สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 369 สามี ภรรยา
บทที่ 369 สามี ภรรยา
ต่อมากู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงก็แยกย้ายกันไปคนละทาง กู้เฉิงเฟิงมุ่งหน้าไปที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ ส่วนกู้เจียวไปยังสำนักฮั่นหลิน
ช่วงนี้ภาระงานของสำนักฮั่นหลินค่อนข้างเยอะพอสมควร ทำให้เซียวลิ่วหลังต้องเลิกงานดึก กู้เจียวจึงต้องทำหน้าที่ส่งข้าวขนมเพื่อเติมพลังให้เขา
กู้เจียวหยิบขนมติดไม้ติดมือมาจากที่ตำหนักเหรินโซ่ว โดยแบ่งให้แม่นางเหยากับจิ้งคง รวมถึงเซียวลิ่วหลังด้วย
ตอนที่กู้เจียวกำลังจะเดินเข้าไปส่งของให้ ก็เจอกับเซียวลิ่วหลังที่กำลังเดินออกมาจากหอฮั่นหลินพอดี
หอฮั่นหลินเป็นเหมือนกับสถานที่ที่บัณฑิตชั้นนำไว้ใช้ศึกษาหาความรู้ แม้หอฮั่นหลินจะไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักฮั่นหลิน แต่ก็ยังอยู่ในถนนเส้นเดียวกัน
กู้เจียวเห็นเซียวลิ่วหลังผู้เลอโฉมเดินเด่นมาแต่ไกล แม้ใบหน้าของเขาจะดูอ่อนหวาน แต่กายของเขากลับเต็มไปด้วยความกำยำเฉกเช่นชายหนุ่ม
สำหรับแคว้นเจาแห่งนี้ ชายที่มีอายุครบยี่สิบบริบูรณ์ถึงจะสามารถถูกเรียกว่าชายหนุ่มได้
แสงแดดรำไรที่กระทบผิวหน้าของเขายิ่งเผยให้เห็นความละมุนยิ่งขึ้นไปอีก
กู้เจียวยืนกอดอกพิงกำแพงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
“เซียวซิวจ้วน!”
จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกของบัณฑิตคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากหอฮั่นหลินพร้อมกับหนังสือเล่มเล็กไว้ในมือ ดูจากสภาพเหมือนจะถูกอ่านมานับครั้งไม่ถ้วน
เซียวลิ่วหลังหยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปถาม “มีเรื่องอันใดหรือท่านชายโจว”
“ท่านจำข้าได้ด้วยหรือท่านเซียวซิวจ้วน” ชายคนนั้นดูเหมือนจะตกใจและทำท่าเกาหัวแก้เขิน
“ตอนสอบหน้าพระพักตร์ ท่านนั่งอยู่ด้านหน้าของข้า ข้าเคยได้ยินตู้รั่วหานเรียกชื่อท่าน”
ชายคนนั้นเชื่อจริงๆ ว่าเซียวลิ่วหลังจำเขาได้จริงๆ และเขารู้สึกปลาบปลื้มจนเผลอเบิกตากว้างเป็นเวลานานก่อนที่จะตระหนักว่าตัวเองมีธุระอะไร “นั่น นั่น นั่น… นั่น อ่า… ข้า…”
เขาเริ่มพูดตะกุกตะกัก
บางครั้ง ในสายตาของหลายๆ คน เซียวลิ่วหลังมักถูกมองว่าเป็นบัณฑิตเคร่งตำราอันดับหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งด้วยวิธีการที่ไม่ขาวสะอาดสักเท่าไร แต่ถ้าได้ลองฟังการบรรยายของเซียวลิ่วหลังหลายๆ ครั้ง ก็จะรู้สึกลึกซึ้งถึงความรู้ของเซียวลิ่วหลัง ไม่มีใครสมควรได้อันดับหนึ่งมากไปกว่าเซียวลิ่วหลังแล้วจริงๆ
“ข้ากับตู้รั่วหานเป็นเพื่อนกัน… ไม่สิ ข้า…” เขากังวลว่าเซียวลิ่วหลังอาจคิดว่าเขากำลังใช้ความสัมพันธ์ของตู้รั่วหานเพื่อเข้าใกล้ และยิ่งเขาพูดก็ยิ่งประหม่า
“มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามพลางมองหนังสือในมือของอีกฝ่าย
ในช่วงที่อาจารย์หยางกำลังพักฟื้น เซียวลิ่วหลังและอันจวิ้นอ๋องจึงต้องมาทำหน้าที่สอนหนังสือแทน พออาจารย์หยางกลับมา พวกเขาก็ไม่ต้องไปสอนแล้ว
ส่วนวันนี้ อาจารย์เติ้งบอกว่าเขามีบางอย่างที่ต้องทำชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงขอให้เซียวลิ่วหลังสอนวิชากฎหมายของราชวงศ์นี้แทน
ส่วนหนังสือที่ท่านชายโจวถือออยู่ในมือ “กฎแห่งแคว้นจ้าว”
เขายิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ข้าเข้าใจทุกอย่างที่เซียวซิวจวนพูด จริงๆ แล้วคำพูดของท่านดีมาก! มันไม่น่าเบื่อเลย! ข้าไม่ชอบกฎหมาย อ่านทีไรเป็นสติหลุดทุกที”
เขาไม่ได้ตั้งใจประจบสอพลอเซียวลิ่วหลัง เขาเข้าใจชั้นเรียนของเซียวลิ่วหลังจริงๆ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าชั้นเรียนกฎหมายจะถูกสอนแบบนี้
เซียวลิ่วหลังไม่ได้สอนให้ทุกคนท่องกฎหมายรายมาตราพวกเขาในทันที แต่ก่อนอื่น เขาจะพูดคุยเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมอวัยวะภายในทั้งห้าครั้งเมื่อรัชสมัยก่อนหน้า ซึ่งดึงดูดความสนใจของบัณฑิตทุกคนไม่น้อยเลยทีเดียว
ความละเอียดอ่อนของที่นี่คือ เหล่าบัณฑิตทุกคนลืมไปว่าพวกเขาอยู่ในชั้นเรียน พวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังไขคดีที่น่าตกใจที่ และการคาดเดาฆาตกรทำให้พวกเขาเกือบจะต่อสู้กันเองในชั้นเรียนด้วย!
เพราะอาจารย์เซียวลิ่วหลังกล่าวว่า ถ้าอยู่ในราชวงศ์นี้ ฆาตกรในกรณีนี้จะไม่ถูกตัดสิน และพวกเขาก็หายไป หลังจากฆ่าคนห้าคนติดต่อกัน ฆาตกรที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ก็ไม่ถูกตัดสินว่าผิดอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร!
พวกเขาไม่เชื่อในความชั่วร้ายเช่นนั้น และคิดว่าเซียวลิ่วหลังกำลังพูดเรื่องไร้สาระ
เซียวลิ่วหลังไม่ได้รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด เขาแค่เหลือบมองทุกคนเบาๆ แล้วเอ่ย “พวกท่านมีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์ว่าข้าพูดไร้สาระ”
“ฆ่าเพื่อแลกชีวิต!” บัณฑิตคนหนึ่งกล่าว
เซียวลิ่วหลังพูดอย่างใจเย็น “นั่นก็เป็นหนึ่งในเจตนาฆ่า แต่นั่นไม่ได้อยู่ในกฎของแคว้นเจา การฆ่าของเพชฌฆาต การฆ่าของโจร การฆ่าเพื่อป้องกันตัว การฆ่าคนตาย การฆ่าโดยเจตนา… ทุกสถานการณ์แตกต่างกันและไม่สามารถสรุปได้”
และแล้วชั้นเรียนก็จบลงเพียงเท่านี้
ทุกคนยังคงไม่พอใจ เพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถหาข้อสรุปได้เลย และถ้าพวกเขาถกเถียงอีกครั้ง พวกเขาจะต้องหาเหตุผลออกมาได้ดีกว่านี้แน่นอน
เฮ้อ ไม่รู้กฎหมายช่างเสียเปรียบนัก
“ปกติทุกคนจะรีบกลับกันหลังจากเลิกเรียน แต่วันนี้…” ท่านชายโจวยิ้มแล้วเอ่ย “ทุกคนอยู่ในห้องเรียนเพื่อปรึกษาหารือกัน โดยบอกว่าสิ่งที่ท่านเซียวซิวจ้วนเขียนนั้นผิด จากนั้นพวกเขาก็เลยไปหาหลักฐาน”
เหล่าบัณฑิตยอมทำทุกอย่างเพื่อหาข้อโต้แย้งกับเซียวลิ่วหลัง
“ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาตั้งใจกันขนาดนี้มาก่อน” ท่านชายโจวหัวเราะ
สีหน้าของเซียวลิ่วหลังยังคงสงบนิ่ง ก่อนจะหันไปถามท่านชายโจว “ท่านมาที่นี่เพื่อบอกเรื่องนี้กับข้าอย่างนั้นรึ”
“เอ่อ… ไม่! ไม่! คือว่าข้า…” ท่านชายโจวเกาหัวของเขา หน้าแดง
“เอาละ ไม่เป็นไรนะซวี่เอ่อร์ ข้าเอง!”
จู่ๆ ก็ปรากฏกชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำลังเดินมาจากอีกฝั่งของถนน
“ท่านลุงขอรับ” ท่านชายโจวหันไปทำความเคารพ
เซียวลิ่วหลังมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “ท่านรองเสนาบาดีสิง”
ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสิงอวิ๋น ซ่างซูหรือรองเสนาบดีกรมอาญา
“เซียวซิวจ้วน ไม่ได้เจอนานเลย”
เซียวลิ่วหลังรีบทักทาย
ครั้งหนึ่งเซียวลิ่วหลังเคยช่วยเขาปราบปรามคดีฆาตกรรม เสนาบดีสิงชื่นชมเซียวลิ่วหลังมาก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะเป็นครูของสวี่เอ่อร์ด้วยซ้ำ ข้าคิดว่าท่านอายุน้อยกว่าสวี้เอ่อร์เสียอีก ท่านยังดูเด็กและมากความสามารถยิ่งนัก!”
“ท่านเสนาบดีชมกันเกินไปขอรับ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างเกรงใจ
“เจ้าไปรอที่รถม้า” เสนาบดีหลวงสิงเอ่ยกับโจวซวี่
ด้วยความที่เขาเป็นคนหน้าบาง หลังจากคำนับเซียวลิ่วหลังแล้ว เขาก็รีบวิ่งไปที่รถม้า
เสนาบดีสิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้าขอให้ซวี่เอ่อร์มาหาท่านก็เพื่อเหตุผลสองประการ สิ่งแรกคือ ข้าสงสัยว่าท่านสนใจที่จะมาทำงานที่กรมอาญาหรือไม่ ท่านมีพรสวรรค์ในการแก้ปัญหา ทั้งยังมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนเที่ยงธรรม กรมอาญาขาดคนมีความสามารถเช่นท่านมากที่สุด นอกจากนี้กรมอาญาไม่ใช่ถิ่นขอองตระกูลจวง ขนาดระดับราชครูจวงยังไม่สามารถเข้าถึงที่นี่ได้เลย”
ที่เสนาบดีสิงมากล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขาต้องทำการบ้านมาหนักมากในการสืบข้อมูลของเซียวลิ่วหลัง
เสนาบดีสิงยิ้มให้พลางเอ่ย “ท่านไม่จำเป็นต้องรีบตอบข้า ค่อยๆ คิดดู ถ้าท่านมีความคิดใดๆ ท่านสามารถมาพบข้าได้ทุกเมื่อ หรือฝากกับซวี่เอ่อร์ก็ได้ เดี๋ยวข้าจะไปหาท่านเอง”
กู้เจียวพอได้ยินดังนั้น ก็ถึงกับยืดอกยิ้มกริ่ม พลางนึก สามีของนางเก่งที่สุดเลย
เซียวลิ่วหลังยังคงถามต่อ “เช่นนั้น แล้วเรื่องที่สองล่ะ…”
“เรื่องที่สองก็คือ…” เสนาบดีสิงเอามือแตะสันจมูกของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าน่ะ มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง อายุไล่เลี่ยกับเจ้าและยังไม่เคยแต่งงาน”
สีหน้าของกู้เจียวเริ่มไม่สู้ดีเท่าไหร่
เซียวลิ่วหลังเข้าใจความหมายของเขาในทันที จึงรีบกุมมือคำนับอย่างสุภาพและห่างเหิน “ขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้ามีภรรยาแล้ว”
มีภรรยาแล้ว
ประโยคนี้พอออกมาจากปากของเขาทำไมถึงได้น่าฟังขนาดนี้นะ
กู้เจียวส่ายหัวไปมาด้วยความเขิน
เสนาบดีสิงรู้สึกประหลาดใจและพูดตอบอย่างเขินอาย “เอ่อ…ข้าบุ่มบ่ามเกินไปเอง โปรดท่านอย่าคิดมากเลย”
ทั้งสองพูดคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่เสนาบดีสิงจะเดินขึ้นรถม้าไป
“เขาไม่ตอบตกลงหรือ”
โจวซวี่เอยถาม
เสนาบดีสิงส่ายหัว “รีบปฏิเสธเชียวล่ะ”
โจวซวี่ทำหน้าราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว “ข้าบอกแล้ว เซียวซิวจ้วนออกจะเป็นสุภาพบุรุษรักครอบครัวขนาดนั้น ท่านขโมยเขามาเป็นลูกเขยของท่านไม่ได้หรอก!”
เสนาบดีสิงถูมือของเขาไปมา ถอนหายใจอย่างเสียดาย
หลังจากเสนาบดีสิงออกไปไม่นาน เซียวลิ่วหลังก็เดินมาหากู้เจียว
กู้เจียวมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนดวงตาทั้งสองข้างมีรูปร่างคล้ายกลับพระจันทร์เสี้ยว
เซียวลิวหลังผงะไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้คาดหวังว่านางจะมาหา และเขาไม่ได้คาดหวังที่จะเห็นรอยยิ้มของนางด้วย
ที่จริงปกตินางก็ยิ้มอยู่แล้ว นางยิ้มอย่างเชื่อฟังต่อหน้าเขา หัวเราะเสียงดังเมื่อถูกคนอื่นล้อเล่น และยิ้มเบาๆ เมื่อเล่นกับเสี่ยวจิ้งคง…แต่ไม่มีครั้งไหนที่นางยิ้มหวานหยดย้อยเหมือนครั้งนี้
เหมือนนางเองก็ไม่รู้ตัวด้วย
ดวงตาของนางสว่างราวกับไฟ และเมื่อมองมาที่เขา ราวกับมีแสงสว่างวาบออกมา
จนตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกราวกับมีประกายไฟเกิดขึ้นภายในหัวใจ
“หืม” กู้เจียวเอียงศีรษะมองคนตรงหน้า
เขาต้องไม่สบายแล้วแน่ๆ ที่คิดว่าท่าทางของคนตรงหน้าดูน่ารักเสียจน
จนอยากคว้าร่างของนาง
จนอยากจะโอบกอดเหลือเกิน
จนอยากจะลูบไล้