สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 298 ความสามารถ
บทที่ 298 ความสามารถ
หนิงจื้อหย่วนเสียดายแทนเซียวลิ่วหลังยิ่งนัก
เขามาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สัมผัสกับวงการขุนนาง ตอนเขาอยู่ชนบทเคยไปเป็นอาจารย์เจี้ยวสีที่สำนักบัณฑิตประจำเมือง และเคยเป็นผู้ช่วยหรือจู่ปู้ชั่วคราวของนายอำเภออีกด้วย
เขาเคยเห็นความมืดมนและการขัดแข้งขัดขาในวงการขุนนางกับตา เพียงแต่เขาไม่นึกว่าสถานที่ใสสะอาดมีคุณธรรมอย่างสำนักฮั่นหลินจะมีเรื่องอยุติธรรมเช่นนี้ด้วย
ที่จริงแล้ว เขาก็ไม่ได้มีชีวิตราบรื่นนัก แต่ความไม่ราบรื่นนี้ยังอยู่ในขอบเขตของการไม่มีภูมิหลังไม่มีอำนาจ จึงไม่มีใครให้ความสำคัญ
แต่ของเซียวลิ่วหลังนี้ คือการถูกคนจงใจกดขี่
ก็ยังดีที่เซียวลิ่วหลังสภาพจิตใจดี ไม่ได้แตกสลายไปเสียก่อน หากเป็นคนอื่นก็คงใจสลายไปแล้ว
หนิงจื้อหย่วนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาตบไหล่เซียวลิ่วหลัง แล้วถอนหายใจพร้อมเดินออกไป
เซียวลิ่วหลังออกห้องไปล้างพู่กัน เมื่อมาถึงบ่อล้างพู่กันก็พบอันจวิ้นอ๋องมาล้างพู่กันที่นี่โดยบังเอิญ
เขาไม่จำเป็นต้องทำเอง ย่อมมีคนทำให้อยู่แล้ว
เขาถูกพวกขุนนางล้อมเอาไว้ แต่ละคนต่างยินดีกับเขา
“ได้ยินว่าจวงเปียนซิวสอบได้ที่หนึ่ง เขาถึงเรียกว่าทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ!”
“นั่นสิ! ครั้งนี้ไม่มีคนกล้าใช้อำนาจเส้นสายแล้ว!”
พวกเขาพูดคุยกันอย่างไม่หวาดกลัว และยังไม่ลืมที่จะทอดสายตาอันมีเลศนัยไปยังเซียวลิ่วหลัง
เส้นทางการเป็นที่หนึ่งของเซียวลิ่วหลังเป็นมาอย่างไรนั้นเป็นที่ ‘ร่ำลือ’ กันทั่วทั้งเมืองหลวงแต่ไรแล้ว ลือกันว่าเป็นเพราะเขาใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านโหวน้อย จึงได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษจากบิดาและศิษย์พี่ของท่านโหวน้อย
แม้กระทั่งผลสอบจอหงวนของเขาก็ได้มาเพราะฮ่องเต้จงใจอ่อนข้อให้ เพื่อเป็นการข่มตระกูลจวง
แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายได้ทุกเรื่อง สำนักฮั่นหลินเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้และเหล่าราชนิกูลไม่สามารถยื่นมือเข้ามาได้ ดูสิ การสอบของสำนักฮั่นหลินครั้งแรกก็เผยตัวตนออกมาเสียแล้ว!
อย่านึกว่าปัญญาชนจะพูดจาซับซ้อนซ่อนความนัยกว่าหญิงชาวบ้านชนบท หญิงชาวบ้านชนบทแค่เสียงดัง คำพูดหยาบไร้เหตุผล ด่าเจ็บไม่ถึงใจ
ปัญญาชนด่าคน เจ็บเหมือนใช้มีดคว้านหัวใจออกมา คมมีดจากปากคน สะกิดจนเลือดไหล
ทว่าอย่างไรเสียขุนนางของสำนักฮั่นหลินก็ใช่ว่าจะไม่กังวลเรื่องใดเลยเหมือนกับเด็กเกเรในกั๋วจื่อเจียน พวกเขารักในชื่อเสียงของตน ไม่มีทางล้อมเซียวลิ่วหลังไว้เพื่อทำอะไรเขา หรือขัดขาเขาจนสะดุดล้มให้เขาอับอาย
พวกเขาได้แต่ใช้อำนาจในตำแหน่งของตนข่มเขา หรือไม่ก็รวมหัวกันส่อเสียดเขา ให้เขาอยู่คนเดียวโดยไร้พรรคพวก
สีหน้าของเซียวลิ่วหลังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เขาล้างพู่กันเสร็จกำลังจะเดินไป
“…ต้องคิดแบบนี้ ได้ผลลัพธ์เท่ากับยี่สิบเจ็ด” อันจวิ้นอ๋องบอกคำตอบให้กับเปียนซิวที่มาให้เขาสอนข้อคำนวณแล้วเอ่ยเรียกเซียวลิ่วหลัง “เจ้ารอเดี๋ยว”
เซียวลิ่วหลังชะงัก มองไปทางเขาอย่างไร้อารมณ์ “มีธุระหรือ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “สำนักฮั่นหลินเป็นสถานที่ที่แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ไม่ว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร ข้าก็ขอให้เจ้าเข้าใจว่า ที่นี่ว่ากันด้วยความสามารถ อันดับการสอบระดับจอหงวนของเจ้าเป็นมาอย่างไรเจ้ารู้อยู่แก่ใจ สำนักฮั่นหลินจะไม่ให้เซวียนผิงโหวได้มีโอกาสเข้ามาแทรกแซงได้ เจ้าไม่ควรเอนเอียงไปเป็นพวกกับเซวียนผิงโหวแต่แรกจริงๆ”
หากเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ จะเข้าพรรคพวกกับเซวียนผิงโหวก็ยังพอดูมีเหตุผล
ทั้งที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นแท้ๆ ตระกูลจวงต่างหากที่เป็นไม้ใหญ่ต้นนั้น!
เซียวลิ่วหลังไม่ได้สนใจคำพูดของอันจวิ้นอ๋อง ได้แต่มองดูข้อคำถามคำนวณในมือของเปียนซิวที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ย “สิบเก้า”
เมื่อพูดจบ เขาก็จากไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ
อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว
สิบเก้าอะไร
เปียนซิวผู้นั้นกำลังศึกษาขั้นตอนการคำนวณของอันจวิ้นอ๋อง ไม่กล้าแอบฟังคำสนทนาของทั้งสอง
อันจวิ้นอ๋องเดินเข้าไป นำคำถามนั้นมาดูอีกรอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ทันใดว่าขั้นตอนที่เจ็ดตนเขียนเลขตกไปหนึ่งตัว เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ…
อันจวิ้นอ๋องหยิบพู่กันและกระดาษมาแล้วคิดคำนวณอีกรอบ
สิบเก้า!
เขารู้ได้อย่างไร!
เขาเคยทำข้อนี้หรือ คงไม่ใช่เพราะได้ยินจังเปียนซิวอ่านคำถามเมื่อครู่ แล้วคิดคำนวณในใจหรอกนะ
เป็นไปไม่ได้!
เขาไม่ฉลาดขนาดนั้น!
การคำนวณตัวเลขจำนวนมากเพียงนี้ คนทั่วไปต้องคิดคำนวณบนกระดาษทั้งวัน จิ้นซื่อสำนักฮั่นหลินฉลาดกว่าคนธรรมดาหน่อย แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามอยู่ดี
ส่วนเขาฉลาดเป็นพิเศษ จึงใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที แต่ก็ต้องเขียนขั้นตอนการคำนวณอันซับซ้อนบนกระดาษ
อีกอย่างเขาก็คิดผิดเสียด้วย
เซียวลิ่วหลังคิดในใจแล้วยังคำนวณถูกอีกได้อย่างไรกัน
หลังจากเลิกงาน อันจวิ้นอ๋องขึ้นรถม้ากลับจวน และได้พบว่าราชครูจวงนั่งอยู่บนรถ
“ท่านปู่” อันจวิ้นอ๋องคำนับ “ท่านมาได้อย่างไร”
“ผ่านมาแถวนี้ เลยมาเยี่ยมเจ้า” ราชครูจวงเอ่ยด้วยท่าทางอารมณ์ดี
ตั้งแต่จวงไทเฮาส่งจวงเย่ว์ซีกลับบ้านแล้ว ราขครูจวงก็ไม่ได้มีสีหน้าปลื้มปิติเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
อันจวิ้นอ๋องอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดท่านปู่จึงอารมณ์ดีเช่นนี้ มีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือ”
สายตาชื่นชมของราชครูจวงตกกระทบบนร่างของเขา ยากจะเก็บรอยยิ้มเอาไว้ “คิดดูแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่ง”
เรื่องที่สามารถทำให้ท่านปู่เรียกว่าเรื่องน่ายินดีนั้นมีไม่มากนัก…
อันจวิ้นอ๋องมองราชครูจวงด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างกำลังทะลักมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ราชครูจวงไม่ทำเป็นอุบเรื่องนี้ไว้อีกต่อไป เขากล่าวต่ออันจวิ้นอ๋องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ราชเลขาหยวนชื่นชอบเจ้า”
“ราชเลขาหยวนหรือ” อันจวิ้นอ๋องชะงักไปทันใด
ราชเลขาหยวนเป็นถึงขุนนางอันดับหนึ่งผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ผู้ไม่ยอมก้มหัวต่ออธรรมแห่งแคว้นเจา
เหตุใดจู่ๆ ถึงชื่นชอบตน
ใช่ว่าอันจวิ้นอ๋องดูแคลนตนเอง เห็นว่าตนไม่มีศักยภาพพอ แต่ชื่อเสียงของเขาแพร่ออกไปแต่ไรแล้ว หากราชเลขาหยวนจะชื่นชอบเขาก็คงจะชอบตั้งนานแล้ว
หากจะเป็นเพราะการสอบคัดเลือกขุนนางครั้งนี้ แต่ตนสอบได้แค่อันดับปั้งเหยี่ยนเท่านั้น ยังมีเซียวลิ่วหลังที่สอบได้อันดับจอหงวนเหนือเขาอยู่
ราชครูจวงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พวกเจ้าไปจัดห้องตำราที่เขาเย่ว์หลัวครั้งนี้ เขาได้อ่านตำราโบราณที่เจ้าเรียบเรียงแล้วชื่นชอบเจ้ายิ่งนัก”
อันจวิ้นอ๋องก็พอใจกับตำราโบราณที่ตนเรียบเรียงเช่นกัน
เขาอ่านตำรามากมายแต่เด็ก ตอนที่แคว้นเฉินเป็นเมืองขึ้นก็ไม่เคยละเลยการร่ำเรียน ประวัติศาสตร์ก็เรียนได้ดีเช่นกัน
วันนั้นเขาเรียบเรียงตำราโบราณไม่กี่เล่ม แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาเรียบเรียงได้ดีกว่าคนอื่นๆ แน่นอน
“ราชเลขาหยวนรักการศึกษาตำราโบราณยิ่งนัก” ราชครูจวงเอ่ย
“เช่นนี้นี่เอง” อันจวิ้นอ๋องเข้าใจในทันใด มิน่าจู่ๆ ก็ชื่นชอบตนขึ้นมา “เช่นนั้นเขา…จะรับข้าเป็นศิษย์หรือไม่”
หากได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของราชเลขาหยวนก็จะน่ายินดีเป็นอย่างมาก
แม้พวกเขาจะสอบเป็นจิ้นซื่อได้ ถือว่าเป็นศิษย์สำนักของฮ่องเต้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าการมีอาจารย์ที่เก่งกาจเพียงนี้เพิ่มอีกคนเป็นเรื่องไม่ดี
สำหรับเขาแล้ว ในบรรดาหกเมืองนี้ มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสามารถเป็นอาจารย์ของเขาได้
คนหนึ่งคือผู้อาวุโสเฟิงผู้ล่วงลับ คนหนึ่งคือฆราวาสหุบเขาหันซานแห่งแคว้นเยี่ยน คนหนึ่งคือผู้อาวุโสเหลียนอวิ๋นแห่งแคว้นจ้าว และสุดท้ายก็คือราชเลขาหยวน
แม้แต่จวงเซี่ยนจือ ท่านอาสี่ของเขาเองยังไม่มีคุณสมบัติพอเลย
ส่วนฮั่วจี้จิ่ว เขาไม่ถูกกับจวงไทเฮา อันจวิ้นอ๋องจึงย่อมไม่ชอบใจเขานัก
“ไม่ใช่ศิษย์ แต่เป็นหลานเขย” ราชครูจวงเอ่ย
อันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้วทันใด
ราชครูจวงเอ่ย “เขาจะยกหลานสาวคนที่โตในวัดเต๋าให้เจ้า เด็กคนนั้นเก่งกาจยิ่งนัก ราชเลขาหยวนให้ความสำคัญนางเป็นอย่างมาก เสียดายที่นางเป็นหญิง ไม่สามารถสืบทอดต่อจากราชเลขาหยวนได้ หากเจ้าแต่งกับนาง ก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นศิษย์ของราชเลขาหยวนแล้ว”
ไม่ต่างได้อย่างไร
แค่รุ่นก็ต่างแล้ว
คำนี้อันจวิ้นอ๋องไม่ได้พูดออกมา
เรื่องการแต่งงานของเขา เขาตัดสินใจเองไม่ได้อยู่แล้ว หากไม่ได้แต่งงานกับหญิงที่เขาชอบพอ เช่นนั้นแต่งกับใครก็ไม่ต่างกัน
นับแต่หยางซื่อตู๋เลื่อนตำแหน่ง เขาก็มัวยุ่งง่วนกับการไปสอนหนังสือให้ซู่จี๋ซื่อของสถาบันฮั่นหลิน ไม่มีเวลามากลั่นแกล้งเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเลิกงานตรงเวลา
เขาเก็บของและออกมาจากสำนักฮั่นหลิน
เขาเพิ่งจะเดินออกไป เฉินเปียนซิวก็ออกมาจากห้องทำงานของตน
สองสามวันมานี้เขาหลบหน้าเซียวลิ่วหลังมาตลอด เพราะหนึ่ง เขาเคยรังแกเซียวลิ่วหลังเลยรู้สึกผิด อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขากำลังดูเชิงเซียวลิ่วหลังว่าจะไปฟ้องหยางซื่อตู๋เมื่อไร
เซียวลิ่วหลังเดินออกจากสำนักฮั่นหลินแล้วเดินไปทางตะวันตก
แต่เขาจำได้ว่าเซียวลิ่วหลังเดินไปทางตะวันออกมาตลอด…
หรือว่าจะไปฟ้องหยางซื่อตู๋
ทางตะวันตกเป็นทางที่จะไปสถาบันฮั่นหลินเสียด้วย…
เซียวลิ่วหลังจะไปสถาบันฮั่นหลินจริง แต่ทว่า เขาไม่ได้จะไปหาหยางซื่อตู๋ แต่จะไปหาเฝิงหลินกับหลินเฉิงเยี่ย เมื่อคืนเขาเรียบเรียงเนื้อหาดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ไว้ น่าจะใช้ได้กับเนื้อหาที่พวกเขาเรียนในตอนนี้
เฉินเปียนซิวแอบตามไปอย่างลับๆ ล่อๆ
เขาเห็นเซียวลิ่วหลังเดินไปยังสถาบันฮั่นหลิน ใจแทบจะหลุดออกมาแล้ว!
แต่ไม่คาดว่า จะมีคนเรียกเซียวลิ่วหลังไว้ระหว่างทาง
เป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง!
หญิงสาวผู้นั้นแต่งตัวสวยสด รูปลักษณ์งดงาม เครื่องประดับเต็มผม แม้จะมีผ้าปิดหน้าไว้ แต่ก็ปิดความรู้สึกอันมากมายนั้นไว้ไม่ได้
เฉินเปียนซิวเห็นเพียงครู่เดียวก็รู้สึกเหมือนดวงตาของตนแทบถลนออกมา
หญิงผู้นั้นไม่ได้เดินเข้าไป
สาวใช้ข้างกายของนางเดินเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับเซียวลิ่วหลัง
จากจุดที่เฉินเปียนซิวยืนอยู่เห็นได้เพียงด้านหลังของเซียวลิ่วหลัง เขาไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังมีสีหน้าอย่างไร และไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของทั้งสอง
จากนั้น เซียวลิ่วหลังก็เดินจากไป
สาวใช้และหญิงสาวผู้นั้นต่างก็คำนับเซียวลิ่วหลัง