สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 333-2 โต้กลับ (2)
บทที่ 333 โต้กลับ (2)
กู้เจียวปลดม่านลงแล้วเปิดหน้าต่างฝั่งสารถี จากนั้นยิงเข็มเงินไปที่เขา
ชายคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่รถม้าจะเสียการทรงตัวและล้มลงไป
“แม่นางกู้ นี่ท่านจะ…” เสี่ยวซานจื่อตกใจ
“กลับไปทางเดิม!” กู้เจียวไม่มีเวลาอธิบายกับเขา
สมกับเป็นคนสนิทของกู้เจียว ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ เสี่ยวซานจื่อยังคงมีสติตลอดเวลา ถ้าเป็นเถ้าแก่รองละก็ป่านนี้คงเป็นลมหมดสติไปแล้ว
เขาเชื่อคำพูดของกู้เจียวและไม่พูดถามอะไรต่อ
น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว คนในชุดดำที่ซุ่มอยู่ใต้ชะง่อนผาพุ่งเข้ามาทางนี้ราวกับลูกธนู
ทุกคนถือมีดขนาดใหญ่แวววาวไว้ในมือ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว!
ไม่ต้องรอให้กู้เจียวนับก็รู้ว่าคนพวกนี้มากันสิบคน
เหอะ ดีจริงๆ ถึงกับส่งคนถึงสิบคนมาลอบทำร้ายเชียว!
“เจ้าหนีไปก่อน!”
กู้เจียวกระโดดลงจากรถม้า
เสี่ยวซานจื่อเชื่อฟังกู้เจียวอย่างดี เขารู้ตัวเองว่าอยู่ไปก็พาลแต่จะเป็นภาระให้แม่นางกู้
สู้เขารีบหนีออกไปแล้วไปแจ้งความหรือไม่ก็ตามคนมาช่วยแม่นางกู้ยังจะดีเสียกว่า
และแน่นอนว่า ถ้าเขาล่อพวกชายชุดดำมาได้ก็น่าจะช่วยแบ่งเบาได้บ้าง
เพื่อแม่นางกู้แล้ว เขายอมสู้ตาย!
“มาไล่จับข้าสิ มาเลย!”
เสี่ยวซานจื่อคว้าบังเหียนแน่น ก่อนจะหันไปมองว่ามีใครตามมาบ้าง
เอ่อ ไม่มีใครตามเขามาเลยแม้แต่คนเดียว…
กู้เจียวถูกชายชุดดำสิบคนล้อมไว้
“แน่จริงก็เข้ามาพร้อมกันเลยสิ ให้ลงมือทีละคนข้ากลัวจะเหนื่อยน่ะ”
ชายชุดดำส่งสายตาหยามเหยียดให้ ก่อนจะชักดาบในมือแล้วรุมเข้าหานาง
“เช่นนั้นก็ดีเลย ให้พวกเจ้ามาเป็นหนูทดลองดินปืนของข้าหน่อยก็แล้วกัน” กู้เจียวหรี่ตาลง พลางนึกได้ว่ามีดินปืนแค่สามก้อนเท่านั้น ไม่รู้ว่าอานุภาพของมันจะรุนแรงแค่ไหน
ชาติก่อนนางเคยใช้ดินปืนชนิดที่ไม่ต้องจุดไฟ แค่โยนลงพื้นก็จะระเบิดเอง
ดินปืนสีดำที่นางประดิษฐ์ขึ้นมีแรงเหมือนกับปืนใหญ่ขนาดเล็ก แต่มีพลังมากกว่า
กู้เจียวหยิบดินปืนสีดำชิ้นหนึ่งออกมาแล้วขว้างใส่ชายชุดดำเสียงปังดังลั่น และชายชุดดำหมดสติไป
เหอะ ไม่เท่าไหร่นี่
กู้เจียวไม่พอใจกับผลลัพธ์ของเจ้าดินปืนนัก แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังเสียทีเดียว
ขนาดตอนใส่ส่วนผสมเยอะเกินไปยังระเบิดจนตัวเองกระเด็นขึ้นไปแขวนบนต้นไม้ขนาดนั้น ผลลัพธ์แค่นี้กับการที่ลดปริมาณส่วนผสมลงก็นับว่าดีมากแล้ว
เหล่าชายชุดดำไม่เคยเห็นอาวุธแปลกๆ เช่นนี้มาก่อน ทรงพลังมากจนทุกคนตกใจเมื่อเกิดการระเบิด
ทุกคนมองไปที่กู้เจียวด้วยความหวาดกลัว
กู้เจียวกระดกมุมฝีปากของตัวเองอย่างเย็นชา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปคว้ามีดจากหนึ่งในชายชุดดำ แล้วชกเขาออกไปด้วยหมัด
ส่วนคนอื่นๆ ที่เพิ่งได้สติ พอเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปรุมกู้เจียว
ทว่าระเบิดเมื่อสักครู่ได้ทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขา กู้เจียวจึงจัดการเจ้าพวกนั้นได้อย่างรวดเร็ว พอชายชุดดำคนสุดท้ายถูกจัดการ กู้เจียวก็ตบมือเบาๆ
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น กู้เจียวสัมผัสได้ถึงกลิ่นของความอันตรายที่เข้ามาใกล้
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ใจของกู้เจียววูบโหวง นางรู้ดีว่าตัวเองหนีไม่พ้นแน่ๆ
เร็วอะไรปานนั้น!
ทำใดนั้นลำแสงดาบฟาดลงมาขวางมือสังหารผู้นัก จากนั้นก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมารั้งเอวของกู้เจียวให้ถอยหนีในทันที
“รอข้าอยู่ที่นี่!”
กู้ฉังชิงเอ่ยจบก็ชักดาบขึ้นต่อสู้กับอีกฝ่าย
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวเห็นกู้ฉังชิงต่อสู้กับใครบางคนอย่างจริงจัง เขาแข็งแกร่งกว่าที่คิดมาก แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ดี
แม้แต่กู้เจียวเองก็ยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
เจ้านั่นเป็นใครกันนะ
กู้ฉังชิงถูกอีกฝ่ายโจมตีและใช้ดาบเป็นเกราะกำบัง
กู้เจียวที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบโยนดินปืนสองลูกสุดท้ายใส่อีกฝ่าย!
อีกฝ่ายคิดว่าดินปืนนั้นไม่มีพิษสงอันใดจึงใช้ดาบขึ้นมากันไว้ แต่ทันใดนั้นพอดินปืนเกิดระเบิดขึ้นก็เกิดตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
สุดท้ายอีกฝ่ายจึงยอมก้าวถอยไป ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตมา
ดินปืนสองลูกทำอะไรเจ้านั่นไม่ได้เลยรึ
สมกับเป็นยอดฝีมือแห่งยอดฝีมือ
กู้เจียวทำท่าล้วงกระเป๋าจะหยิบดินปืนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่เหลือแล้ว กู้เจียวลองเชิงเผื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะเกิดกลัวขึ้นมา ซึ่งได้ผล
อีกฝ่ายชำเลืองมองกู้เจียวอย่างเย็นชา ก่อนจะจากไป
กู้ฉังชิงมองไปที่ทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเขาเอามือกุมหน้าอกของเขาและกระอักเลือดออกมา
กู้เจียวรีบเข้าไปจับชีพจรให้เขา
กู้ฉังชิงยกมือปัด “ข้าไม่เป็นอะไร แค่ช้ำในนิดหน่อย พักผ่อนเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
เขาเอ่ยพลางใช้นิ้วเช็ดเลือดจากมุมปาก ดึงดาบยาวกลับเข้าฝักด้วยมืออีกข้าง มองไปที่กู้เจียวแล้วถามว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย
กู้ฉังชิงผิวปากเรียกม้าคู่ใจ ม้าของเขาวิ่งควบเข้ามา
ทั้งสองพี่น้องกระโดดขึ้นม้า
“แล้วเจ้าพวกนี้ล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถามพลางมองไปที่กลุ่มชายชุดดำที่นอนกองบนพื้น
กู้ฉังชิงผู้มีประสบการณ์จึงเอ่ยตอบ “เจ้าคาดคั้นอะไรจากพวกมันไม่ได้หรอก เจ้าคนเมื่อกี้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ คนเหล่านี้เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ถูกจ้างมาเพื่อแลกกับเงินก็เท่านั้น พวกมันไม่รู้หรอกว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
กู้เจียวพยักหน้า
พี่น้องทั้งสองจึงเดินทางกลับไปยังตรอกปี้สุ่ย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จี้จิ่วอาวุโสที่เพิ่งกลับมาจากกั๋วจื่อเจียน พอเห็นใบหน้าซีดเซียวของกู้ฉังชิงก็อดสงสัยมิได้
“เจอพวกลอบสังหารมาน่ะ” กู้เจียวเอ่ยตอบ
“พวกลอบสังหารรึ” จี้จิ่วอาวุโสกวาดสายตามองทั้งคู่สลับไปมา “พวกมันจะฆ่าใครล่ะ ฉังชิงหรือเจียวเจียว”
“พวกมันดักฆ่าข้า” กู้เจียวเอ่ยตามตรง
กู้เจียวลงจากม้าก่อน จากนั้นยื่นมือช่วยพยุงกู้ฉังชิงลงจากม้า
จี้จิ่วอาวุโสมองไปรอบทิศ คว้าเชือกม้า ก่อนจะเอ่ยกับพวกเขา “พวกเจ้า ตามข้ามาทางนี้”
…
“เจ้าจะบอกว่าฝีมือของเจ้านั่นแม้แต่ปู่ของเจ้าก็ไม่มีทางสู้ได้อย่างนั้นรึ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น จี้จิ่วอาวุโสก็ขมวดคิ้วด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้…ทักษะของปู่เจ้าจะด้อยกว่ามือสังหารได้อย่างไร”
“ท่าทีของชายผู้นั้น ช่าง…” กู้เจียวอยากจะบอกว่านางคุ้นเคยดี เพราะกู้เจียวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของความเป็นนักฆ่า แบบเดียวกับที่ตนเคยเป็นเมื่อชาติที่แล้ว
“น่าแปลก” กู้ฉังชิงเอ่ยในสิ่งที่กู้เจียวไม่ได้พูดถึง “ลักษณะของมันต่างกับคนที่ข้าเคยเจอโดยสิ้นเชิง วิทยายุทธ์ของเจ้านั่นข้าไม่เคยเจอมาก่อน อีกทั้งบนใบหน้าของเจ้านั่น มีรอยสักด้วย!”
ชายคนนั้นสวมหน้ากาก แต่ด้วยแรงระเบิดของดินปืนทำให้หน้ากากของอีกฝ่ายแตกไปครึ่งหนึ่ง
กู้ฉังชิงจึงเห็นรอยสักบนใบหน้าของเขา