สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 374 บดขยี้ (2)
บทที่ 374 บดขยี้ (2)
“เจ้าออกไปก่อน” ฮ่องเต้เอ่ยกับแม่นมไช่
แม่นมไช่พยักหน้า หันไปทางจิ้งไท่เฟยที่ไม่เอ่ยอะไร “เพคะ หม่อมฉันออกไปเดี๋ยวนี้”
แม่นมไช่ก็เดินออกไปนอกห้อง
ฮ่องเต้รู้ดีว่าแม่นมไช่คงยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและอาจได้ยินบทสนทนาของตนกับจิ้งไท่เฟย แต่เขาไม่สนใจอีกต่อไป
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องทำเช่นนี้” ฮ่องเต้นั่งลงต่อหน้าจิ้งไท่เฟย มองดูใบหน้าที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืนแล้วพูดอย่างเศร้าใจ
“ข้าทำอะไรให้เจ้ารึ” จิ้งไท่เฟยวางมือลง ก่อนจะหันไปถามคนตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย
“ลูกขอเถอะ เสด็จแม่อย่าแกล้งโง่อีกเลย ความลับมันไม่มีหรอกบนโลกใบนี้ เสด็จแม่ทำอะไรไว้น่าจะรู้อยู่แก่ใจดี” ฮ่องเต้ตัดพ้อพร้อมกำมือแน่น
“หม่อมฉันทำอะไรไว้ทำไมจะไม่รู้อยู่แก่ใจ ฝ่าบาททรงพูดเช่นนี้ทรงต้องการอะไรกันแน่เพคะ” จิ้งไทเฟยแม้จะขานตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา แต่กลับกระแทกครกสากในมือลงราวกับคนอารมณ์ร้อน
ท่าทางและแววตาของจิ้งไท่เฟยไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว นางอาจดูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ความสงสัยในพระทัยของฮ่องเต้นั้นผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดหลังจากฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ
ฮ่องเต้สวนกลับ “เอาละ ในเมื่อเสด็จแม่ถาม ข้าก็จะบอกให้รู้ไว้ว่า วันนี้แม่นางหมอเทวดาถูกลอบทำร้ายจนเกือบได้รับบาดเจ็บ หากไม่ใช่เพราะนางไหวตัวทัน ทุกอย่างคงเลวร้ายไปมากกว่านี้”
จิ้งไท่เฟยออกอาการตกใจ “ฝ่าบาทเลยทรงคิดว่าเป็นฝีมือของหม่อมฉันสินะ”
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ” ฮ่องเต้กัดฟันสวนกลับ
“เหตุใดหม่อมฉันต้องทำเช่นนั้นด้วยล่ะ” จิ้งไท่เฟยถาม
ฮ่องเต้แสยะยิ้ม “เหตุใดงั้นรึ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดท่านถึงได้ทำเช่นนั้น! หรือเป็นเพราะท่านอยากขับไล่คนที่อยู่รอบๆ ตัวข้าออกไปให้หมด! ตอนแรกก็จวงไทเฮา พอมาตอนนี้ก็เป็นหมอเทวดา สำหรับเสด็จแม่แล้ว ข้าต้องมีแต่ท่านเท่านั้นใช่หรือไม่ ข้าไม่สามารถใกล้ชิดกับใครอื่นได้เลยใช่ไหม!”
“ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะ!” คราวนี้จิ้งไท่เฟยเริ่มขึ้นเสียง
“เป็นเช่นนั้นรึ แล้วเหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ห้ามให้ข้าไปเจอจวงไทเฮา” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยท่าทีประชดประชัน
“ข้าไปทำเช่นนั้นตอนไหน…” จิ้งไท่เฟยเอ่ยไปได้ครึ่งประโยคก็เป็นอันเงียบลง
“เสด็จแม่ทรงจำได้แล้วสินะ ที่จริงแล้วข้าเองก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน แต่จู่ๆ ช่วงนี้ข้ากลับนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นข้ากับหนิงอันแอบไปที่วังเย็น พอเสด็จแม่จับได้ก็ลงโทษให้ข้ากับหนิงอันนั่งคุกเข่าท่ามกลางหิมะตก จนทำให้หนิงอันป่วยหนัก”
จิ้งไท่เฟยหลับตาลง และอธิบายอย่างอดทน “ที่หม่อมฉันทำเช่นนั้นมิใช่เพราะกลัวถูกหลิ่วกุ้ยเฟยจับได้หรอกหรือ! ฮองเฮาเองก็ไม่ต้องการให้พวกท่านไปเยี่ยมนางในวังเย็นเช่นกัน! เพราะนางไม่ต้องการให้พวกท่านตกที่นั่งลำบาก คิดหรือว่าหม่อมฉันจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิดที่เห็นลูกตัวเองต้องทรมานเช่นนั้น”
ฮ่องเต้ตรัสเบาๆ “เป็นเช่นนั้นรึ ข้าจำได้ว่าไม่ยักกะเห็นท่านจะดูเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย”
จิ้งไท่เฟยเริ่มกำมือแน่น
แม่นมไช่ที่ยืนอยู่ด้านนอกได้แต่รู้สึกอัดอั้นตันใจ
เพราะเหตุการณ์วันนั้น ตนก็อยู่ด้วย จิ้งไท่เฟยลงโทษฝ่าบาทกับองค์หญิงหนิงอันก็จริง แต่ก็ไม่วายน้ำตาคลอเบ้าไปด้วย ดูก็รู้ว่านางต้องทรมานหัวใจขนาดไหน
ฮ่องเต้กลับจำภาพเหล่าไม่ได้
ต้องเป็นเพราะ…ฤทธิ์ของยานั้นแน่ๆ …
“ฝ่าบาทจะว่าอย่างไรก็ตามนั้นเลยแล้วกันเพคะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ฝ่าบาทเจ้าคะ!” แม่นมไช่ที่ทนฟังไม่ไหวก็ได้เดินเข้ามาแล้วคุกเลง “จิ้งไท่เฟยไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ! ขนาดมดตัวเล็กๆ ยังไม่กล้าเหยียบเลยเจ้าค่ะ! ”
แววตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความดูแคลน “ขนาดมดยังไม่กล้าเหยียบอย่างนั้นรึ แล้วเหตุใดตอนนั้นท่านกล้าโบยฝูชิงจนช้ำในตายได้ล่ะ!”
ม่านตาจิ้งไท่เฟยเริ่มหดเล็กลง “ทรงว่าอย่างไรนะเพคะ”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงแข็ง “ข้าพูดถึงฝูชิงยังไงล่ะ!”
ชื่อฝูชิงนี้ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว นานจนแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังจำไม่ได้ เขาคือคนสนิทของฝ่าบาทเมื่อครั้งยังวัยเยาว์
หลังจากที่ฝูชิงตาย ก็เลยได้เว่ยกงกงเข้ามาแทนที่
เพียงแต่…ฝูชิงคือคนที่ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยบงการเพื่อลอบทำร้ายฮ่องเต้ และเขาก็สมควรได้รับโทษถึงแก่ความตายจริงๆ และคนที่สั่งให้ลงโทษฝูชิงนั้นไม่ใช่จิ้งไท่เฟย แต่เป็นจวงจิ่นเซ่อต่างหาก!
‘พวกเจ้าดูให้ดีไว้นะ นี่แหละผลกรรมของคนทรยศ!’
‘ฝ่าบาท…ฝ่าบาทช่วยกระหม่อมด้วย…กระหม่อมผิดไปแล้ว…’
‘เสด็จแม่…’
‘ลงโทษซะ!’
นั่นมันฝีมือของจวงจิ่นเซ่อชัดๆ ไฉนถึงกลายมาเป็นความผิดตัวเองเสียอย่างนั้น!
จิ้งไท่เฟยกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาวจางๆ
แม่นมไช่เอ่ยแย้ง “ไม่ใช่อย่างนั้นเลยเพคะ ฝ่าบาท! จิ้งไท่เฟยไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้แทบไม่สนใจแม่นมไช่เลยด้วยซ้ำ ยังคงจ้องเขม็งไปที่จิ้งไท่เฟย “ก็ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับหมอเทวดา ท่านไม่ยอมรับ เรื่องฝูชิง ท่านก็ไม่ยอมรับ เช่นนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับเย่ว์โหรว ท่านยังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ!”
เย่ว์โหรว หรือพระสนมโหรวเฟย สมัยที่ฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาท ทรงพาสาวงามกลับมายังวังจากตอนที่ออกราชการต่างเมือง
โหรวเฟยเสียชีวิตเพราะเกิดภาวะคลอดบุตรยาก
ฮ่องเต้กัดฟันตรัส “วันก่อนที่โหรวเฟยจะสิ้นใจ ท่านเรียกนางไปที่ห้องบรรทม ท่านพูดอะไรกับนาง นางถึงได้ลงเอยเช่นนั้น!”
ความจริงเรื่องวันนั้น จิ้งไท่เฟยไม่เคยเรียกโหรวเฟยเข้าพบเลยด้วยซ้ำ เป็นโหรวเฟยเองต่างหากที่มาขอนางเข้าพบ และที่นางเป็นแบบนั้นก็เพราะเดิมร่างกายของนางไม่ได้แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกันกับจิ้งไท่เฟยเลยแม้แต่นิด!
จิ้งไท่เฟยมองฝ่าบาทด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อของตัวเอง
นางคงเคยชินกับการที่ฮ่องเต้ทรงทำดีกับนางมาโดยตลอดเพราะฤทธิ์ของยา แม้ฤทธิ์ยานั้นจะหมดไป แต่ความรู้สึกอยากทำดีด้วยนั้นแน่นอนว่ายังคงเหลืออยู่
“ห้ามแตะต้องหมอเทวดาอีกเป็นอันขาด รวมถึงคนของข้าด้วย อย่าให้เยื่อใยความเป็นแม่ลูกของพวกเราเป็นอันต้องขาดสะบั้นเลยนะเสด็จแม่!”
ฮ่องเต้เอ่ยจบก็เดินออกไป
จิ้งไท่เฟยโกรธมากจนเอามือปัดหม้อให้ตกลงบนพื้น!
ในหม้อนั้นคือเผือกที่ถูกกวนไว้อย่างดี นางตั้งใจทำเอาไว้ถวายให้ฮ่องเต้ได้เสวยเป็นอาหารว่าง
นางรู้ว่าฮ่องเต้ชอบทานเผือกกวน พุทรากวน เผือกกรอบ ขนมกุ้ยฮวา ขนมเปี๊ยะ
“ไท่เฟยเจ้าคะ…” แม่นมไช่มองนายของตัวเองด้วยความสงสาร อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่ามือของจิ้งไท่เฟยได้รับบาดเจ็บ
จิ้งไท่เฟยมองดูนิ้วที่ถูกผ้าพันไว้ พลางตัดพ้อ “ทรงไม่แลด้วยซ้ำว่าข้ากำลังเจ็บมืออยู่”
จากคนที่เคยถูกใส่ใจ ไปๆ มาๆ กลายเป็นเย็นชาต่อกัน จิ้งไท่เฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
แม่นมไช่เอ่ยขึ้น “ไท่เฟยเจ้าคะ…หม่อมฉันเคยเตือนแล้ว ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล สู้อยู่เฉยๆ ยังจะดีกว่า…”
จิ้งไท่เฟยแย้งกลับด้วยแววตาที่หนักแน่น “จวงจิ่นเซ่อเองก็ไม่ได้ทำอะไรในตอนนั้น ข้ามักจะสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่ทำอะไร นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่าบาทถูกมอมยา แล้วนางจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นรึ เหตุใดนางยังลอยหน้าลอยตา เหตุใดนางถึงปลงได้เล่า!”
จวงจิ่นเซ่อที่เริ่มเอะใจแล้วว่าฝาบาทไม่เข้าใกล้นางอีก ถึงกระนั้น นางไม่ได้รั้งเขาไว้ นางปล่อยเขาไปอย่างสง่าผ่าเผยราวกับนกที่โผบินกลางน่านฟ้า!
นางใจแข็งราวกับไม่เคยรักและเอ็นดูฝ่าบาทเลย!
จิ้งไท่เฟยเอามือกุมหน้าอกตัวเอง “…นางไม่ช้ำใจบ้างหรือ”
แม่นมไช่ถอนหายใจ “เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เศร้า คนอย่างนางยอมเสียใจจนตายดีกว่าร้องขอความเมตตาจากใครไม่ว่าจะกับฮ่องเต้องค์ก่อน หรือองค์ปัจจุบันก็ตาม”
ใครจะล่วงรู้เล่าว่าจวงจิ่นเซ่อนั้นต้องผ่านพ้นค่ำคืนที่ข่มตาหลับไม่ลงมาอย่างไร ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองอย่างไร
ไม่ว่านางจะเจ็บปวด ร้องไห้ แตกสลายกี่พันครั้ง นางไม่มีวันจะให้ใครมาเห็นด้านนี้ของนาง
หลังจากที่นางปฏิวัติวังหลังให้อยู่ในกำมือของตนได้ นางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จิ้งไท่เฟยกลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วหยิบพระราชโองการนั้นขึ้นมา
แม่นมไช่เห็นดังนั้นก็หน้าเสีย “จิ้งไท่เฟยทรงคิดจะทำอะไรเจ้าคะ ทรงอย่าใจร้อนนะเจ้าคะ!”