สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 299 กรรมตามสนอง
บทที่ 299 กรรมตามสนอง
วันต่อมา เมื่อเซียวลิ่วหลังมาสำนักฮั่นหลินก็พบว่าสายตาของทุกคนที่มองมาที่เขานั้นประหลาดนัก แม้ว่าปกติแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเขาเสียเท่าไร แต่ก็ไม่ใช้สายตาเหยียดหยามและมีเลศนัยมองเขาเช่นนี้
เหมือนว่าพวกเขาไม่อยากให้ค่ากับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีสายตาที่เซียวลิ่วหลังเองก็ยากจะเข้าใจได้อีกด้วย
วันนี้หนิงจื้อหย่วนถูกหยางซื่อตู๋เรียกไปเป็นผู้ช่วยสอนที่สถาบันฮั่นหลิน จึงไม่มีใครไปสืบเสาะถึงสาเหตุของสายตาเช่นนี้ของคนกลุ่มนี้ให้เซียวลิ่วหลัง
ทว่าเซียวลิ่วหลังก็ได้รู้เองในไม่ช้า เนื่องจากเขาถูกหานเสวียซื่อหรือบัณฑิตหานแห่งฮั่นหลินเรียกตัวไป
หานเสวียซื่อซื่อเป็นขุนนางระดับสูงสุดในสำนักฮั่นหลิน ดูแลทุกอย่างในสำนักฮั่นหลิน คนระดับเขาโดยปกติแล้วจะไม่เรียกตัวขุนนางระดับอย่างซิวจ้วนมาเข้าพบโดยส่วนตัว
หานเสวียซื่อซื่อมองดูเซียวลิ่วหลัง แม้จะพยายามห้ามตนเองไว้ แต่ก็แอบกวาดสายตามองไปที่ไม้เท้าในมือของเซียวลิ่วหลังอยู่ดี
จากนั้นสายตาของเขาก็ตกกระทบไปที่บนใบหน้าของเซียวลิ่วหลัง
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าใบหน้าของเขานี้ละม้ายคล้ายกับท่านโหวน้อยผู้ล่วงลับจริงๆ
เมื่อเขาตั้งสติได้ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดไว้แน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกตัวเจ้ามาเพราะเหตุใด”
เซียวลิ่วหลังตอบอย่างเรียบเฉย “ข้าน้อยไม่ทราบ”
กิริยาท่าทางไม่แย่เลยทีเดียว ไม่มีกลิ่นอายชาวบ้านชนบทแม้แต่น้อย
หานเสวียซื่อซื่อคิดอยู่สักครู่ มองไปทางเซียวลิ่วหลังแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าขุนนางแห่งแคว้นถูกห้ามไปหอนางโลม”
เซียวลิ่วหลัง “ข้าน้อยทราบ”
หานเสวียซื่อซื่อมองเขาด้วยสายตาจริงจัง “รู้แล้วยังจะไปอีกหรือ”
เซียวลิ่วหลังตอบด้วยสีหน้าปกติ “ข้าน้อยไม่เคยไปหอนางโลม”
หานเสวียซื่อซื่อจึงเอ่ย “เจ้าไม่ได้ไป แล้วเหตุใดจึงรู้จักกับหญิงหอนางโลมได้”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยอยากประหลาดใจ “ข้าน้อยไม่รู้จักหญิงหอนางโลม”
หานเสวียซื่อซื่อเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่กำลังโกหก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไปได้แล้ว ตั้งใจทำงาน รักษาชื่อเสียงของตน อย่าทำลายตนเอง ทำเรื่องไม่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่น ทำเรื่องเสียชื่อเสียงสำนักฮั่นหลิน”
ในแคว้น หอนางโลมเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่ขุนนางไปเที่ยวหอนางโลมอย่างไรเสียก็ไม่เหมาะไม่ควร คนหน้าหนาไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงอย่างเซวียนผิงโหว ถูกฝ่าบาทตำหนิอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้านก็ย่อมไม่เป็นอะไร
แต่สำนักฮั่นหลินยังรักหน้าตาของตนอยู่
เขาคิดว่าคนอย่างเซียวลิ่วหลังไม่น่ามีเงินทองไปเที่ยวหอนางโลมได้ สั่งสอนตักเตือนเสร็จก็ให้เซียวลิ่วหลังออกไป พร้อมกับเรียกซื่อเจี่ยงอาวุโสให้สั่งขุนนางฮั่นหลินทุกคนว่าห้ามกระจายข่าวลือออกไป
เมื่อเซียวลิ่วหลังออกมาก็ได้พบกับหนิงจื้อหย่วนที่กลับมาจากสถาบันฮั่นหลิน
หนิงจื้อหย่วนลากเขามายังด้านหลังของโถงทางเดินแล้วกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น คนทั้งสำนักฮั่นหลินต่างก็พูดกันว่าเจ้าไปหอนางโลม! หากบอกว่าเจ้าไปฆ่าคนข้ายังพอเชื่อ ไปหอนางโลมข้าเชื่อไม่ลงจริงๆ!”
หากจะไปคงไปนานแล้ว เขาถึงขั้นยอมผิดใจเพื่อนขุนนางด้วยการกรอกเหล้าตนเองจนสภาพเมามายเพียงเพราะไม่อยากไปหอนางโลม
เซียวลิ่วหลังพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าไม่เคยไป”
“ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าไม่เคยไป! แต่ช่วงนี้เจ้าได้ไปล่วงเกินใครไว้หรือไม่ ข้าหมายถึง…คนอื่นนอกเหนืออันจวิ้นอ๋อง” หนิงจื้อหย่วนคิดว่าอันจวิ้นอ๋องไม่น่าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้มาใส่ร้ายเซียวลิ่วหลังได้
เขาคิดจะกดดันเซียวลิ่วหลังนั้นง่ายดายนัก ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า
คนที่ไม่ชอบหน้าเขาในสำนักฮั่นหลินมีมากมายนัก แต่หากถามว่าเขาไปล่วงเกินใครก่อน เขานึกไม่ออกจริงๆ
หนิงจื้อหย่วนเอ่ยอย่างร้อนรน “เจ้าลองคิดดูดีๆ! หากไม่หาตัวปัญหานี้ออกมา ภายภาคหน้าก็ยังจะใส่ร้ายเจ้าลับหลังอีก! หานเสวียซื่อซื่อเชื่อเจ้าได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อเจ้าไปทั้งสิบครั้ง คำพูดคนน่ากลัวยิ่งนัก!”
เซียวลิ่วหลังลองตั้งใจคิดดูอีกที
เวลานี้เอง เฉินเปียนซิวออกมาจากห้องทำงานของหยางซิวจ้วนแล้วเดินมายังโถงทางเดิน
หนิงจื้อหย่วนกลัวว่าจะโดนจับได้ จึงทำท่าทางเป็นสัญญาให้กับเซียวลิ่วหลัง แล้วหายตัวไปในพริบตา!
เซียวลิ่วหลังชินแล้ว เดินมาทางโถงทางเดินด้วยสีหน้าเรียบเฉย และปะทะหน้ากันกับเฉินเปียนซิวอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเฉินเปียนซิวเห็นเขา ก็รีบหลบสายตาทันใด!
หากเป็นเมื่อก่อน เซียวลิ่วหลังคงไม่สังเกตเห็นสายตาของคนไม่สำคัญเช่นนี้ แต่วันนี้เขากลับสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เฉินเปียนซิว” ฝีเท้าของเขาหยุดชะงัก
ตำแหน่งขุนนางของเฉินเปียนซิวต่ำกว่าเขาครึ่งขั้น แต่เป็นขุนนางก่อนเขา เป็นเสมียนชั่วคราวหรือซู่จี๋ซื่อของเอินเคอในปีอี่โฉ่ว สอบเข้าสำนักฮั่นหลินจากตอนครบกำหนดเวลางานเมื่อสามปีก่อน เป็นขุนนางขั้นหกระดับล่างตำแหน่งเปียนซิว
การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งของซู่จี๋ซื่อช้ากว่าเหล่าอันดับหนึ่งแต่ละพื้นที่ สองปีผ่านไปแล้ว เขาก็ยังคงเป็นเปียนซิวขุนนางระดับหกชั้นโทของสำนักฮั่นหลิน
ก็ใช่ว่าระดับขั้นของตำแหน่งขุนนางเปียนซิวต่ำต้อยหรืออย่างไร
หากมิใช่จิ้นซื่อก็เข้าสำนักฮั่นหลินมิได้ หากมิใช่ฮั่นหลินก็เข้าร่วมเป็นคณะขุนนางที่ประจำสำนักงานในวังมิได้ ขุนนางที่เคยผ่านสำนักฮั่นหลินมาก่อนแม้จะไม่ได้เข้าประจำสำนักงานภายในวัง ไปประจำหน่วยงานอื่นๆ ก็จะได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากเช่นกัน
เพียงแต่เมื่อมีการเปรียบเทียบ มันก็น่าโมโหยิ่งนัก
อดทนพยายามมาห้าปีก็ยังไม่ได้เลื่อนขั้นอย่างเฉินเปียนซิวเกลียดจอหงวนที่หล่นมาจากฟากฟ้าเช่นนี้เป็นที่สุด มาถึงก็ได้เป็นซิวจ้วนขุนนางระดับหก! เหยียบหน้ากันชัดๆ!
เฉินเปียนซิวเก็บความริษยาไว้ในใจ แล้วมองดูเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาอันเย็นเยือก “เซียวซิวจ้วนมีอะไรหรือ”
ดูทำเข้าสิ ดูที่เขาทำท่าทีกับจอหงวนใหม่เข้าสิ!
ตำแหน่งขั้นสูงกว่าเขาแล้วอย่างไร ก็แค่คนอ่อนแอที่ใครก็รังแกได้เท่านั้น!
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ใส่ใจกับอาการได้ใจที่แล่นผ่านสายตาของเขา แต่เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “เหมือนว่าตอนที่อยู่ห้องเก็บตำรา เฉินเปียนซิวจะมีเรื่องไม่พอใจข้าอยู่ไม่น้อย”
เฉินเปียนซิวหยาม “ก็เพราะเจ้าทำข้าลำบากไปด้วยไม่ใช่หรือ หากไม่จัดข้าให้อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้า ข้าคงไม่ต้องทำงานมากมายเพียงนั้นหรอก”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “เจ้าจงใจไม่เรียกข้า ปล่อยให้ข้าถูกขังในห้องตำราทั้งคืนอย่างนั้นหรือ”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทำเอาใจเฉินเปียนซิวแทบจะระเบิดออกมา!
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหลอะไรของเจ้า” เฉินเปียนซิวเบิกตากว้าง ทำท่าทีขู่ขวัญตบตา
เซียวลิ่วหลังเคยได้ยินหนิงจื้อหย่วนเล่ามาว่า เช้าวันรุ่งขึ้นหยางซิวจ้วนโมโหมากที่เขามาสาย นั่นหมายความว่าหยางซิวจ้วนไม่รู้ว่าเขาถูกขังไว้ในห้องตำรา
ตอนหยางซิวจ้วนจะไปไม่มีทางที่จะไม่เรียกเขา แต่ก็จะไม่เรียกเขาด้วยตนเอง
ฉะนั้นก็เหลือเพียงหวังซิวจ้วนและเฉินเปียนซิวที่อยู่ห้องเดียวกับเขา
หลายวันมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างหวังซิวจ้วนกับเขาไม่ได้มีอะไรแปลกไป มีแต่เฉินเปียนซิวที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ หลบๆ ซ่อนๆ
“เจ้าอย่าพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น!” เฉินเปียนซิวโมโหขีดสุด!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ข่าวลือเรื่องหอนางโลม ก็เป็นเจ้าที่ปล่อยข่าวสินะ”
เฉินเปียนซิวหน้าซีดไปทันใด “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าอย่าพูดจาพล่อยๆ! อย่ามาใส่ความข้า! ข่าวลือเรื่องหอนางโลมอะไรกัน ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ใต้เท้าหานบอกว่าเป็นเจ้านี่”
“ข้า…” เฉินเปียนซิวชะงักไปทันที
เขาไม่กล้าไปถามใต้เท้าหานต่อหน้าอยู่แล้ว
เซียวลิ่วหลังเห็นสายตาของเขาแล้ว ในใจก็รู้คำตอบทันที เขามองไปยังเฉินเปียนซิวด้วยสายตาเรียบเฉย “เฉินเปียนซิว ขยันทำงานให้ดี อย่าสร้างข่าวลืออีก”
เมื่อพูดจบ เซียวลิ่วหลังก็ไม่สนใจเขาอีก และเดินผ่านเขาไป
เฉินเปียนซิวถูกขุนนางชนบทต่อว่า ไม่พอใจยิ่งนัก เขาหันกลับมาเรียกเขา “ข้าสร้างข่าวลือหรือ ข้าสร้างข่าวลืออะไร เมื่อวานเจ้าไม่ได้ไปพบหญิงจากหอเซียนเล่อตามลำพังหรือ พวกเจ้ากล้าทำเรื่องลับในที่แจ้งกลางสาธารณชน ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!”
“หญิงจากหอเซียนหรือ” เซียวลิ่วหลังหยุดเดิน แล้วมองเฉินเปียนซิวด้วยความสงสัย “หอเซียนเล่ออะไร”
หอเซียนเล่อคือหอนางโลมที่เพิ่งเปิดได้สามปี แต่กลับสามารถนำหอหร่วนอวี้ขึ้นเป็นที่หนึ่งในบรรดาหอนางโลมได้
เฉินเปียนซิวลนลาน แอบด่าตนเองอยู่ในใจที่หลุดปากพูดออกไป
พอคิดดูอีกทีรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างแปลกนัก
เหตุใดเขาคุยกับแม่นางสองคนนั้นแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าพวกนางมาจากหอเซียนเล่อ
ทั้งที่ดูท่าทางก็เหมือนจะมีความลึกซึ้งต่อกันแท้ๆ!
เฉินเปียนซิวช่างไม่รู้เลย ว่าเขาเพียงแค่มาถามทางเซียวลิ่วหลังเท่านั้น ไม่ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของตนเลยสักนิด
เซียวลิ่วหลังจำเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่ได้เดาไปทางคนผ่านทางสองคนนี้
เซียวลิ่วหลังมองเฉินเปียนซิวด้วยความสงสัย แล้วหันหลังเดินกลับห้องทำงานของตนไม่พูดพร่ำกับเขาต่อ
เฉินเปียนซิวกลับเอาป้ายไม้สีแดงออกมาอย่างระมัดระวัง
บนป้ายไม้นั้นมีตัวหนังสือพิมพ์ด้วยหมึกสีแดงอยู่ว่า ‘หอเซียนเล่อ’
ป้ายไม้นี้เป็นของที่แม่นางสองคนนั้นทำหล่นแล้วเฉินเปียนซิวเดินเข้าไปเก็บเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นคนของหอเซียนเล่อ
คนจนๆ อย่างเซียวลิ่วหลังเหตุใดจึงมีความสัมพันธ์กับหอเซียนเล่ออันโด่งดังได้
เรื่องนี้ทำให้เฉินเปียนซิวเกิดความริษยายิ่งนัก
เดิมเขาคิดอยากจะนำป้ายนี้ใช้เป็นหลักฐานที่เซียวลิ่วหลังไปหอนางโลม แต่เขาก็รู้สึกเสียดาย
หลังเลิกงาน เฉินเปียนซิวไปหอเซียนเล่อพร้อมกับป้ายนี้
หอเซียนเล่อตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหอชิงเฟิง ห่างกันไม่ถึงร้อยก้าว
หอเซียนเล่อได้รับขนานนามว่าวิมานเทพเซียน ไม่เพียงเพราะที่แห่งนี้ตกแต่งได้เหมือนวิมานเทพเซียน แต่เป็นเพราะหญิงสาวในนั้นต่างงดงามดังนางฟ้านางสวรรค์
นางโลมที่มีชื่อที่สุดในที่นี้ได้รับขนานนามว่าฉังเอ๋อแห่งวังจันทรา
เฉินเปียนซิวเปลี่ยนชุดขุนนางในรถม้า แล้วสวมชุดสีน้ำเงินแทน
อายุของเขาไม่ต่างจากหนิงจื้อหย่วนมากนัก ประมาณสามสิบต้นๆ เป็นอายุที่ดีที่สุดของชายหนุ่ม รูปลักษณ์ของเขาโดดเด่นกว่าหนิงจื้อหย่วนมาก เป็นคุณชายรูปงามระดับกลางถึงขั้นดีเลยทีเดียว
สถานที่อย่างหอเซียนเล่อ คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้ ใช้เงินไม่ได้ ใช่ว่าพวกนางไม่รับเงิน แต่มีแค่เงินนั้นไม่พอ
เฉินเปียนซิวลองเอาป้ายชื่อยื่นให้องครักษ์หญิงที่เฝ้าประตูอยู่ดู
ใครจะรู้ว่าเขาจะเข้าไปได้จริงๆ!
คนที่นำทางเขาเป็นแม่นางรูปลักษณ์งดงามจนดอกไม้ยังต้องเหนียมอาย
หญิงผู้นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้ก็แขกของพี่เชียนเสวี่ยนี่เอง เชิญห้องชั้นหนึ่งเลย!”
เฉินเปียนซิวรู้สึกตกใจที่ได้รับการต้อนรับเช่นนี้
เขามองดูหญิงสาวตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข่าวลือไม่ลวงข้าจริงๆ แม่นางช่างงดงามดังนางฟ้าเช่นคำร่ำลือ!”
หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “ข้าไม่ใช่หญิงในหอนางโลม ข้าเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น”
“หา…” เฉินเปียนซิวตกตะลึงยิ่งนัก
สาวใช้ยังงดงามถึงเพียงนี้ แล้วหญิงในหอนางโลมแห่งนี้จะขนาดไหน…
ยังคิดไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงสาวใช้ที่นำทางเขาเข้ามาเอ่ยทักทาย “แม่นางหลานซิน”
เฉินเปียนซิวเมื่อได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น สาวงามชุดม่วงผู้หนึ่งเดินลงมาจากบันไดช้าๆ ชุดของนางลากผ่านขั้นบันไดไม้ทีละขั้น รูปร่างดังแสงอาทิตย์สีม่วงที่สาดส่อง ท่าทางอ้อนแอ้น รอยยิ้มสดใสงดงาม
เฉินเปียนซิวรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนแทบจะหลุดลอยไป!
เขาจับราวบันไดเอาไว้ ขาอ่อนแทบพับลงไปคุกเข่ากับพื้น!
“ดูท่าทางเข้าสิ!” แม่นางหลานซินยิ้มหยามแล้วเดินลงบันไดมา
รอยยิ้มอันเย็นชาแฝงไปด้วยท่าทางอันเย้ายวน แต่ไม่ต่ำหยาบ ทำให้ใจสั่นไหวยิ่งนัก
สาวใช้ “ท่านชาย เชิญเจ้าค่ะ!”
สาวใช้พาเฉินเปียนซิวไปยังห้องชั้นหนึ่ง “แม่นางเชียนเสวี่ย แขกของท่านมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามา”
เสียงอันอ่อนหวานดังเสียงสวรรค์ลอยมาจากในห้อง มีความสงบและสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก
เฉินเปียนซิวเพียงได้ยินเสียงของนาง ก็รู้สึกอ่อนระทวยไปทั่วร่าง
เขาไม่รู้เช่นกันว่าเดินเข้าห้องมาได้อย่างไร เมื่อเขารู้สึกตัวประตูห้องก็ได้ปิดงับไปเรียบร้อย
นี่คือหญิงสาวที่พบเมื่อวาน หญิงสาวถือป้ายชื่อของตนที่ทำหายไปแล้วยกมือขึ้นเปิดผ้าปิดหน้าออก
เฉินเปียนซิวได้เห็นเพียงชั่วครู่ก็แทบหยุดหายใจไป
งดงามดังนางฟ้าอะไรกัน
นี่นางฟ้าบนสวรรค์ตัวจริงชัดๆ!
เขาร่ำเรียนตำรามามากมาย เป็นถึงเปียนซิวในสำนักฮั่นหลิน แต่ขณะนี้เขากลับไม่รู้จะใช้คำใดมาอธิบายความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าเขาได้
“เจ้าคือใคร” หญิงสาวเห็นใบหน้าของเฉินเปียนซิวแล้ว สายตาเย็นเยือกทันใด นางใช้ผ้าปิดหน้าบดบังใบหน้าของนางอีกครั้ง
เฉินเปียนซิวได้สติ นึกว่าอีกฝ่ายถามที่มาของตน จึงรีบคำนับแล้วเอ่ยตอบ “ข้าน้อยเฉินกวงเจี๋ย คารวะแม่นางเชียนเสวี่ย!”
หญิงสาวอมยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดป้ายชื่อจึงอยู่ในมือของเจ้า”
เฉินเปียนซิวถูกรอยยิ้มของนางทำเอาสติหลุดลอย ใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงก่ำ และตอบไปอย่างเขินอาย “ป้ายชื่อของแม่นางหล่นหาย ข้าน้อยเก็บไว้ได้โดยบังเอิญ ข้าเห็นว่าเป็นของหอเซียนเล่อ จึงนำมาคืนให้แม่นาง”
“อ๋อ เจ้าเก็บได้เองหรือ” หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย “มีใครเห็นหรือไม่”
เฉินเปียนซิวส่ายหน้า “ไม่มี”
หญิงสาวก้มหน้าแสยะยิ้ม “เหตุใดจึงต้องให้เจ้ามาคืนด้วยตนเอง ลำบากเจ้าเปล่าๆ”
เฉินเปียนซิวเอ่ยอย่างเคอะเขิน “เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจ”
หญิงสาวใบหน้ายิ้มแย้ม “แต่เจ้าเห็นรูปลักษณ์ของข้าแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว”
“หืม” เฉินเปียนซิวชะงัก
แต่แล้ว เขาไม่ทันได้รู้ตัว หญิงสาวก็เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ลากออกไป ฆ่าทิ้งเสีย!”
เฉินเปียนซิวตัวสั่นทันใด
“แม่…”
พูดไม่ทันขาดคำ
เขาถูกชายชุดดำผู้หนึ่งปิดปากเอาไว้ แล้วลากออกไปเหมือนกระสอบทราย
“สกปรกนัก!” หญิงสาวขว้างป้ายชื่อในมือลงพื้นด้วยความรังเกียจ
สาวใช้ผู้ติดตามรีบตักน้ำใส่กะละมังทองแดงแล้วยกมาให้ “แม่นาง”
หญิงสาวแช่มือที่จับป้ายชื่อไว้ในน้ำ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “น่าโมโหนัก! น่าโมโหนัก! ผู้ชายอะไรกันเนี่ย! เหตุใดเขาจึงไม่เก็บ! เหตุใดถึงให้คนอื่นเก็บได้!”
สาวใช้ติดตามถอนใจ “นั่นสิ เสียดายความหวังดีของแม่นางจริงๆ อุตส่าห์จงใจทำป้ายชื่อหล่นเอาไว้ให้เขาเก็บ เขากลับจากไปอย่างไม่แยแส ให้คนอื่นได้ทีเก็บไปได้เสียอย่างนั้น”