สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 405 หักหน้า (2)
บทที่ 405 หักหน้า (2)
อีกด้านหนึ่ง เว่ยกงกงยกชามาให้องค์หญิงซิ่นหยาง องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยปฏิเสธเสียงเรียบ “ข้าดื่มยาไป ขอไม่ดื่มชาแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงรีบยกน้ำชากลับ
ฮ่องเต้พูดคุยกับน้องสาวคนนี้ด้วยความอึดอัด พระองค์ดื่มชาติดต่อกันไปหลายอึกก่อนจะถาม “หลายปีมานี้ไม่ได้ยินข่าวคราวของเจ้าเลย อยู่ที่เขาเฟิงตูสบายดีหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงนิ่ง “สบายดีเพคะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
จากนั้นก็ไม่มีการสนทนาใดต่อ
ฮ่องเต้ดื่มชาอย่างกระอักกระอ่วน
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินว่าแม่ชีจิ้งอันมรณภาพแล้ว ฝ่าบาทอย่าทรงโศกเศร้าไปเลย”
เรียกเสด็จพี่แล้วมันจะลวกปากหรือไร
ฮ่องเต้บ่นอุบอิบ ก่อนจะส่งเสียงอืมอย่างฮึดฮัด “เราไม่เป็นไรหรอก”
ฮ่องเต้ไม่ได้เล่าความผิดของจิ้งไท่เฟยให้ฟัง ประการแรกเพราะไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น เดี๋ยวพวกสารเลวที่ป้อมปราการที่เหลือในราชวงศ์ก่อนก่อนจะรู้ตัว ประการที่สองเพราะไม่อยากให้หนิงอันถูกชื่อเสียงของจิ้งไท่เฟยลากไปโดนหางเลขด้วย
จวงไทเฮาก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้
ครานี้ฮ่องเต้เป็นคนทำบทสนทนาตันเสียเอง
ฮ่องเต้รู้สึกว่าทั่วทั้งห้องทรงอักษรเต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัด
ยังต้องชวนคุยต่ออีกสักสองประโยค…
จู่ๆ ในสมองฮ่องเต้ก็เป็นประกายวาบก่อนจะตรัสถาม “จริงสิ เซวียนผิงโหวไปหาเจ้าหรือยัง เหตุใดจึงไม่กลับมาด้วยกันกับเจ้าเล่า”
“ไม่ทราบเพคะ” องค์หญิงซิ่นหยางตอบสั้นๆ
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้ไม่ค่อยแปลกใจกับคำตอบนี้นัก เดิมทีความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก พอเซียวเหิงตายไปความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ห่างเหินกันถึงขีดสุด
ฮ่องเต้นึกถึงเซียวเหิงขึ้นมา ในที่สุดก็พูดน้ำไหลไฟดับได้เสียที “เจ้าไปถวายพระพรเสด็จแม่หรือยัง”
องค์หญิงซิ่นหยางได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดก็แสดงสีหน้าท่าทางบ้างเสียที นางมองฮ่องเต้อย่างประหลาดใจ “ไปมาแล้วเพคะ ไทเฮาไม่อยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่ว”
ฮ่องเต้กัดฟันพึมพำ “ดียิ่งนัก หนีออกจากวังไปเล่นไพ่อีกแล้ว…”
เสียงพึมพำเบามาก แน่นอนว่าไม่ได้ทำให้องค์หญิงซิ่นหยางได้ยิน แต่สายตาองค์หญิงซิ่นหยางจ้องอยู่บนพระพักตร์ของฝ่าบาทตลอด ครู่ต่อมานางจึงเอ่ยขึ้นเสียงเนิบ “ได้ยินว่าความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับไทเฮาดีขึ้นไม่น้อยแล้ว”
ฮ่องเต้ไม่ได้ปฏิเสธ “มีเรื่องที่เราต้องบอกกับเจ้า คนที่วางยาพิษอาเหิงในตอนนั้นไม่ใช่เสด็จแม่ แต่เป็นผู้ดูแลของสำนักพระราชวังคนหนึ่งนามว่าจางซิ่ว นางถูกพวกเดนมนุษย์ของราชวงศ์ก่อนก่อนซื้อตัวไป วางแผนวางยาพิษอาเหิงแล้วป้ายความผิดให้เสด็จแม่ ยุแยงความสัมพันธ์ของเรากับเสด็จแม่ เราก็เพิ่งจะสืบหาความจริงได้ไม่นานมานี้เอง จางซิ่วถูกประหารแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” องค์หญิงซิ่นหยางหลบตาลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งที่ทรงทวงความเป็นธรรมให้อาเหิง”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง “รอให้กำจัดพวกเศษเดนจากราชวงศ์ก่อนให้สิ้นซากเสียก่อนเถิดจึงจะนับว่าทวงคืนความเป็นธรรมแก่อาเหิงได้อย่างแท้จริง เจ้าวางใจได้ เราจะไม่ปล่อยคนพวกนั้นไปแม้แต่คนเดียว!”
…
หลังจากองค์หญิงซิ่นหยางออกจากตำหนักฮว๋าชิงแล้วก็ไปที่ตำหนักคุนหนิงของเซียวฮองเฮาอีกหน
นางไม่ได้รั้งอยู่นานนักเช่นเดิม ถวายของขึ้นชื่อจากเขาเฟิงตูเสร็จก็กลับ
เมื่อผ่านสวนหลวง นางบังเอิญพบไท่จื่อเฟยที่มาจากตำหนักบูรพาพอดี
“ท่านอาหญิง!”
ไท่จื่อเฟยดวงตาเป็นประกาย นางสาวเท้าเดินไปหา
“ไท่จื่อเฟย” องค์หญิงซิ่นเฟยทักทายนาง
ไท่จื่อเฟยเหมือนกับเด็กน้อยเห็นผู้ใหญ่ กุมมือองค์หญิงซิ่นหยางไว้อย่างตื่นเต้นพลางเอ่ย “ช่างบังเอิญนัก เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมท่านอาหญิงอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะมาพบท่านที่นี่”
องค์หญิงซิ่นหยางมองนางพลางเอ่ย “ยามนี้เจ้าเป็นไท่จื่อเฟยแล้ว อย่าได้เกรงใจเช่นนี้”
ไท่จื่อเฟยสีหน้าวิตกขึ้น “ท่านอาหญิง…กำลังห่างเหินกับข้าหรือ ในใจข้าไม่ว่ายามนี้ข้าจะเป็นใคร วันหน้าจะเป็นใคร ท่านอากับท่านอาหญิงก็ยังเป็นผู้ใหญ่ที่ข้าเคารพที่สุดอยู่ดี!”
องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ไท่จื่อเฟยถามอย่างเป็นห่วง “ท่านอาหญิง ร่างกายท่านเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อวานข้าไปเยี่ยมท่าน ท่านนอนอยู่ ข้าเป็นห่วงทั้งคืน กระวนกระวายในใจตลอด นึกไม่ถึงเลยว่าข้าจะไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ท่านอยู่ที่เขาเฟิงตูอาการป่วยจะรุนแรงขึ้นเพียงนี้ หากรู้แต่แรกข้าคงพยายามไปหายาลูกกลอนไป่ฮวามาให้…จริงสิ ท่านอาหญิง ท่านกินยาลูกกลอนไป่ฮวาหรือยัง ผลเป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้ผลดีมากทีเดียว โชคดีที่ได้เจ้า ข้าเดินเหินได้แล้ว” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย ก่อนจะหยุดเว้นแล้วถามเอ่ยถาม “ยาลูกกลอนไป่ฮวาของเจ้าได้มาจากไหนรึ”
ไท่จื่อเฟยมองไปรอบๆ ก่อนจะขยับไปข้างหูองค์หญิงซิ่นหยาง แล้วกระซิบเสียงเบา “ซื้อมาจากที่ที่เรียกว่าโรงประลองใต้ดินเจ้าค่ะ ที่นั่นมีนักดาบของแคว้นจ้าวอยู่คนหนึ่ง เขามียาลูกกลอนไป่ฮวาอยู่ขวดหนึ่งพอดี”
โรงประลองใต้ดินมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันไปหมด แต่หากจะซื้อของพรรค์นี้ก็ต้องไปโรงประลองใต้ดินเท่านั้น
องค์หญิงซิ่นหยางหมดความสงสัยต่อยาลูกกลอนไป่ฮวาแล้ว
บางทียาลูกกลอนไป่ฮวาอาจจะไร้สีไร้รสจริงๆ ก็ได้ เพียงแต่ผู้คนลือกันจนผิดแปลกออกไป
ไท่จื่อเฟยแย้มยิ้มจางพลางเอ่ย “ท่านอาหญิง หากท่านไม่รีบร้อนออกจากวังละก็ไปนั่งเล่นที่ศาลาก่อนสิเจ้าคะ ข้าจะคุยเล่นเป็นเพื่อนท่านเอง ท่านไปตั้งหลายปี เมืองหลวงเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ข้าจะได้เล่าให้ท่านฟังด้วยเลย”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้ปฏิเสธ
หาใช่เพราะนางอยากฟังเรื่องราวในเมืองหลวง แต่นางไม่อยากหักหน้าไท่จื่อเฟย
ทั้งคู่พยุงกันขึ้นบันได ก่อนจะนั่งในศาลารับลมของสวนหลวง
ไท่จื่อเฟยสั่งนางกำนัลให้ไปยกน้ำชากับขนมมา
อวี้จิ่นเห็นขนมเนยกรอบและขนมกุหลาบบนโต๊ะก็อมยิ้ม “ไท่จื่อเฟยยังจำของโปรดขององค์หญิงได้”
ไท่จื่อเฟยยิ้มพลางเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้วสิ สิ่งที่ท่านอากับท่านอาหญิงชอบกินข้าจำได้หมดนั่นแหละ! สิ่งที่อาเหิงชอบกินข้าก็…”
นางเอ่ยไปได้ครึ่งหนึ่งก็พลันชะงักไป
รู้ตัวว่าตัวเองเอ่ยเรื่องปวดใจที่ไม่ควรพูดถึงขึ้นมา นางจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา ก่อนจะมององค์หญิงซิ่นหยางอย่างรู้สึกผิด “ท่านอาหญิง…ขอโทษเจ้าค่ะ…ข้า…”
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้าเรียบนิ่ง “สิ่งที่อาเหิงชอบกินเจ้าก็ยังจำได้ ไม่มีอะไรที่ไม่ควรพูดหรอก”
อวี้จิ่นโบกมือไล่นางกำนัลออกไป
ในศาลาจึงเหลือแค่นาง ไท่จื่อเฟยและองค์หญิงซิ่นหยาง
ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ท่านอาหญิง ขอโทษเจ้าค่ะ”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก”
ไท่จื่อเฟยอ้าปาก “ข้า…”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นต้องขอโทษในสิ่งที่เจ้าพูดหรอก และไม่ต้องขอโทษที่เจ้าเป็นไท่จื่อเฟยด้วย อาเหิงตายไปแล้ว ซ้ำพวกเจ้าก็ไม่ได้แต่งงานกัน ต่อให้แต่งกันแล้ว เจ้าแต่งงานใหม่ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ไท่จื่อเฟยกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ขอบตานางแดงก่ำ ก่อนสะอื้นกอยู่ที่ลำคอ
“ไท่จื่อดีต่อเจ้าหรือไม่” องค์หญิงซิ่นหยางถามนาง
ไท่จื่อเฟยสะอึกสะอื้นพลางพยักหน้า
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว อวี้จิ่น”
นางส่งสายตาให้อวี้จิ่น
อวี้จิ่นพลันกระจ่างทันที นางเดินลงบันไดไปกวักมือเรียกสาวใช้ที่ติดตามมาคนหนึ่ง
สาวใช้เดินขึ้นศาลามา
อวี้จิ่นเอ่ย “ของที่ให้เจ้าเอามาได้ เจ้าได้เอามาด้วยหรือไม่”
สาวใช้ครุ่นคิดก่อนตอบ “สะ…ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นเอ่ย “ยังเหลือเห็ดหลินจือพันปีอีกกล่องหนึ่งมิใช่รึ”
“ไอ้หยา ข้าลืมไว้บนรถม้าเจ้าค่ะ!” สาวใช้ปิดปาก “บ่าวจะไปเอามาเดี๋ยวนี้เพคะ!”
นางเดินไปได้สองก้าวก็กลับมาด้วยสีหน้าแหยๆ “บ่าวไม่รู้ทาง…”
สาวใช้มาจากเขาเฟิงตู และเข้าวังมาครั้งแรก
“ข้าไปเอาเอง” อวี้จิ่นบอกกับองค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “ไม่ต้อง หลงอีไป”
ประโยคนี้ไท่จื่อเฟยได้ยินแล้วมึนงงไปหมด หลงอีคือใครกัน
นางมองไปท่ามกลางนางกำนัลด้านล่าง ทว่าไม่เห็นใครเดินออกไปเลย
หลงอีเร้นกายหลบอยู่ในที่ลับ แม้แต่ยอดฝีมือยังไม่อาจสังเกตเห็นได้ นับประสาอะไรกับไท่จื่อเฟย
บนรถม้าเหลืออยู่แค่กล่องสุดท้ายกล่องเดียว จึงเห็นได้ง่าย
หลงอีขึ้นรถม้าไปหยิบกล่องมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลงอีหอบกล่องผ้าไหมทะยานเร้นกายเข้าศาลารับลม ไท่จื่อเฟยก็ตกใจอย่างแรง
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับไท่จื่อเฟย “ขอบใจที่เจ้าส่งยามาให้ นี่เป็นของขวัญขอบคุณ” จากนั้นก็เอ่ยกับหลงอีว่า “ส่งของขวัญขอบคุณให้ไท่จื่อเฟยสิ”
หลงอีไม่ส่งให้
โดยปกติแล้วองครักษ์หลงอิ่งจะไม่ขัดคำสั่งของเจ้านาย เว้นเสียแต่ว่าจะไม่เข้าใจคำสั่ง
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นเจ้านายที่ใจเย็น นางชี้ไปที่กล่อง แล้วชี้ไปที่ไท่จื่อเฟย ก่อนจะอธิบายทีละถ้อยทีละคำ “เจ้า กล่องในมือน่ะคือของขวัญขอบคุณ มอบให้ไท่จื่อเฟยเสีย”
หลงอีก็ยังไม่มอบให้
องค์หญิงซิ่นหยาง “เช่นนั้นเอามาให้ข้า”
หลงอีมอบให้นาง
องค์หญิงซิ่นหยางส่งกล่องให้ไท่จื่อเฟยเอง แต่หลงอีกลับแย่งกล่องไปอีกหน!
ไท่จื่อเฟยมององครักษ์ลับที่นามว่าหลงอีผู้นี้อย่างงุนงงอีกหน เขาไม่อยากมอบเห็ดหลินจือให้แก่นาง
นี่มันเหมือนเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่ในบ้านให้แบ่งลูกอมให้เพื่อน เป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่แบ่งให้ ทำเอาทุกคนกระอักกระอ่วนกันหมด
โดยเฉพาะไท่จื่อเฟย นางหน้าเห่อแดงอย่างกระอักกระอ่วน “ช่างเถอะ ท่านอาหญิง…”
“จะช่างไม่ได้” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับหลงอี “เจ้าอยากได้กล่อง กลับไปข้าจะเอาให้เจ้า ด้านในนี้เป็นของขวัญขอบคุณที่ต้องมอบให้คนอื่น”
หลงอีไม่ให้
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว “หากเจ้ายังไม่ให้อีก ข้าจะโกรธแล้วนะ”
ขณะนั้นเอง กู้เจียวก็เดินผ่านสวนหลวงมาพอดี
หลงอีทะยานตัวพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วมาหยุดตรงหน้ากู้เจียว แล้วยัดกล่องใส่อ้อมอกกู้เจียว
จากนั้นเขาก็หันกลับไปมององค์หญิงซิ่นหยาง
แววตาและท่าทางนั้นราวกับกำลังบอกว่า
อย่าโกรธเลย ข้าให้แล้วอย่างไรเล่า