม้สีเหลืองอร่ามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนเอ่ยอย่างสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านว่า “จุดไฟที”
“เร็วเข้า! รีบจุดโคม!” เว่ยกงกงรีบสั่งการ
เทียนทุกเล่มถูกจุดหมด ปรับตะเกียงน้ำมันให้สว่างที่สุด ห้องบรรทมสลัวพลันสว่างไสวขึ้นมา
กู้เจียวในชุดสีครามตลอดร่าง รูปร่างบอบบาง ยืนอยู่กลางห้องอันกว้างขวาง จึงดูตัวเล็กเท่าเกาลัด แต่โชติช่วงสะดุดตานัก
เซียวลิ่วหลังจ้องมองนางนิ่ง นี่เป็นท่าทางจริงจังที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงค่อนข้างแปลกตาและทำเอาละสายตาไม่ได้
“จอหงวนเซียว ขอโทษด้วยนะ” เว่ยกงกงยิ้มแหยๆ ให้เซียวลิ่วหลัง เนื่องจากต้องคลายเสื้อให้ฝ่าบาท จะให้คนมามุงดูไม่ได้
เขาให้นางกำนัลกางฉากบังลมกั้นไว้ตรงหน้าเตียงไม้สีเหลืองอร่าม เซียวลิ่วหลังจึงเห็นเงาร่างที่สะท้อนบนฉากบังลมอย่างเลือนราง
“ฝ่าบาทไม่เป็นไรกระมัง” เว่ยกงกงเอ่ยขึ้นอย่างกังวล “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ๆ จึงหนักขึ้นมาได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าสำลักน้ำลายหรอกรึ”
นี่เป็นอาการจมน้ำแห้ง เป็นหนึ่งในอาการจมน้ำ ก่อนหน้านี้สำลักน้ำสองสามอึก พอขึ้นฝั่งมาแล้วจะเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่กลับบ้านไปจะพบว่าหายใจลำบาก ริมฝีปากเขียวคล้ำ อ่อนเพลียอยากจะนอนอย่างเดียว สะลึมสะลือ สำลักจนกระทั่งขาดใจตาย
อาการเช่นนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับเด็กอายุน้อยๆ และคนที่ร่างกายอ่อนแอ มีบ้างที่พบในคนร่างกายแข็งแรง สาเหตุหลักคือมีน้ำในปอดน้อย ซึ่งไม่ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซในถุงลม แต่มีอาการกระตุกของกล่องเสียง ช่องสายเสียงปิด และภาวะขาดออกซิเจนในสมอง
กู้เจียวก้าวไปบนเตียงมังกร แกะชุดนอนของฝ่าบาทออก แล้วคุกเข่าลงข้างกายฝ่าบาท ล้างสิ่งตกค้างจากปากและจมูกให้ฝ่าบาท ก่อนจะกดหน้าอกปั๊มหัวใจให้
เมื่อจัดการเสร็จ นางก็เปิดกล่องยาใบน้อยออก พบว่าด้านในมีขวดออกซิเจนบริสุทธิ์แบบพกพาเพิ่มขึ้นมา
อ้อ สิ่งของที่นอกเหนือจากยามีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสินะ
กู้เจียวครอบหน้ากากออกซิเจนให้ฝ่าบาท
คงจะสบายขึ้น เพียงไม่นานฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ สายตาเลือนรางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น
ชั่วขณะที่เห็นกู้เจียวชัดเจนแล้ว ฮ่องเต้จึงเบาพระทัยลง
พระองค์อ้าปาก “แม่นางกู้…”
กู้เจียวประคองหน้ากากออกซิเจนให้พระองค์ “อย่าเพิ่งพูด สูดอากาศก่อน”
พระองค์ขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำให้สมองบวมน้ำหรือไม่ เพราะขาดเครื่องมือที่แม่นยำ จำต้องวินิจฉัยจากการสังเกตอาการแทน
ต้องเฝ้าดูอาการหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยวินิจฉัยว่าพ้นขีดอันตรายหรือยัง
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย
เว่ยกงกงเดินไปมองฮ่องเต้ที่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะอดปาดน้ำตาด้วยความโศกเศร้าไม่ได้ “ฝ่าบาท ท่านทำบ่าวตกอกตกใจหมดเลย!”
โชคดีที่ฝ่าบาทตัดสินใจให้เรียกแม่นางกู้มาในทันที มิฉะนั้นอาการหนักขนาดนี้ หมอหลวงคงทำอะไรไม่ถูกแน่
ฮ่องเต้หลับไปอย่างรวดเร็ว
เว่ยกงกงตั้งใจว่าจะให้กู้เจียวไปพักที่ตำหนักด้านข้าง เขาจะเฝ้าเอง คำพูดอยู่ตรงริมฝีปากจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกนางว่าอย่างไรดี
ตอนแรกที่เจอนางคิดว่านางยังไม่แต่งงาน จึงเรียกว่าแม่นางกู้ และเรียกจนชินปากแล้วด้วย แถมเถ้าแก่รองกับคนในโรงหมอก็เรียกเช่นนี้กัน
เถ้าแก่รองเรียกเช่นนี้เพราะเขารู้สึกว่าทั้งสองคนไม่ใช่สามีภรรยากัน คนในโรงหมอก็เรียกเช่นนี้เพราะเถ้าแก่พวกเขาเรียกเช่นนี้
สรุปคือยามนี้ทุกคนต่างเรียกแม่นางกู้ แม้ว่านางจะมีสามีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสามคำนี้จะกลายเป็นตัวตนหนึ่งของนางไปแล้ว ทุกคนต่างไม่ได้เปลี่ยนคำเรียก อีกทั้งยังไม่รู้สึกแปลกๆ ด้วย นี่เป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว
ฉากบังลมถูกยกออกไป กู้เจียวกลับไปนั่งข้างกายเซียวลิ่วหลังตามเดิม
เซียวลิ่วหลังมองเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากนาง ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะส่งให้กู้เจียวเช็ดเอง ไม่รู้เพราะตัวเองยื่นให้สูงเกินไปหรือไม่ นึกไม่ถึงว่ากู้เจียวจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะเช็ดให้นางเอง
กู้เจียวยื่นหน้าดวงน้อยของตัวเองไปหาโดยมีโต๊ะน้ำชาเล็กๆ ขวางกั้น
เซียวลิ่วหลังชะงักไป กำผ้าเช็ดหน้าแน่น
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ชักมือกลับ แต่เช็ดหน้าผากให้นางเบาๆ
เว่ยกงกงเตรียมห้องปีกข้างให้ทั้งคู่เรียบร้อย ก็เชิญทั้งคู่ให้ไปพัก
“ข้าไม่ไปหรอก เจ้าไปพักเถอะ” กู้เจียวบอกเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังชะงัก “ข้าก็ไม่ไปเช่นกัน”
กู้เจียวเฝ้าคนไข้ทั้งคืน
เซียวลิ่วหลังก็เฝ้านางทั้งคืนเช่นกัน
…
หน้าต่างกระดาษของตำหนักหลังแห่งนี้สะท้อนเงากิ่งไม้เคล้าเมฆคลอจันทร์ เงียบงันตลอดทั้งราตรี
เช้าตรู่มาถึง จวงไทเฮาก็ไปประชุมราชสำนักเช้า นั่งฟังการประชุมอยู่หลังม่านต่อ ขุนนางพลเรือนและการทหารนอกจากเซวียนผิงโหวที่ขี้เซาแล้ว ส่วนใหญ่ก็มาถึงกันหมด รวมถึงจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนคนใหม่และจอมพลทหารด้วย
จวงไทเฮานั่งอยู่หลังม่านมุก สีหน้าเคร่งขรึมเยือกเย็น
เวลาประชุมค่อยๆ ล่วงเลยไป ฮ่องเต้กลับยังไม่ปรากฏกายเหมือนเดิม พวกขุนนางพากันเริ่มกระซิบกระซาบขึ้นมา
“เหตุใดฝ่าบาทยังไม่มา”
“ลืมเวลารึ หรือว่าไม่สบาย”
คงไม่ใช่อาลัยวังหลังจึงไม่เข้าร่วมประชุมเช้าอีกแล้วหรอกกระมัง อย่างไรเสียไม่ว่าใครก็รู้ว่าหมู่นี้ฝ่าบาทเสพติดยาลูกกลอน เพราะต้องทำจิตใจสะอาดผ่องใสมาตลอดสองปี
หรือว่าโมโหจวงไทเฮาเข้าแล้ว
คิดๆ ดูแล้วก็ไม่แปลก จวงไทเฮากลับมาร่วมประชุมวันแรกก็แต่งตั้งจอมพลทหารเลย ซ้ำยังบังคับให้ริบอำนาจทางการทหารของจวนเซวียนผิงโหวไปดื้อๆ ด้วย ฮ่องเต้ไม่โมโหจนล้มป่วยสิแปลก
ทว่ายิ่งฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกขุนนางในราชสำนักรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของจวงไทเฮา และสวามิภักดิ์แทบเท้าต่อจวงไทเฮาไปโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่จิตใจของขุนนางในราชสำนักกำลังว้าวุ่นและแปรปรวนไปมา เสียงเว่ยกงกงก็ดังขึ้นนอกตำหนักจินหลวน “ฝ่าบาทเสด็จ”
ขุนนางพลเรือนและทหารพากันถือฮู่ป่านคุกเข่าอยู่สองฟากฝั่ง
ฮ่องเต้เชิดหน้าสาวเท้าเดินผ่านกลางตำหนักมาขึ้นบันได แล้วหยุดยืนอยู่หน้าบัลลังก์มังกร ประสานมือคำนับให้จวงไทเฮาที่อยู่หลังม่าน “เสด็จแม่ ลูกมาช้าเสียแล้ว ขอเสด็จแม่โปรดอภัยด้วย”
จวงไทเฮามองเขาแวบหนึ่ง แววตากลับนิ่งอึ้งเล็กน้อย “ฮ่องเต้มาก็ดีแล้ว”
ฮ่องเต้แย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าเสด็จแม่จะผิดหวังนะ”
จวงไทเฮาเชิดคางขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ฮ่องเต้คิดมากไปแล้ว ฮ่องเต้ไม่มาสิข้าจึงผิดหวัง ในเมื่อฮ่องเต้สบายดี เช่นนั้นก็เริ่มประชุมเลยแล้วกัน”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น แล้วหันไปนั่งบนบัลลังก์มังกร วางมาดน่าเกรงขาม บารมีสูงส่งชวนให้คนตกใจเกรงกลัว “เริ่มประชุม!”
อีกด้านหนี่ง เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวกินมื้อเช้าที่ตำหนักหวาชิงอย่างง่ายๆ แล้วออกจากวังมา
เซียวลิ่วหลังคว้ากล่องยาใบน้อยของนางมาถือไว้ในมือ กล่องยาไม่ได้หนักแท้ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงหยิบยาออกมาได้มากมายเพียงนั้น
ทั้งสองเดินผ่านตำหนักจินหลวน
รถม้าก็จอดอยู่ใกล้ๆ ตำหนักจินหลวน เว่ยกงกงส่งพวกเขากลับไปด้วยตัวเอง
การประชุมเช้าวันนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เพียงไม่นานก็เลิกแล้ว
จวงไทเฮาออกมาจากตำหนักจินหลวน นั่งอยู่ในเกี้ยวหงส์ของตัวเอง เกี้ยวหงส์ของนางมียอดฝีมือของวังหลวงแปดคนหาม รอบด้านมีม่านผืนบางปรกคลุม คนนอกเห็นเงางามสง่าได้รางๆ แต่ไม่ค่อยชัดนัก
กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังไปทางตะวันออก จวงไทเฮาไปทางตะวันตก ล้วนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
ชั่วขณะที่เกี้ยวเลี้ยวไปทางวังหลัง ก็ไม่รู้ว่าสัมผัสได้ถึงอะไรหรือไม่ จู่ๆ จวงไทเฮาก็ยกมือขึ้น แล้วรีบเอ่ยกับนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ “หยุดเกี้ยว”
เกี้ยวหยุดลง
นางกำนัลเอ่ยถาม “ไทเฮา มีอะไรหรือเพคะ”
จวงไทเฮาชะงักไปเล็กน้อย มองไปทางด้านหลังเกี้ยว แต่ไม่เห็นอะไร เสียงจวงเย่ว์ซีลอยมาจากเบื้องหน้า “ท่านย่า!”
จวงไทเฮาถูกคำว่าท่านย่าทำเอาชะงักไปเล็กน้อย นางชะงักการหันหน้ากลับมา แล้วให้คนเลิกม่านขึ้น
นางมองไปยังจวงเย่ว์ซี
จวงเย่ว์ซีวันนี้สวมชุดกระโปรงยาวสีครามแขนเสื้อทรงแคบ นี่ก็เป็นแบบที่เมืองหลวงกำลังนิยมเช่นกัน นางสงสัยนัก เพราะเมืองหลวงมักนิยมชุดกระโปรงหรูแขนเสื้อกว้างมาโดยตลอดแท้ๆ
ยิ่งเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์มากเท่าใด แขนเสื้อก็ยิ่งกว้างมากเท่านั้น มีเพียงสตรีครอบครัวยากจนเท่านั้นที่จะใส่แขนเสื้อแคบ อย่างไรเสียก็ต้องให้สะดวกต่อการทำงาน
คราก่อนนางเห็นไทเฮาชอบการแต่งหน้าแต้มชาดที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ครุ่นคิดดูแล้วว่าอีกฝ่ายจะชอบชุดกระโปรงที่กำลังนิยมนี้หรือไม่ สุดท้ายก็เดาถูก
ไทเฮาชอบมาก
จวงไทเฮาแววตาอ่อนโยนขึ้น แล้วเอ่ยกับนาง “ขึ้นมาสิ”
จวงเย่ว์ซีดีใจกับผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายนี้
นี่นางจะได้นั่งเกี้ยวหงส์ของไทเฮาหรือนี่
เกี้ยวหงส์ของไทเฮาแม้แต่องค์หญิงยังไม่เคยได้นั่งเลย
จวงเย่ว์ซีได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ นางขึ้นไปนั่งทันที!
พื้นเกี้ยวปูด้วยไหมพรมอ่อนนุ่ม ว่ากันว่าใช้หางจิ้งจอกหิมะชั้นเยี่ยมมาทำ ราวกับเหยียบอยู่บนเมฆ ให้ความรู้สึกเป็นเกียรติอันสูงสุดโดยแท้
มีสง่าราศีเสียยิ่งกว่ารถม้าและเกี้ยวทั่วไปมากนัก จวงเย่ว์ซีนั่งอยู่ข้างกายจวงไทเฮา มองจากความสูงนี้แล้วให้ความรู้สึกว่าทิวทัศน์ของวังหลวงต่างออกไป
จวงเมิ่งเตี๋ยยังนอนหลับอุตุอยู่ จึงพลาดโอกาสได้นั่งเกี้ยวหงส์อันงดงามไปเสียแล้ว
หลังจากถึงตำหนักเหรินโซ่วแล้ว จวงไทเฮาก็ให้คนเปิดพระคลังเอาของดีด้านในออกมาทีละชิ้น นางเลือกมาสองสามอย่างส่งให้จวงเย่ว์ซีด้วยใจสงบ มีไข่มุกราตรีทะเลตะวันบูรพา กาควันม่วงจากซีซา กริชเหล็กดำตงจิ้น กระบี่โบราณไท่ซางของราชวงศ์ก่อน เกราะขุนศึกในอดีต…
สองอย่างแรกยังพอทำเนา แต่อย่างหลังเหตุใดจึงรู้สึกว่าแปลกๆ กันนะ
ทั้งกริชเอย กระบี่โบราณเอย เกราะเอย เป็นสิ่งที่จะมอบให้สตรีรึ
อันที่จริงสตรีมีความสามารถอย่างนางชอบวาดรูปเขียนอักษรมากกว่านะ
ทว่าในเมื่อไทเฮามอบให้นาง นางก็ยังคงดีใจอยู่ดี
จวงไทเฮาเอาแต่ส่งให้ๆ แม้แต่ไข่มุกและปี่เซียะทองคำหรือแม้กระทั่งของมีคมที่ใช้ทำงานไม้ก็ยังเอาออกมา จวงเย่ว์ซีมึนงง
ของพวกนี้เหมือนของเล่นเด็กเลย…
“มันมากเกินไปหรือไม่เพคะ” นางตั้งสติแล้วถามขึ้น
จวงไทเฮาเอ่ย “ให้เจียวเจียว ไม่เยอะหรอก”
เพิ่งจะเอ่ยขึ้น จวงไทเฮาเองก็ชะงักไปเช่นกัน “เมื่อครู่ข้าพูดว่าอะไรนะ”
จวงเย่ว์ซีชะงักก่อนจะเอ่ย “ไม่มีอะไรเพคะ ท่านบอกว่าให้ข้า ไม่เยอะหรอก” ไทเฮาก็เหลือเกิน เหตุใดแม้แต่ชื่อนางก็เรียกผิดเสียได้ นางมีชื่อเล่นก็จริง แต่ชื่อเย่ว์เย่ว์นะ
…
พอกู้เจียวกลับมาถึงเรือนในโรงหมอ เซียวลิ่วหลังก็รีบเปลี่ยนยาให้นางทันที
นางหมอบอยู่บนที่นอนอ่อนนุ่ม เซียวลิ่วหลังเลิกเสื้อนางขึ้นเบาๆ ครานี้ไม่มีความคิดอะไรแล้ว เพราะนางบาดเจ็บหนักจริงๆ ช่วยชีวิตฮ่องเต้ทำให้แผลฉีก สะเก็ดแผลปริแตกหลายจุด เลือดซึมออกจากผ้า แห้งกรังติดผ้าเป็นเปื้อน
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก เขาตั้งสมาธิเอ่ยกับนาง “อาจเจ็บหน่อยนะ เจ้าทนหน่อย”
คนบนที่นอนไร้การตอบรับ
เซียวลิ่วหลังก้มตัวไปมอง จึงเห็นนางหลับไปแล้ว ดวงตานางปิดลงเล็กน้อย ขนตายาวปรกเป็นเงาจางๆ บนแก้ม ปลายจมูกมีเหงื่อเล็กผุดซึม คงจะเจ็บปวดแม้แต่ในฝัน
ที่แท้ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่ไม่สนใจความเจ็บก็เท่านั้น
เป็นเพราะเมื่อก่อนมีตอนที่เจ็บยิ่งกว่านี้หรือ
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้ว ทำแผลให้นางอย่างเบามือ
…
ณ ตรอกปี้สุ่ย คนทั้งครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกัน บนโต๊ะอาหารไม่มีกู้เจียว ไม่มีเซียวลิ่วหลัง และไม่มีท่านย่าที่มักจะถามพวกเขาว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง
อาหารก็ไม่อร่อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น
…