สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 311 รักเอ็นดู (1)
บทที่ 311 รักเอ็นดู (1)
กู้เจียวไปยังฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวงอีกหน
คนเลี้ยงผึ้งเห็นนางมาเสียมืดค่ำเพียงนี้จึงรีบถาม “แม่นางกู้ ต้องการน้ำผึ้งอีกหรือ”
เมื่อบ่ายเขาได้ยินฉินกงกงตำหนักเหรินโซ่วเรียกนางว่าแม่นางกู้
เดิมทีคิดว่านางเป็นแค่แม่นางที่เกี่ยวข้องกับตำหนักเหรินโซ่วเท่านั้น แต่คนสนิทข้างกายไทเฮาปฏิบัติต่อนางอย่างเคารพเสียยิ่งกว่าไท่จื่อเฟยอีก คนเลี้ยงผึ้งจึงไม่กล้าที่จะละเลยนาง
ยามนี้ดวงตะวันคล้อยลงทางทิศตะวันตกแล้ว ขอบฟ้าเป็นสีฟ้าหม่นทั้งผืน เหลือเพียงแสงอัสดงของดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าที่ให้แสงสุดท้ายยามพลบค่ำ
สายตาของกู้เจียวตกลงบนศาลาที่ถูกแสงสุดท้ายทอปกคลุม เรือนค่อนข้างไกล จากมุมมองของนางเห็นได้แค่ชายคาเท่านั้น
“ตรงนั้นคืออะไรหรือ” กู้เจียวยกมือชี้พลางถาม
คนเลี้ยงผึ้งมองไปยังกระเบื้องหลังคาใต้แสงตะวันนั้นตามที่กู้เจียวชี้ ก่อนจะเอ่ย “นั่นน่ะหรือ เหมือนว่าจะเป็นที่พักของเชลยแคว้นเฉินนะ”
แคว้นเฉินกับแคว้นเจาไม่ลงรอยกันมานานแล้ว เชลยของแคว้นเฉินย่อมไม่มีทางพักอยู่ในตำหนักอันหรูหราฟุ่มเฟือยแน่นอน แต่เป็นเรือนเล็กๆ อันรกร้างห่างไกลแห่งหนึ่งที่ห่างจากวังหลัง มีเพียงถนนแคบๆ ที่ใช้เลี้ยงผึ้ง สองฟากฝั่งมีองครักษ์เฝ้าอยู่
กู้เจียวทอดมองไปยังชายคาที่ถูกม่านราตรีค่อยๆ กลืนกินทีละนิด ก่อนจะเริ่มเข้าใจในความนัยของ ‘วังหลวง ทิศหรดี’ ขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายพักอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเข้าออกวังหลวงจากมุมตะวันตกเฉียงใต้ แต่เป็นยืนอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงใต้ของวังหลวงจะเห็นอีกฝ่ายได้
ฤดูร้อนของแคว้นเจาร้อนระอุเสียยิ่งกว่าแคว้นเฉิน
จักจั่นบนต้นไม้ร้องดังระงมไม่หยุด ราวกับยิ่งเพิ่มความหนวกหูรำคาญใจมากขึ้น
ละแวกนี้ยังมีสระบัวเล็กๆ อยู่ด้วย เสียงกบร้องดังขึ้นเป็นระลอก ไม่ใช่สถานที่พักรักษาตัวที่สะดวกสบาย
โคมไฟริมระเบียงถูกนางกำนัลและขันทีไล่จุดขึ้นอีกหน องครักษ์ลาดตระเวนถือกระบี่ยาวไว้ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้น เงาร่างเล็กก็ปรากฏกายกลางอากาศเข้ามา
การเคลื่อนไหวของร่างเล็กแผ่วเบายิ่ง ไม่มีองครักษ์สังเกตเห็น ทว่าดูเหมือนในมุมที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งจู่ๆ ก็มีเงาดำปรากฏขึ้นด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ รวดเร็วดุจฟ้าแล่บ เพียงพริบตาก็จ่อดาบโค้งลงบนคอเงาร่างเล็กแล้ว
“เอาละซงเย่ ปล่อยนางเข้ามา นางเป็นแขกข้า”
น้ำเสียงเกียจคร้านที่แฝงไว้ด้วยการเย้าแหย่ลอยมาจากในห้อง
ชายชุดเทาเก็บดาบโค้งในมือไปอย่างเย็นชา ทว่าความระแวดระวังในแววตากลับไม่ลดลงไป
เขามองกู้เจียวตาไม่กะพริบ ราวกับว่าขอแค่กู้เจียวทำตัวตุกติกเพียงนิดเดียว ดาบโค้งของเขาก็จะพาดบนลำคอของกู้เจียวอีกครา
เดิมทีกู้เจียวก็ไม่คิดจะปิดบังตัวตนอยู่แล้ว นางสวมเสื้อผ้าของตัวเอง แม้แต่หน้ากากก็ไม่ได้ใส่
นางผลักประตูเข้าไปอย่างสงบนิ่ง
ภายในห้องมีตะเกียงน้ำมันไม่น้อย แต่ความสว่างของตะเกียงน้ำมันมีจำกัด ต่อให้จุดทั่วทั้งห้องก็ยังสลัวอยู่ดี
หยวนถังนั่งอยู่บนเก้าอี้ปล่อยให้นางกำนัลคนหนึ่งทำแผลให้เขา
ดูเหมือนว่าหน้าท้องเขาจะบาดเจ็บ ผ้าพันแผลที่แกะออกมาเต็มไปด้วยคราบเลือด ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาห้ามเลือด
เสื้อส่วนหน้าแหวกออกเผยให้เห็นหน้าอกกำยำหนั่นแน่นและกล้ามท้องที่เด่นชัดเป็นสัดส่วน รวมถึงเส้นกระดูกเชิงกรานที่ชัดเจนด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะร้อนอบอ้าวหรือว่าเจ็บปวดกันแน่ หยาดเหงื่อเม็ดใสจึงได้ไหลลงมาจากผิวสีนวลของเขา เกาะพราวอยู่บนกล้ามเนื้อแกร่งที่ดูไม่เกินงามเหล่านั้น
นี่เป็นร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังของบุรุษ ในอากาศพลันเต็มไปด้วยกลิ่นสาบของบุรุษเพศขึ้นมา
หยวนถังไม่ถึงว่ากู้เจียวจะเข้ามาเร็วเพียงนี้ โชคดีที่นางกำนัลคล่องแคล่ว เพียงไม่นานก็ทายาและพันแผลให้เขาเรียบร้อย
“ออกไปเถิด” ในขณะที่นางกำนัลกำลังจะจัดเสื้อผ้าให้เขา เขาก็ยกมือขึ้น
“เพคะ” นางกำนัลเก็บข้าวของแล้วออกไป
หยวนถังรวบเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง แล้วสวมเข็มขัด เขาเป็นบุรุษ ถูกมองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เพราะเหตุใดกัน
หยวนถังกวาดตามองกู้เจียวแวบหนึ่ง
สีหน้ากู้เจียวเรียบเฉย เรียบเฉยเสียยิ่งกว่าคนที่ถูกมองอย่างเขาเสียอีก
หญิงผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก
“พวกเจ้าออกไปก่อน” หยวนถังสั่งนางกำนัลในห้อง
ทุกคนพากันออกไปอย่างเงียบๆ
ชายชุดเทาที่ยืนเฝ้าหน้าประตูเมื่อครู่ไม่คิดจะไปไหนไกล
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุกรุ่นจากร่างชายชุดเทา ให้ความรู้สึกราวกับท่านเหล่าโหว ไม่รู้ว่าหากทั้งสองประมือกันขึ้นมาใครจะเป็นฝ่ายได้เปรียบใคร
แน่นอนว่าหากเป็นยุครุ่งเรืองของตน ให้ตัดคอเขาก็ไม่ใช่ปัญหา
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก” หยวนถังยิ้มบอก
กู้เจียวเคยพบกับหยวนถังมาก่อนคราหนึ่งที่เรือนของหลิ่วอีเซิง ตอนนั้นกู้เจียวยังรู้สึกแค่ว่าหยวนถังหน้าตารูปงาม แต่ไม่ได้งามเลิศล้ำ
อย่างน้อยๆ เทียบกับหลิ่วอีเซิงพี่ชายของเขาแล้ว ประณีตน้อยกว่า
ทว่ายามนี้ได้เห็นรูปร่างของเขาแล้วจึงเข้าใจว่าเชลยแคว้นเฉินก็เป็นของชั้นเยี่ยมในบรรดาบุรุษเช่นกัน
กู้เจียวมองเขาอย่างเปิดเผย
หยวนถังทนไม่ไหว ยิ้มเอ่ย “ข้าควรเรียกเจ้าว่าหมอกู้หรือว่าแม่นางเซียวรึ”
“ตามใจเจ้า” กู้เจียวบอก
“ก็ดี หมอกู้” หยวนถังแย้มยิ้มเอ่ย “มาหาข้าดึกดื่นปานนี้มีธุระใดรึ”
นี่คือการถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่ระหว่างมนุษย์นั้นมันต้องมีประโยคไร้สาระเช่นนี้สักคำสองคำ
กู้เจียวไม่ชอบพูดไร้สาระ นางกวาดตามองบาดแผลของเขา ก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็น “เจ้าไปลอบสังหารฮ่องเต้ด้วยตัวเองเลยรึ”
หยวนถังอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ลอบสังหารมิใช่เรื่องเล่น ไม่ลงมือเองจะได้หรือ”
ประโยคนี้เป็นการยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ายอมรับได้ตรงไปตรงมานัก”
หยวนถังยิ้มขื่น “วินาทีที่พู่ของข้าหาย ข้าก็เตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องคงแดง เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้ และยิ่งไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า”
หยวนถังไม่ได้แก้ตัวโดยไม่จำเป็น มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเห็นคนอื่นโง่ กู้เจียวสืบมาได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอจะเห็นแล้วว่านางห่างไกลกับคนโง่ลิบลับเลย
ในเมื่อหนีไม่พ้นแล้ว เช่นนั้นจะเปลืองน้ำลายไปไย
“เพราะอะไร” กู้เจียวถาม
“หน้าที่น่ะ” หยวนถังบอก
กู้เจียวเอ่ยถาม “คำสั่งของกษัตริย์แคว้นเฉินรึ”
หยวนถังหันไปมองฟากฟ้าราตรีนอกหน้าต่าง “และเจตนาที่ความเห็นแก่ตัวของข้าเองด้วย ท่านป้าข้าตายด้วยน้ำมือของจวงไทเฮาและฮ่องเต้แคว้นเจา ตอนนั้นพวกเขายังไม่หันมาเป็นปรปักษ์กัน ท่านป้าข้าถูกพวกเขาร่วมมือกันบีบบังคับให้ตาย ดังนั้นพวกเขาสองคน…จึงเป็นศัตรูของข้าทั้งคู่”
“ท่านป้าเจ้าเป็นสายลับ ฆ่าท่านป้าเจ้าไปก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาเช่นกัน” แววตากู้เจียวตกอยู่บนใบหน้าของเขาตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ ไม่ได้หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย
ความแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งบางครั้งก็ไม่ได้อยู่ที่วรยุทธ์ ฐานนันดรและความรู้ความสามารถเสมอไป ความแข็งแกร่งของจิตใจต่างหากที่เอาชนะยากที่สุด
นี่เป็นสตรีที่จิตใจเต็มไปด้วยพลัง
หยวนถังดึงสายตากลับมา ก่อนสบสายตานาง “ดังนั้นบนโลกนี้จึงไม่มีถูกผิด แต่ฐานันดรทำให้ผู้คนจำต้องทำเช่นนั้น ข้าเกิดในแคว้นเฉิน เป็นองค์ชายของแคว้นเฉิน ทั้งสองแคว้นไม่ลงรอยกัน สักวันข้าก็ต้องก่อศึกกับแคว้นเจา จะมีเรื่องของท่านป้าข้าหรือไม่ข้าก็ไม่มีทางปล่อยจวงไทเฮากับฮ่องเต้แคว้นเจาไปอยู่ดี”
กู้เจียวถาม “ยุแยงให้จวนติ้งอันโหวกับจวนจอมพลหยวนไซว่ให้ผิดใจกันก็เป็นฝีมือเจ้ารึ”
“ใช่” หยวนถังไม่ปฏิเสธ
กู้เจียวเอ่ยต่อ “คนที่ไปลอบฆ่ากู้ฉังชิงในค่ายทหารก็เจ้ารึ”
หยวนถัง “ใช่”
กู้เจียว “คนที่ไปหาเฟยซวงที่หอเชียนอินก็เจ้ารึ”
หยวนถัง “ถูกต้อง”
หยวนถังยอมรับทุกข้อหา
สีหน้ากู้เจียวเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะตกใจหรือสงสัยที่เขายอมรับฉับไวทันที ตรงกันข้ามหลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามเขาต่อ “เหตุใดเจ้าจึงรู้เรื่องราวมากมายเพียงนี้”
งานอดิเรกของถังหมิง ตัวตนของเฟยซวง หรือแม้กระทั่งร่องรอยของฮ่องเต้
หยวนถังยิ้มเอ่ย “เจ้าคิดว่ากษัตริย์แคว้นเฉินจะส่งเชลยไร้ความสามารถมาที่แคว้นเจาหรือไร”
นั่นมันก็จริง เหมือนกับตอนนั้นที่แคว้นเจาก็ส่งอันจวิ้นอ๋องที่มีความสามารถยิ่งเดินทางไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉิน
เชลยที่ไร้ความสามารถไปแคว้นศัตรูก็คงได้แค่ไปตายในบ้านเมืองเขาเท่านั้น
หยวนถังยื่นมือออกไป “คืนพู่ให้ข้าได้หรือไม่”
“ไม่ได้” กู้เจียวปฏิเสธ
หยวนถังถอนหายใจอย่างจนปัญญา “นั่นเป็นพู่ที่ท่านย่าข้ามอบให้กับเสด็จแม่เชียวนะ ห้อยไว้กับหยก มีทั้งหมดสองชิ้น ชิ้นหนึ่งให้เสด็จแม่ อีกชิ้นมอบให้ท่านป้าข้า”
เล่นบทน่าสงสารไม่ได้ผลกับกู้เจียวหรอก
ไม่คืนก็คือไม่คืน
หยวนถังเห็นกู้เจียวใจแข็งจริงๆ ก็รู้ว่าคงเอาพู่ของตัวเองกลับคืนมาไม่ได้แล้ว จึงยอมรับความจริงนี้อย่างเจ็บปวด
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร” เขาถาม
“เปิดโปงเจ้า” กู้เจียวบอกไปตามตรง
หยวนถัง บอกตรงๆ กันอย่างนี้เลยรึ
หยวนถังเอ่ย “ดีร้ายอย่างไรข้าก็เคยช่วยเจ้ามาก่อน เจ้าลืมไปแล้วรึ”
กู้เจียวเอ่ย “พูดเสียเหมือนกับว่าเจ้าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยอย่างนั้น”
หยวนถังมุมปากกระตุก “เหตุใดท่านพี่จึงบอกทุกอย่างกับเจ้าเสียหมดเช่นนั้น”
ไท่จื่อเฟยใช้แมวลองหยั่งเชิงเซียวลิ่วหลัง หยวนถังเป็นคนจับแมวไป แต่เดิมทีแมวตัวนั้นเป็นของหยวนถังเอง หากมิใช่เพราะกู้เจียวบอกเรื่องนี้กับเขา เขาก็คงโดนลูกหลงไปด้วย
เรื่องนี้ไม่นับว่าใครติดค้างใคร อย่างมากหยวนถังก็ทำดีได้ดี ช่วยคนอื่นเพื่อประโยชน์ตัวเอง