สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 331-2 มองออก (2)
บทที่ 331 มองออก (2)
เซียวลิ่วหลัวไปยังตำหนักเหรินโซ่ว
จวงไทเฮากับกำลังตรวจสมุดบัญชี ฉินกงกงเชิญเซียวลิ่วหลังเข้ามาพลางถาม “จะให้ข้ากราบทูลไทเฮาหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่เอาของกินมาให้ไทเฮานิดหน่อยน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางยื่นกล่องอาหารที่เตรียมมาให้กับฉินกงกง “จิ้งคงเก็บพุทรา รบเร้าข้าว่าอย่างก็ต้องนำมามอบให้ท่านย่าให้ได้”
เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่กั๋วจื่อเจียนในตอนนี้ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้กลายเป็นเครื่องมือของเซียวลิ่วหลังไปแล้ว
ฉินกงกงรับมาด้วยรอยยิ้ม “จิ้งคงช่างมีน้ำใจนัก”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามเสียงเรียบ “ว่าแต่ฉินกงกง ตำหนักเหรินโซ่วมีหยกพันคิมหันต์หรือไม่ ข้าจะขอดูสักหน่อยได้หรือเปล่า”
“ไม่ต้องเกรงใจ เซียวซิวจ้วนมิใช่คนนอกเสียหน่อย ข้าจะให้คนนำมาให้” ฉินกงกงพาเซียวลิ่วหลังไปนั่งที่ศาลาแห่งหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้คนไปหยิบป้ายหยกแผ่นนั้นมาจากห้องบรรทมของไทเฮา
“เชิญเซียวซิวจ้วนดูได้เลยขอรับ” ฉินกงกงยื่นป้ายหยกให้เซียวลิ่วหลังด้วยตนเอง
เซียวลิ่วหลังรับป้ายหยกมา คลำไปตามลวดลายและเนื้อสัมผัสของป้ายหยก “สมกับเป็นหยกชั้นเลิศ ยามอากาศร้อนเช่นนี้ ยังให้สัมผัสเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าหยกนี้มาจากที่ใด ผู้ใดมอบให้มาหรือ”
ฉินกงกงยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ “พระชามาดามอบของขวัญให้องค์หญิงหนิงอัน เป็นหยกก้อนใหญ่ทั้งก่อน องค์หญิงหนิงอันเลยให้ช่างหยกแกะสลักป้ายหยกออกมาสามชิ้น ชิ้นหนึ่งมอบให้ไทเฮา ชิ้นหนึ่งมอบให้ฝ่าบาท ส่วนชิ้นสุดท้ายมอบให้จิ้งไท่เฟย”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่มีชิ้นที่สี่หรือ”
ฉินกงกงยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่มีแล้วขอรับ ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีแน่นอน แต่หากเป็นข้างนอก ข้าเองก็ไม่มั่นใจ แต่ก็คงหายากนัก หยกพันคิมหันต์ไม่ใช่อัญมณีจะพบได้บ่อยนัก กว่าพระชามาดาจะหามาได้ก็ลำบากยิ่งนัก หากไม่ใช่ของล้ำค่า คงไม่นำมามอบให้องค์หญิงหนิงอันเป็นแน่ เหตุใดจู่ๆ เซียวซิวจ้วนถึงได้สนใจหยกพันคิมหันต์ขึ้นมา”
“อ๋อ บังเอิญอ่านเจอในตำรา ก็เลยเกินสนใจขึ้นมาน่ะ” เซียวลิ่วหลังคืนป้ายหยกของหญิงชราให้แก่ฉินกงกง “ในเมื่อเป็นของที่องค์หญิงหนิงอันมอบให้ ขอโปรดกงกงช่วยดูแลรักษาอย่างดีด้วยเถิด”
ฉินกงกงรับป้ายหยกกลับมา ใช้ผ้าไหมห่อไว้อย่างดีก่อนเก็บใส่กล่องเครื่องประดับดังเดิม “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ของล้ำค่าเช่นนี้ ไทเฮาไม่กล้าแม้แต่นำมาประดับติดตัว ข้าให้คนเก็บไว้ในตำหนักมืด ให้คนนำออกมาเช็ดถูกอยู่ทุกวัน”
อันที่จริงหากไม่ใช่สิ่งของที่องค์หญิงหนิงอันมอบให้ ไทเฮาคงมอบหยกพันคิมหันต์นี้ให้กับเซียวซิวจ้วนโดยไม่ลังเล
ที่ฉินกงกงไม่รู้ก็คือ เซียวลิ่วหลังเองก็เคยมีหยกพันคิมหันต์อยู่ก้อนหนึ่ง ท่านแม่องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนมอบให้เขา
แต่เขาไม่ใช่เซียวเหิงแล้ว หยกก้อนนั้นไม่ได้อยู่ในมือเขาอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ จึงมั่นใจได้แล้วว่าหยกมีตำหนิก้อนนั้นมิใช่ของของตำหนักเหรินโซ่ว เพียงแต่ของสิ่งนั้นเข้ามาอยู่ในถุงผ้าแพรของกู้เจียวได้อย่างไร เกรงว่าคงต้องเรียกนางกำนัลที่ชื่อเฟ่ยชุ่ยออกถามเสียแล้ว
เซียวลิ่วหลังกำลังคิดหาวิธีอยู่เลยว่าจะเรียกเฟ่ยชุ่ยมาอย่างไรไม่ให้น่าสงสัย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฉินกงกง “เฟ่ยชุ่ย เจ้ามานี่ที เอาป้ายหยกไปเก็บที่เดิม”
“เจ้าค่ะ”
นางกำนัลในชุดสีชมพูดเดินเข้ามา รับกล่องเครื่องประดับจากฉินกงกงด้วยสองมือ
“เจ้า…ไปรินน้ำชามาที” เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับเฟ่ยชุ่ย
เฟ่ยชุ่ยชะงักไป
ฉินกงกงคิดว่าเซียวลิ่วหลังเรียกใช้นางกำนัลทั่วไป ไม่ได้สงสัยอะไร “สั่งให้เจ้าไปก็ไปสิ”
“เจ้าค่ะ” เฟ่ยชุ่ยขานรับก่อนจะหันหลังเดินออกไป
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ฉินกงกงเป็นทำธุระของท่านเถิด ข้านั่งคนเดียวได้”
ฉินกงกงตอบ “ขอรับ เช่นนั้นข้าขอไปจัดหารงานภายใน”
ฉินกงกงเดินออกไปได้ไม่นาน เฟ่ยชุ่ยก็ยกน้ำชามาหนึ่งกา “ใต้เท้าเซียว เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
เซียวลิ่วหลังมองนาง ก่อนจะชูป้ายหยกในมือขึ้นมา “เจ้าเคยเห็นสิ่งนี้หรือไม่”
“เอ่อ…เคยเห็น เคยเห็นเจ้าค่ะ!” เฟ่ยชุ่นครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยต่อ “ป้ายหยกของแม่นางกู้เจ้าค่ะ”
“ป้ายหยกของนางรึ” เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้ว
เฟ่ยชุ่ยพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อว่านข้าช่วยแม่นางกู้นำกลีบดอกไม้ที่ใช้ไม่หมดใส่ถุง ป้ายหยกนี้ก็นอนอยู่ที่ก้นตะกร้าของนางแล้ว”
เซียวลิ่วหลังจ้องนางอยู่นานสองนาย เชื่อแล้วว่านางไม่ได้โกหก
หยกก้อนนี้มิใช่คนในตำหนักเหรินโซ่วเป็นคนใส่เข้าไป แต่ถูกใส่ไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่กู้เจียวจะเข้ามาในตำหนักเหรินโซ่ว
จะแอบเอามาใส่ที่ไหน
สวนหลวงที่กู้เจียวไปเก็บดอกไม้อย่างนั้นหรือ
เซียวลิ่วหลังไปยังสวนหลวง แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเพิ่มเติม เขาเดินเลี้ยววกไปวนมา จนไปถึงตำหนักฮว๋าชิง
“ใต้เท้าเซียว ท่านมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือขอรับ” ขันทีน้อยหน้าประตูเอ่ยถาม
“เปล่า ข้ามาหาเว่ยกงกง” เซียวลิ่วหลังตอบ
“ใต้เท้าเซียวโปรดรอสักครู่” ขันทีน้อยเดินเข้าไปรายงานเว่ยกงกง
เว่ยกงกงเดินออกมาพร้อมพู่หางยาว ใบหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ย “โอ้ ลมอะไรหอบเซียวซิวจ้วนมาถึงที่นี่” เขายังคงยิ้มเหมือนเดิมทว่าเอ่ยเสียงกระซิบ “ไท่จื่อไม่ต้องใจเรียนอีกแล้วหรือขอรับ”
เซียวลิ่วหลังตอบเสียงนอบน้อม “ไม่ใช่เช่นนั้น การเรียนของไท่จื่อนั้นก้าวหน้าขึ้นมาก ยามเรียนก็ตั้งใจตลอด”
เว่ยกงกงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี หากฝ่าบาทได้ยินคงว่าใจเรื่องไท่จื่อลงได้มาก เอ๊ะ…เช่นนั้นไม่ทราบว่าเซียวซิวจ้วนมาถึงที่นี่มีธุระอันใดหรือ”
“เมื่อครู่ข้าเดินผ่านสวนหลวง แล้วเก็บป้ายหยกอันหนึ่งได้” เซียวลิ่วหลังยื่นป้ายหยกมีตำหนินั้นให้แก่เว่ยกงกง
เว่ยกงกงเห็นป้ายหยกก็แววตาก็พลันเปล่งประกาย “ไอ้หยา! ในที่สุดก็หาเจอเสียที! ข้าว่าแล้วเชียว! แม่นางกู้ไม่มีทางหยิบฉวยไปแน่นอน!”
“เหตุใดเว่ยกงกงถึงพูดเช่นนั้น” เซียวลิ่วหลังถาม
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างจนใจ “เซียวซิวจ้วนอาจจะยังไม่รู้ นี่คือป้ายหยกที่องค์หญิงหนิงอันมอบให้จิ้งไท่เฟยเมื่อหลายปีก่อน ไท่เฟยกลับมาอยู่ที่วันแล้ว ยามนี่ประทับอยู่ที่ตำหนักหวาชิงชั้นใน เมื่อวานป้ายหยกของไท่เฟยหล่นหายที่สวนหลวง แต่บังเอิญว่าตอนนั้นแม่นางกู้ก็อยู่ที่สวนหลวงด้วยเช่นกัน ฝ่าบาทเชื่อใจแม่นางกู้ จึงไม่ส่งคนไปสอบสวนนาง แต่เอาป้ายหยกของตัวเองให้ไท่เฟยแทน”
เขาเอ่ยพลางหัวเราะ “ป้ายหยกของฝ่ายบาทก็ได้มาจากองค์หญิงหนิงอันเช่นกัน ของมีค่าเช่นนี้ย่อมเก็บไว้อย่างมิดชิด โชคดีที่ตอนนี้หาป้ายหยกของไท่เฟยเจอแล้ว ข้าจะได้ไปเอาป้ายหยกของฝ่าบาทกลับคืนมา”
แววตาของเซียวลิ่วหลังแฝงไปด้วยความหมายล้ำลึก “กงกงบอกว่านี่คือป้ายหยกของจิ้งไท่เฟยรึ”
“ขอรับ” เว่ยกงกงพยักหน้า
พูดไม่ทันขาดคำก็มาพอดี
จิ้งไทเฟยกำลังออกมาเดินเล่นนอกวังโดยมีแม่นมไช่คอยช่วยพยุง นางยังคงสวมชุดนักพรตเช่นเดิม สวมหมวก ใบหน้าดูเหนื่อยอ่อนจากอาการป่วยหนักก่อนหน้านี้ ท่าทางดาสงบนิ่ง แววตาเปี่ยมไปด้วยเมตตา
พริบตาเดียวนางก็เห็นเว่ยกงกงและเซียวลิ่วหลังที่ยืนอยู่หน้าประตู
เซียวลิ่วหลังเองก็เหลียวไปมองนอง
ดวงตาสองคู่ปะทะกัน รอบกายราวกับเงียบสงัดในทันใด
แววตาของเซียวลิ่วหลังนั้นล้ำลึกทว่าสงบนิ่ง เหมือนดั่งดวงจันทร์จมลงใต้น้ำที่ไร้จุดสิ้นสุด
จิ้งไท่เฟยย้ายไปอยู่ที่สำนักชีตั้งแต่ก่อนที่เซียวลิ่วหลังจะเกิดด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบจิ้งไท่เฟย
ที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก็เพราะในวังหลวงคงไม่มีใครแต่งกายเช่นนี้
เซียวลิ่วหลังยกมือประสานคำนับ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากตำหนักฮว๋าชิง
เว่ยกงกงถือป้ายหยกเดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะ “ไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ ป้ายหยกของท่านหาพบแล้ว เซียวซิวจ้วนเป็นคนเก็บได้ที่สวนดอกไม้หลวงพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยมองตามแผ่นหลังของเซียวลิ่วหลัง “เซียวซิวจ้วนรึ”
หลังจากเซียวลิ่วหลังออกมาจากวังหลวง ก็ไปเข้าเวรที่สำนักฮั่นหลินอยู่ครึ่งวัน พอออกเวรแล้วก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย แต่กลับไปยังหาหมิงฮุยของกั๋วจื่อเจียน
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้” จี้จิ่วอาวุโสยกประโยชน์สำหรับส่วนในวันนี้ให้แก่รองเจิ้งที่ถูกยืนทำโทษ
รองเจิ้งรู้สึกเหมือนราวกับได้รับอภัยโทษ แต่ก่อนเกลียดเซียวลิ่วหลังมาแค่ไหน ยามนี้ก็เฝ้าคอยเซียวลิ่วหลังมากแค่นั้น เพราะเซียวลิ่วหลังเป็นเพียงเดียวที่มาหาแล้วจี้จิ่วอาวุโสจะไม่มีเวลามาคอยคุมเขา
เซียวลิ่วหลังเดินเข้ามาในห้อง โดยมีองครักษ์ที่หน้าประตูหอหมิงฮุ่ยพาเข้ามา
“นั่งลงเถิด” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย
เซียวลิ่วหลังนั่งคุกเข่าลงฝั่งตรงข้ามของจี้จิ่วอาวุโส โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งอยู่ขั้นกลางระหว่างทั้งสอง บนนั้นมีเรียงความชั้นยอดของเหล่าบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนวางเรียงกันเป็นกอง
จี้จิ่วอาวุโสวางเรียงความที่ตรวจไปได้เพียงครึ่งหนึ่งในมือลง ก่อนจะเอ่ยถามเซียวลิ่วหลัง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หากไม่มีเรื่องอันใดเขาคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่
เซียวลิ่วหลังเล่าเรื่องป้ายหยกให้เขาฟัง สีหน้าของจี้จิ่วอาวุโสก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าสงสัยว่าจิ้งไท่เฟยรู้เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ”
สมกับเป็นศิษย์และอาจารย์ ระหว่างพวกเขาทั้งสองมีความรู้ใจกันที่ยากจะอธิบาย อันที่จริงเซียวลิ่วหลังไม่พูดสักคำที่สื่อเขาสงสัยจิ้งไท่เฟย เขาเพียงแค่ลำดับเหตุการณ์เรื่องราวทั้งหมดแล้วเล่าให้ฟังก็เท่านั้น
รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องแสร้งใสซื่อต่อหน้าลูกศิษย์ตัวเอง
เซียวลิ่วหลังถาม “ในสายตาของท่านอาจารย์ จิ้งไท่เฟยเป็นคนอย่างไร”
“ก็ย่อมต้องเป็นคนดีอยู่แล้ว” จี้จิ่วอาวุโสพูดออกมาจากใจจริง แต่ความทรงจำในอดีตของเขาใช่ว่าจะแม่นยำ ก็เหมือนที่เขาปักใจเชื่อมาตลอดว่าจวงจิ่นเซ่อเป็นคนชั่ว ทว่าตอนนี้กลับพบว่าจวงจิ่นเซ่อไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น หรือบางทีจิ้งไท่เฟยที่เขาคิดว่าเป็นคนดีนั้น ความจริงแล้วอาจไม่ได้ดีขนาดนั้นก็เป็นได้
เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่ากำลังเข้าข้างจวงจิ่นเซ่อ!
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” หลังจากผ่านเรื่องราวของจวงจิ่นเซ่อ จี้จิ่วก็เข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง
“ความสัมพันธ์ของนางกับไทเฮาเป็นอย่าไรหรือ” เซียวลิ่วหลังถาม
จี่จิ่วอาวุโสยิ้มบาง “แต่ก่อนทั้งสองคนสนิมสนมกันดี นางเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของจวงจิ่นเซ่อในวังหลวงแห่งนี้ คนที่จวงจิ่นเซ่อเชื่อใจมากที่สุดก็คือนาง ข้ายังจำได้ดี มีอยู่หนหนึ่งข้าวางแผนล้มอำนาจจวงจิ่นเซ่อ จึงใส่ร้ายป้ายสีจิ้งไท่เฟย จวงจิ่นเซ่อเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว! ตอนนั้นข้าเล่นงานจนจวงจิ่นเซ่อถูกจับเข้าตำหนักเย็นไปหนหนึ่ง จวงจิ่งเซ่อยังไม่เดือดดาลเท่านี้ ตำแหน่งพระมารดาของจิ้งไท่เฟยก็มาจากแรงผลักดันของจวงจิ่นเซ่อ”
เล่าถึงตรงนั้น จี้จิ่วอาวุโสก็ถอนหายใจยาว “หลังจากนั้น ฮ่องเต้องค์ก่อนก็สวรรคต ฝ่าบาทขึ้นมานั่งบัลลังก์ ส่วนจิ้งไทเฟยก็ปลงผมบวชชี ทั้งสองคนจึงไปมาหาสู่กันน้อยลง”
เซียวลิ่วหลังถามอย่างสงสัย “เหตุใดนางถึงไปอยู่สำนักชี เต็มใจไปเองอย่างนั้นหรือ”
จี้จิ่วอาวุโสส่ายหน้า “เปล่า เป็นคำสั่งของจวงจิ่นเซ่อ”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดพลางเอ่ย “แต่ฝ่าบาทไม่เห็นด้วย…”
จี้จิ่วอาวุโสพยักหน้า “เจ้าเดาถูกแล้ว ฝ่าบาทไม่เห็นด้วยจริงๆ แต่จวงจิ่งเซ่อนั้นอำนาจล้นฟ้า ฝ่าบาทสั่งสมบารมีนานกว่าหลายปีถึงจะสามารถเป็นคู่แข่งที่ทัดเทียมกับจวงจิ่นเซ่อได้ เพราะฮ่องเต้ที่เพิ่งก้าวขึ้นบัลลังก์ได้ไม่นานนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจวงจิ่งเซ่อเลยก็ว่าได้ ความสัมพันธ์ของฝ่าบาทและไทเฮาจึงแตกหักเพราะเรื่องนี้”