สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 310 น้ำลดต่อผุด (1)
บทที่ 310 น้ำลดต่อผุด (1)
กู้เจียวไปที่โรงหมอก่อนเที่ยวหนึ่ง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถึงกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย
หญิงชรากลับไปที่วังหลวงแล้ว ด้วยฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บจึงไม่สามารถออกว่าราชการได้ นางที่เป็นไทเฮาก็ย่อมไม่อาจเที่ยวเตร่ไปทั้งวันได้
หลังจากเล่นไพ่เสร็จจึงพากันแยกย้าย
วันนี้จี้จิ่วอาวุโสเองก็ไปที่สะสางงานที่กั๋วจื่อเจียนเช่นกัน
เรื่องที่ฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์คราวนี้ไม่มีคนนอกล่วงรู้ ทั้งยังไม่ได้ระดมกำลังพลจากวังหลวงมาคุ้มกัน แต่กลับให้กู้ฉังชิงประกบข้างกาย
กู้ฉังชิงพักอาศัยอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยอย่างเปิดเผย
ตอนนี้เซียวลิ่วหลังและน้องชายอีกสามคนยังไม่กลับมา กู้เจียวไปดูอาการเว่ยกงกงที่ข้างบ้าน เขาบาดเจ็บสาหัสพอสมควร
“ตอนบ่ายดื่มยาไปแล้ว ไม่นานก็หลับไปเจ้าค่ะ” อวี้หยาร์เอ่ย “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม เหตุใดเขาถึงยังไม่ฟื้น”
กู้เจียวจับชีพจรให้เว่ยกงกงพลางเอ่ย “เจ้าทำดีมากแล้ว เขาอ่อนแรงเกินไปน่ะ ต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายวัน”
ได้ยินกู้เจียวพูดดังนั้น อวี้หยาร์ถึงได้โล่งใจ
กู้เจียวไปที่ห้องของหญิงชราต่อเพื่อจับชีพจรให้กับฮ่องเต้
ฮ่องเต้ก็หลับอยู่เหมือนกัน ตอนนี้บาดแผลของเขายังไม่พบอาการอักเสบ แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้
กู้ฉังชิงไม่มีธุระช่วงบ่าย แต่จะให้ผึกซ้อมกระบี่ก็ใช่ที่ เพราะกลัวว่าเสียงจะดังรบกวนการนอนหลับของฮ่องเต้ เขาเห็นเชือกมีฝักข้าวโพดมัดติดอยู่ จึงถึงโอกาสหักติดมือมาเสียเลย
แต่ก่อนเขาเคยเห็นหญิงชราและกู้เหยี่ยนหักฝักข้าวโพด
หากมีคนในค่ายทหารมาเห็นว่าพญายมหน้าตายผู้เคร่งขรึมที่ก้าวข้ามมานับหมื่นนับพันศพ กำลังนั่งแทะข้าวโพดอยู่บนเก้าอี้ท้ายเรือน มีหวังลูกกะตาคงหลุดออกมาจากเบ้า
กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงข้างเขา ถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ผู้ใดอาศัยอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวงรึ”
“เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา” มือของกู้ฉังชิงที่ถือฝักข้าวโพดอยู่ชะงักไป
“เพิ่งจะออกไปสืบข่าวได้นิดหน่อย มือสังหารดูเหมือนจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับทิศตะวันตกเฉียงใต้” กู้เจียวไม่ได้บอกว่าตนเองไปสืบมาข่าวที่หอนางโลมมาแล้ว
ทว่ากู้ฉังชิงไม่ใช่คนโง่ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีทางสืบรู้จากภายนอกได้แน่นอน สถานที่แห่งเดียวที่ยังไม่ได้ไปสืบคือหอเซียนเล่อ
กู้ฉังชิงหรี่ตามอง วางฝักข้าวโพดในมือลง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด “เจ้าไปที่หอเซียนเล่อมาแล้วหรือ”
กู้เจียวปั้นหน้านิ่งพลางเอ่ย “เปล่านะ ข้าเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่มีทางไปที่เช่นนั้นหรอก!”
แม้แต่เสื้อผ้านางก็เปลี่ยนแล้ว นางไม่มีทางยอมรับหรอก นางไม่ได้ไปที่นั่น!
สายตาของกู้ฉังชิงหยุดอยู่ที่ลำคอของกู้เจียว “ลูกกระเดือกยังติดอยู่เลย”
กู้เจียว “…”
ความแตกเร็วเสียยิ่งกว่าพายุหมุน!
กู้ฉังชิงทั้งโมโหทั้งเอือมระอา แม้จะรู้ว่านางมีฝีมือพอตัว แต่หอเซียนเล่อไม่ใช่ถ้ำเสือคุ้มมังกรธรรมดา แต่เป็นซ่องโจรก็ว่าได้ มีปรมาจารย์ยอดฝีมือ กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าภายในนั้นเป็นเช่นไรกันแน่
“คราวหลังอย่าได้ไปสถานที่อันตรายเช่นนั้นอีก” กู้ฉังชิงพูดจบก็รู้ดีว่านางไม่มีทางเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแน่นอน จึงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “หากจะไปก็ชวนข้าไปด้วย”
กู้เจียวครุ่นคิดพลางพยักหน้า
กู้ฉังชิงถามต่อ “เจ้าเข้าไปได้อย่างไร”
“เก็บป้ายเข้าหอเซียนเล่อได้มาอันหนึ่งน่ะ” กู้เจียวเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย
เก็บได้แม้กระทั้งป้ายเข้าหอเซียนเล่ออย่างนั้นหรือ กู้ฉังชิงอยากจะพูดออกไปว่าโชคดีอะไรปานนั้น แต่พอนึกถึงเรื่องของจวงไทเฮาและฮ่องเต้ ก็รู้สึกว่านางตัวแสบนี่โชคดีจริงๆ นั่นแล
เขาไม่ได้สงสัยอะไรนักจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นแปลว่าเจ้าสืบข่าวมือสังหารมาได้แล้วใช่หรือไม่”
“ใช่ มือสังหารมีความสัมพันธ์กับชีหนานเจี่ยวของวังหลวง เจ้ารู้จักพู่นี้หรือไม่” กู้เจียวหยิบพู่ที่เชียนเสวี่ยให้นางออกมา
นี่เป็นพู่ที่คล้องติดกับป้ายหยก ฝีมือประณีตงดงาม งานถักพู่เช่นนี้มีดาษดื่น หาซื้อตามริมถนนตรอกซอกซอยได้ทั้งนั้น
หนึ่งเดียวที่แตกต่างคือสีของพู่นี้
กู้ฉังชิงเอ่ย “พู่ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ส่วนพู่ของฝ่าบาท ฮองเฮา และไทเฮาจะเป็นสีเหลืองสด”
พู่สีสันสดใสใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่พบเห็นได้น้อยเท่านั้น
กู้ฉังชิงไม่รู้จักผู้ใดที่ประดับพู่เช่นนี้มาก่อน
กู้เจียวถาม “สนมวังหลังประดับพู่สีสันกันบ้างหรือไม่”
กู้ฉังชิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “อาจจะเป็นไปได้”
พู่สีมิใช่เรื่องต้องห้ามแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่านั้น
“แต่ว่า” กู้ฉังชิงพูดต่อ “ซีหนานเจียวของวังหลวงไม่มีสนมนางใดอาศัยอยู่ มีเพียงสวนผึ้งแปลงดอกไม้ที่เลี้ยงผึ้งปลูกดอก”
หรือว่ากระดาษน้อยแผ่นนั้นไม่ได้ชี้ไปที่คนจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวง แต่หมายถึงคนที่อาจปรากฏตัวขึ้นที่ซีหนานเจียว
“เจียวเจียว!”
กู้เจียวกำลังอยู่ในห้วงความคิด เสี่ยวจิ้งคงก็เลิกเรียนกลับมาจากกั๋วจื่อเจียน
เขากระโดดลงจากรถม้าของหลิวเฉวียน วิ่งตึงตังเข้ามาในเรือน ผ่านลานบ้านและโถงทางเดินมายังท้ายเรือน พุ่งตัวโผเข้ากอดกู้เจียว
ศีรษะน้อยๆ ถูไถในอ้อมกอดของนางไม่หยุดหย่อน
ช่วงนี้กู้เจียวยุ่งไม่น้อย เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้เจอกู้เจียวหลังเลิกเรียนกลับบ้านมาตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่าเสี่ยวจิ้งคงไม่ลืมที่จะทักทายกู้ฉังชิง เรียกอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่เสียงเจื้อยแจ้ว
หัวโล้นของเสี่ยวจิ้งคงเริ่มมีผมงอกขึ้นน้อยๆ แล้ว ได้เป็นหนุ่มน้อยผมยาวสุดเท่อีกครั้ง
กู้เจียวลูบหัวโล้นน้อยไปมาจนมือชุ่มเหงื่อไปหมด
เพราะอากาศร้อนสุดขีด จนแทบใส่เสื้อผ้าไม่ไหวแล้ว
กู้เจียวถือโอกาสไปตักน้ำในห้องครัวแล้วอาบน้ำให้เขา
กู้ฉังชิงเอ่ย “ให้ข้าจัดการเอง”
เรื่องดูแลน้องเช่นนี้ กู้ฉังชิงประสบการณ์ช่ำชองนัก เขาพาเสี่ยวจิ้งกลับเข้าไปในเรือนและอาบน้ำให้เจ้าตัวเล็ก
เสี่ยวจิ้งคงเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง หลังจากสวมกางเกงแล้วก็เหมือนได้ค้นพบเรื่องยิ่งใหญ่ ก่อนจะวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวด้วยความตื่นเต้น ชี้ไปที่ชายกางเกงและรองเท้าของตัวเอง “เจียวเจียว เจียวเจียว! ข้าตัวสูงขึ้นแล้ว!”
เพราะกางเกงสั้นขึ้น
เดิมทีนั้นคลุมลงมาถึงรองเท้า แต่ตอนนี้กลับกองอยู่เหนือรองเท้า
ไม่ได้มากสักเท่าไร ประมาณสองนิ้วเท่านั้น
แต่สองนิ้วก็เรียกว่าสูงขึ้นเหมือนกัน!
กู้เจียวพยักหน้า “อืม สูงขึ้นแล้วล่ะ”
“โอ้โห!” เสี่ยวจิ้งคงดีใจแทบบ้า อยากจะวิ่งป่าวประกาศทั่วทั้งเรือน หากเจอใครก็จะบอกว่าตัวเองสูงขึ้นแล้ว แล้วก็จะยกขากางเกงที่สั้นเขินขึ้นมาให้คนอื่นดูด้วย
เพียงแต่วันนี้ทุกคนออกไปข้างนอกยังไม่กลับมานี่สิ
เสี่ยวจิ้งคงไม่เคยเฝ้ารอพี่เขยตัวแสบ ตั้งตารอพี่เหยี่ยนและพี่เสี่ยวซุ่นเช่นวันนี้มาก่อน
เขาอยากจะอวดให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า เขา สูง ขึ้น แล้ว!
ทว่ารอแล้วรอเล่า เซียวลิ่วหลังก็ยังทำงานล่วงเวลาที่สำนักฮั่นหลิน กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นก็ไปเรียนงานฝีมือกับหนานเซียงและปรมาจารย์หลู่ แม้แต่แม่นางเหยาที่ไปจุดธูปไหว้พระก็พาแม่นมฝางค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน
เฮ้อ เขาดีใจเก้อน่ะสิ!
อยากจะอวดว่าสูงขึ้นแล้วสักหน่อยก็ไม่มีที่อวด!
เสี่ยวจิ้งคงทอดถอนใจ ฝ่ามือน้อยไพล่หลังไว้ เดินวนไปมาอยู่ที่ลานบ้าน จากนั้นตาเฒ่าจ้าวที่กำลังวิตกว่าพรุ่งนี้ข้าวสารจะขึ้นราคาก็เดินออกมา!
“อะแฮ่ม…”
เสียงกระแอมทุ้มต่ำดังออกมาจากห้องของหญิงชรา
แววตาของเสี่ยวจิ้งคงเป็นประกายขึ้นมาในทันใด “เอ๊ะ ท่านย่ากลับมาแล้วหรือ”
เขาวิ่งฉิวออกไปก่อนจะผลักประตูห้องให้เปิดออก “ท่านย่า! เอ๊ะ ไม่ใช่ท่านย่านี่นา”
เมื่อเห็นใบหน้าชายที่อยู่บนเตียงชัดแล้ว ศีรษะน้อยก็เอียงลงก่อนจะเอ่ยด้วยความตกใจ “ท่านลุงฉู่หรอกหรือ”
ฉินฉู่อวี้เก็บความลับเก่งเหลือเกิน จวบจนวันนี้เสี่ยวจิ้งคงกับสวี่โจวโจวยังคิดว่าเขาแซ่ฉู่ ชื่อว่าฉู่อวี้ ส่วนท่านพ่อเป็นขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง
ฮ่องเต้เพิ่งตื่นนอน ยังคงสะลึมสะลือไม่ได้สติ พอเห็นเสี่ยวจิ้งคงถึงได้รู้ว่าตนเองพักอยู่ที่เรือนของหมอเทวดาน้อย
“จิ้งคงเองหรือ” เขาเอ่ยทักทายด้วยเสียงอ่อนแรง
“ท่านลุงฉู่ ท่านป่วยหรือ” เสี่ยวจิ้งคงเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง เบิกตามองไปทางเขา
กู้เจียวเป็นหมอ หากในเรือนจะมีคนป่วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือเขากลับมานอนในห้องของท่านย่าเนี่ยสิ
“เหตุใดท่านลุงฉู่ถึงมานอนที่ห้องท่านย่าเล่า” เสี่ยวจิ้งคงถาม
เด็กน้อยไม่พูดจาอ้อมค้อมเหมือนผู้ใหญ่ ในใจคิดอย่างไรปากก็ถามออกไปตามตรง
“เหตุใดท่านลุงฉู่ถึงไม่ไปนอนที่ห้องข้าเล่า”
แบบนี้แล้วพอตกกลางคืนเขาก็จะได้ไปนอนกับเจียวเจียวอย่างไรเล่า!