สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 462 ปมในใจถูกคลาย (1)
บทที่ 462 ปมในใจถูกคลาย (1)
ณ ห้องทิศตะวันออก ในที่สุดกู้เจียวก็ตามเรื่องราวของสองแม่ลูกได้ทันจากการช่วยอธิบายของกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น โดยกู้เหยี่ยนรับหน้าที่เล่าเรื่อง อธิบาย ขณะที่กู้เสี่ยวซุ่นทำหน้าที่แสดงท่าประกอบเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เดิมกู้เจียวพอจะรู้เรื่องราวของเซียวลิ่วหลังมาอยู่บ้าง เพียงแต่พอได้ฟังจากปากของทั้งสอง กู้เจียวยิ่งมั่นใจว่าเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้นจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่ๆ
กู้เจียวมองว่าคนที่วางเพลิงไม่น่าจะใช่หนิงอ๋อง อย่างน้อยไม่ใช่เขาแน่ๆ ที่จงใจวางเพลิงจน ‘เซียวเหิง’ถึงแก่ความตาย
ทั้งองค์หญิงและหนิงอ๋องเองคงวางแผนจะวางเพลิงอยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับทำไม่สำเร็จ องค์หญิงเกิดใจอ่อนเสียก่อน ส่วนหนิงอ๋องคงยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็ถูกองค์หญิงซิ่นหยางหมายหัวไว้เสียก่อน
แล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ
แล้วทำไปเพื่ออะไร
เซียวเหิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่มีพิษภัยกับใคร ต่อให้เขาขัดหูขัดตาใคร ก็คงเป็นคนที่อิจฉาความสามารถของเขา หรือไม่ก็คนของตระกูลจวง อีกทั้งด้วยอำนาจของเซวียนผิงโหวและองค์หญิงซิ่นหยาง คงไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่อย่างกั๋วจื่อเจียนอันเป็นถิ่นของจี้จิ่วอาวุโสและเซียวเหิง ไม่อย่างนั้นหนิงอ๋องคงไม่ถูกองค์หญิงจับได้ภายในเวลาอันสั้นหรอก
จิ้งไท่เฟยเคยคิดวางยาเซียวเหิง แต่นั่นเป็นเพราะพระราชวังเป็นที่ของนาง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาได้รับการคุ้มกันอย่างดีจากองค์หญิงกับเซวียนผิงโหว ไม่น่ามีใครคิดจะลงมือได้ง่ายๆ
เช่นนั้น คนที่วางเพลิงต้องไม่ใช่คู่อริแน่ๆ
กู้เจียวมองว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้จ้องจะแก้แค้นกับเซวียนผิงโหวหรือไม่ก็องค์หญิงซิ่นหยางอย่างแน่นอน
จากท่าทีขององค์หญิงที่ต้องการให้เขาหนีไปให้ไกล ดูเหมือนอีกฝ่ายจ้องจะเล่นงานเซียวเหิงคนเดียว
อีกฝ่ายกำลังนั้นคุกคามความปลอดภัยของเซียวเหิงอย่างจริงจัง เพื่อให้เขามีชีวิตรอด องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางเลือกอื่น
และจากท่าทีของเซวียนผิงโหว ดูเหมือนองค์หญิงจะปิดบังเรื่องนี้กับเซวียนผิงโหวด้วย
แม้ว่าพวกเขาทั้งสองไม่ไว้วางใจกันมากนัก แต่อย่างไรเสีย เซียวเหิงเป็นลูกชายของพวกเขา มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นสำหรับพฤติกรรมขององค์หญิงซิ่นหยาง นั่นคือ พลังและอำนาจของอีกฝ่ายเป็นอะไรที่แม้แต่กองกำลังของเซวียนผิงโหวก็มิอาจสู้ไหวได้
อย่าบอกนะว่า…จะเป็นพวกแคว้นอื่นที่อำนาจเหนือกว่า
แคว้นเยี่ยน แคว้นจิ้น แคว้นเหลียง คือสามแคว้นมหาอำนาจ ส่วนแคว้นจ้าว แคว้นเจา และแคว้นเฉินอยู่ในสถานะรอง อีกทั้งพวกชนเผ่าทูเจวี๋ยที่ไม่ถูกยอมรับโดยหกแคว้น
ตั้งแต่กู้เจียวมาที่นี่ เดินทางไกลสุดก็แค่เมืองหลวง ยังมีอีกหลายแคว้นที่นางยังไม่ได้ไปเยือน จึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นแคว้นใด
แต่เซียวลิ่วหลังเคยพูดไว้ว่า มารดาแท้ๆ ของเขาคือบ่าวจากแคว้นเยี่ยน
แต่ไม่มีเบาะแสอะไรที่สามารถตามสืบได้เลย
…
คืนนั้น องค์หญิงซิ่นหยางอยู่กินมื้อเย็นที่เรือนด้วย
“ที่จริงข้าทำอาหารเป็นนะ ช่วงที่พำนักอยู่เฟิงตูไม่มีอะไรทำ ก็เลยเรียนทำอาหารสองสามอย่างจากคนครัว”
องค์หญิงกินเจ ดังนั้นอาหารที่นางเรียนมาจะเป็นพวกผักต่างๆ
องค์หญิงอยากแสดงฝีมือให้ลูกชายตัวเองได้เห็น จึงลงมือทำยำผักสามอย่าง ข้าวเหนียวนึ่งพุทรา และผัดเห็ดป่า
หน้าตาของอาหารที่องค์หญิงทำเมื่อเทียบกับของเซียวลิ่วหลังแล้วเรียกได้ว่าดูน่ารับประทานกว่าหลายขุม
ทุกคนอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ลิ้มรสมัน พอชิมเสร็จ พวกเขารู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ออกมาจากข้างในจิตวิญญาณ!
ให้ตายสิ!
รสชาติแย่ชะมัด!
ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าฝีมือเข้าครัวของเซียวลิ่วหลังถูกถ่ายทอดมาจากใคร!
ทั้งจิ้งคงและหลงอีทั้งมองบนและแลบลิ้นออกมาเพราะความไม่อร่อย!
กู้เจียวทำหน้ากากอันใหม่ให้หลงอี ซึ่งปิดแค่ครึ่งบนของใบหน้า ทำให้หลงอีสามารถกินอาหารได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องถอดหน้ากาก
อวี้จิ่นเองก็แสดงทักษะการทำอาหารด้วย โชคดีที่นางเป็นคนมีฝีมือ ทุกคนเลยไม่ต้องทรมานกับจานอาหารขององค์หญิงซิ่นหยาง
หลังทานข้าวเสร็จ จี้จิ่วอาวุโสเรียกเซียวลิ่วหลัง…ซึ่งควรจะเรียกเขาว่าเซียวเหิง ไปยังห้องที่อยู่ด้านข้าง
ด้วยความที่จี้จิ่วกลับดึก จึงพลาดเหตุการณ์ต่างๆ และยังคงสับสนว่าเหตุใดแม่ลูกคู่นี้ถึงกลับมาคืนดีกันแล้ว
ส่วนองค์หญิงซิ่นหยางถูกเจ้าตัวเล็กพาไปที่สวนหลังเรือนเพื่อทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงเพื่อนรักของเขา
“…เจ้านี่ชื่อเสี่ยวอู่ ส่วนนี่เสี่ยวลิ่ว และนี่เสี่ยวชี ส่วนเจ้านี่ชื่อเสี่ยวจิ่ว” พอจิ้งคงแนะนำเสร็จ เจ้าเสี่ยวปาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ “นี่คือเจ้าเสี่ยวปาของท่านพี่เหยียน”
จากนั้นเขาก็ก้มลงผูกดอกไม้สีแดงสดให้กับเสี่ยวปา
ดอกไม้แดงนั่นชวนให้องค์หญิง นึกถึงขนนกยูงบนหน้ากากของกู้เจียว พลางนึก พี่น้องสองคนนี้ชอบอะไรแบบนี้หรอกหรือนี่!
“องค์หญิง! ข้าให้!”
ทันใดนั้น จิ้งคงก็เล่นมายากลทำท่าเสกดอกไม้ และยื่นให้องค์หญิงด้วยท่าทางสุภาพชน “ดอกไม้ที่สวยเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับคนงามเช่นท่าน”
เจ้าตัวเล็กนี่ปากหวานใช่เล่น
แต่จะว่าไป เหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นเคยกับดอกไม้ชนิดนี้นะ…
หลงอีแอบเข้าไปในสวนดอกไม้ของนางอีกแล้วสินะ!
คงเป็นใครไปไม่ได้อีกที่ขโมยดอกไม้ของเจ้าของเพื่อมอบให้เจ้าของ
หลังจากนั้น จิ้งคงพาองค์หญิง ไปที่ห้องของเขาและให้นางดูการบ้านของเขา หากไม่นับเรื่องลายมือไก่เขี่ย เขาแทบจะไม่พบข้อผิดพลาดเลย
เหตุผลหลักที่ทำให้ลายมือของเขายังไม่สวยนั่นเป็นเพราะเขายังเด็กเกินไป แรงข้อมือยังไม่เพียงพอ และกู้เจียวก็ไม่ปล่อยให้เขาเขียนมากเกินไป เพราะกลัวว่าจะส่งผลต่อพัฒนาการของเขา
ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดยิ่งนัก
เซียวเหิงที่เดินออกมาจากห้องข้างๆ ก็ได้เห็นภาพตรงหน้าที่เจ้าตัวเล็กกำลังพูดโม้โอ้อวดอยู่กับองค์หญิง
เขาทำแบบนี้กับคนที่เขาชอบเท่านั้น ถ้าคนที่เขาไม่ชอบ เขาจะทำตัวเย็นชาใส่
ยกตัวอย่างเวลากู้จิ่นอวี้มาที่เรือน จิ้งคงแทบไม่เข้าไปยุ่งกับนางด้วยซ้ำ
ขณะที่จิ้งคงกำลังโม้อยู่นั้น ก็เล่าเรื่องวีรกรรมของพี่เขยตัวแสบให้องค์หญิงฟังจนองค์หญิงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
เจ้าตัวเล็กพูดเจื้อยแจ้วพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย “จริงๆ นะองค์หญิง ท่านอาจไม่เชื่อข้า แต่พี่เขยตัวแสบอายุสิบแปดแล้วยังปัสสาวะรดที่นอนอยู่เลย! แถมเขายังตำหนิข้าด้วย! ท่านว่าใช่ได้ไหมล่ะองค์หญิง”
องค์หญิงซิ่นหยางหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
ขณะที่คนถูกนินทาเริ่มหน้าเขียว
เจ้าเณรน้อย ถ้าไม่ได้แกล้งข้าเจ้าจะไม่สบายใจสินะ!
“ฝึกภาษาแคว้นเฉินเสร็จแล้วหรือยัง”
“ท่องจำกลอนแคว้นเหลียงได้หรือยัง”
“อ่านตำราของแคว้นเยียนแล้วหรือยัง”
จิ้งคงเบะปาก “เจียวเจียวบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้”
เซียวเหิงเลิกคิ้ว “อ๋อ แล้วเจ้าบอกเจียวเจียวแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้เจ้ามีการบ้านอะไรบ้าง”
จิ้งคงเก็บเรื่องที่พรุ่งนี้ต้องเรียนพิเศษไว้ไม่ให้รู้เพื่อวันนี้จะได้แอบอู้การบ้านได้
เจ้าตัวเล็กเริ่มกะพริบตาปริบๆ
ในที่สุด ความกลัวว่าเจียวเจียวจะผิดหวังในตัวเขาก็ชนะจนได้
เขากระโดดลงจากเก้าอี้อย่างไม่เต็มใจ เขย่งเท้าไปหยิบหนังสือบนโต๊ะ แล้วไปหาจี้จิ่วอาวุโส
องค์หญิงยังคงหัวเราะอย่างชื่นบาน
เป็นเวลานานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่ได้หัวเราะงอหายเช่นนี้ จิ้งคงทำให้นางนึกถึงอาเหิงตอนเด็กๆ
“จิ้งคงเหมือนกับเจ้าตอนเด็กไม่มีผิด”
เซียวเหิงทำท่าฉุนจมูก “ข้าไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย”
“อ๋อ แล้วใครกันที่ท่องกลอนแค่บทเดียวก็รีบวิ่งไปอวดที่ตำหนักจินหล่วนล่ะ” องค์หญิงเอ่ยทัก
สีหน้าของเซียวเหิงพลันแข็งทื่อ และความทรงจำที่น่าละอายก็ระเบิดออกมาจากก้นบึ้งของจิตสำนึก ภาพเด็กน้อยเดินต้อยๆ ตามหลังจักรพรรดิ ใช้ทั้งมือและเท้า ปีนบันไดขึ้นไปทีตำหนักทีละก้าวจนหายใจหอบ ปีนจนหมวกที่ใส้อยู่เบี้ยวเอียง
เขายืนขึ้นพร้อมกับหมวกเบี้ยวๆ ของเขาอย่างงุ่มง่าม มองดูเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารจำนวนมาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ‘ข้า จะท่องบทกวีแล้วนะ วันนี้ขอเสนอ…’
นั่นไม่ใช่เขา!
ไม่ใช่เขา! เขาไม่เคยทำแบบนั้น! ไม่เคย!