สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 466 ประหลาดใจ
บทที่ 466 ประหลาดใจ
ท้ายที่สุด องค์หญิงซิ่นหยางก็เดินไปขึ้นรถม้าสุดหรูหราของเขา
เซวียนผิงโหวเดินขึ้นรถม้าตาม พลางโยนแส้ให้ฉางจิ่ง “ขับดีๆ ล่ะ องค์หญิงไม่ชอบให้รถโคลงเคลง”
“ขอรับ” ฉางจิ่งรับแส้มาเสร็จ พอฟาดลงไปครั้งแรก รถม้าก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างแรง!
เซวียนผิงโหว “…”
คู่สามีภรรยานั่งในรถม้าคันเดียวกัน เซวียนผิงโหวชำเลืองมองนางด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่ม “ข้าไปที่ภูเขาเฟิงตูเพื่อตามหาเจ้า แต่กลับถูกปฏิเสธ แล้วนี่เจ้าจู่ๆ กลับเมืองหลวงคนเดียว หรือว่า กำลังหลบหน้าข้าอยู่อย่างนั้นรึ”
“เหตุใดข้าต้องหลบหน้าท่านด้วย” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เซวียนผิงโหวกระตุกมุมริมฝีปากของเขา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซุกซน “พอเถอะน่า ฉินเฟิงหว่าน ตั้งแต่เซียวเหิงจากไป เจ้าก็หลีกเลี่ยงข้ามาตลอด บางครั้งข้าก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้านั่นแหละเป็นคนจุดไฟหรือเปล่าถึงไม่กล้าเผชิญหน้าข้า”
องค์หญิงซิ่นหยางเบือนหน้าหนี “เหอะ”
เซวียนผิงโหวแหงนหน้ามองเพดานรถ ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เอาละ ให้เจ้าอีอะไรนั่นของเจ้าพาเซียวเหิงลงมา แถมให้เขาลอยว่อนอยู่ในอากาศอย่างนั้น ต่อให้หลงอีไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยแทนลูกชายของข้า”
หลังจากที่หลงอีช่วยเซียวเหิงไว้ หากพูดให้ถูกต้อง คือหลังจากที่เซวียนผิงโหวปรากฏตัว เซียวเหิงก็ขอให้หลงอีพาเขาออกไปจากตรงนั้น
แม้เซวียนผิงโหวจะพูดลอยๆ แต่ประเด็นมีอยู่คือ
หนึ่ง เซวียนผิงโหวรู้จักหลงอี
สอง เขามั่นใจแล้วว่าเซี่ยวลิ่วหลังคือเซียวเหิง
หลงอีเคยเป็นองครักษ์ลับตอนสมัยอยู่ที่จวนองค์หญิง พอย้ายไปอยู่เขาเฟิงตู เขาก็ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยขึ้น แต่กระนั้น หลงอีก็ไม่เคยได้เจอกับเซวียนผิงโหวอยู่ดี
นั่นหมายความว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเพลิงในกั๋วจื่อเจียน เซวียนผิงโหวรู้เรื่องของหลงอีมาก่อนแล้ว ในเมื่อเขารู้แม้แต่การมีอยู่ของคนที่เก่งที่สุดอย่างหลงอีแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงองครักษ์หลงอิ่งคนอื่นๆ
ส่วนเรื่องที่เซวียนผิงโหวรู้เรื่องนี้ตอนไหนนั้น นางไม่อาจรู้ได้ อาจเป็นสี่ปีก่อน หรือเร็วกว่านั้น
ส่วนประเด็นที่สอง
จุดประสงค์ของเซวียนผิงโหวที่ไปเขาเฟิงตู เมื่อนำมารวมกับสถานการณ์ในเมืองหลวง องค์หญิงซิ่นหยางจึงเดาได้ไม่ยากว่าเขามาเชิญนางกลับไปเพื่อชี้ตัวเซียวเหิง
วันนี้พวกเขาทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกัน นางคงไม่ได้ต้องพูดให้มากความ แน่นอนว่าเซวียนผิงโหวได้คำตอบไปแล้ว
“ฉางจิ่ง ไปจับสองคนนั้นที่กำลังใช้วิชาตัวเบาอยู่กลางอากาศมาที”
ฉางจิ่งที่กำลังขับรถอยู่พอได้รับคำสั่งก็ทะยานขึ้นฟ้าทันทีทันใด!
ไม่นาน ฉางจิ่งกลับมาที่รถม้าพร้อมรอยฟกช้ำ
“สู้ไม่ได้ขอรับ”
ฉางจิ่งรู้สึกละอายใจ และได้แต่เก็บเงียบ
เซวียนผิงโหวสบถใส่ “สม ครั้งหน้าเจ้าจะได้ขับรถม้าระวังมากขึ้น”
ฉางจิ่งหน้าเขียวปั๊ด นายท่านแค่ต้องการแก้แค้นที่เขาออกรถได้ไม่ดีสินะ! ! !
ฉางจิ่งโมโหจนยากจะควบรถม้าให้เร็วจนเหินฟ้าเชียว แต่เขารู้ตัวเองว่าเขาต่อกรกับจิ้งจอกอย่างเซวียนผิงโหวไม่ได้ ช่างน่าเศร้านัก
ภายในรถม้า เซวียนผิงโหวกำลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ข้างหลังเขามีหมอนหนานุ่ม ขาเรียวของเขาไขว้กัน มือข้างหนึ่งวางบนที่วางแขนข้างเขา และอีกข้างวางบนตักพลางเคาะหัวเข่าของเขาเบาๆ ด้วยปลายนิ้วเรียว
ส่วนองค์หญิงซิ่นหยางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดไม่จา
เซวียนผิงโหวทำหน้าเย้ยหยันพลางหัวเราะ “ฉินเฟิงหว่าน จะเล่าเอง หรือจะให้ข้าถามทีละประโยค”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถาม “เจ้าจะให้ข้าเล่าอะไร”
เซวียนผิงโหวตอบ “เรื่องทั้งหมด”
องค์หญิงซิ่นหยางเงยหน้ามองเขา “สู้ท่านพูดเรื่องเจ้าม้าพยศเมื่อครู่ดีกว่า”
เซวียนผิงโหวตถาม “ทำไมรึ เจ้าสงสัยหรือว่าเป็นฝีมือข้า ข้าไม่ใช่คนน่าเบื่อแบบนั้นสักหน่อย”
องค์หญิงไม่เอ่ยอะไร
เซวียนผิงโหวหรี่ตามองนาง “เดี๋ยวก่อนนะ เจ้ากำลังสงสัยสินะว่า ใครกันที่ลอบทำร้ายท่านหรือไม่ก็เซียวเหิง”
องค์หญิงถอนหายใจยาว ก่อนจะเงยหน้ามองเขา “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามทุกอย่างให้ท่าน สู้เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อนดีกว่า ว่าบ่าวสตรีจากแคว้นเยียนแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่”
ตัดภาพมาที่หลงอีที่พาเซียวเหิงมาส่งที่ตรอกปี้สุ่ย ก่อนหลงอีออกไปก็เจอกับจิ้งคง และทำท่าต่อยมวยแบบลูกผู้ชายด้วยกันหนึ่งที
“ลิ่วหลัง!”
“ท่านป้าเหอ มีเรื่องอันใดหรือ” ขณะเซียวเหิงกำลังจะเข้าไปในเรือ ก็ได้ยินคนเรียกชื่อเขาจากด้านหลัง เขาหันกลับมาและพูดอย่างสุภาพ
ท่านป้าเหอยิ้มให้เขาแล้วยื่นขวดโหลให้ “ผักนี่ข้าดองเอง รับไว้สิ”
“ไม่เป็นไรขอรับ ครั้งก่อนยังทานไม่หมดเลย” เซียวเหิงปฏิเสธ
ท่านป้าเหอยัดขวดโหลไว้ในอ้อมแขน โดยไม่เหลือช่องว่างให้เขาปฏิเสธ “รับไปเถอะ! ครอบครัวเจ้ามีคนมากมาย แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กินหมด! แค่ผักดองธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่ใช่ของมีค่าอะไร!”
เซียวเหิงไม่ใช่คนที่ปฏิเสธเก่งนัก จึงรับมาอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ”
ทันทีที่ท่านป้าเหอเดินออกไป ตาเฒ่าจ้าวข้างบ้านก็เดินมาหาเขา และมอบตะกร้าไข่ให้เขา ทั้งยังเล่าว่าคราวก่อนกู้เจียวเคยทำไข่เค็มแจกเพื่อนบ้าน เขาไม่มีอะไรจะตอบแทนคืน เลยมอบไข่ไก่ซึ่งเป็นไก่ที่เขาเลี้ยงเองมาให้
ใช่แล้ว หลังจากหนึ่งปีกับการที่เจ้าตัวเล็กพาไก่ออกมาเดิน ส่งผลให้เพื่อนบ้านเริ่มเลี้ยงสัตว์ปีกในครัวเรือนกันมากขึ้น
“ลิ่วหลัง”
เสียงเรียกของแม่นางเหยาดังขึ้น
“มาแล้วขอรับ!”
เขาแบกโหลผักดองและตะกร้าไข่เข้าไปในเรือน
ไม่มีใครเรียกเขาว่าเซียวเหิง และเขาเองก็มองว่าเป็นความคิดที่ดี เขาจะเป็นทั้งเซียวเหิง และเซียวลิ่วหลังในคราวเดียวกัน
ในเมื่อลิ่วหลังไม่เคยได้ใช้ชีวิต เขาจะใช้ชีวิตแทนให้
ลิ่วหลังไม่เคยออกไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ เขาจะเป็นตาให้
แม่นางเหยาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขา เพราะเห็นว่าเสื้อของเขาที่มีอยู่เริ่มคับ แม่นางเหยาเลยจัดการให้
หลังจากที่เขาลองสวม ก็พบว่าใส่ได้พอดี
เขาเอ่ยขอบคุณแม่นางเหยา และเล่าเรื่องที่เพื่อนบ้านเอาของมาให้
“ไอ้หยา เกรงใจกันเกินไปแล้ว” แม่นางเหยาหัวเราะ ก่อนจะวานให้อวี้หย่าร์เอาข้าวของไปเก็บ
พอเซียวเหิงกลับไปที่ห้อง วันนี้เจ้าตัวเล็กเลิกเรียนเร็ว และเขาเห็นสภาพของเจ้าตัวเล็กที่กำลังมุดตัวรื้อของในกล่องสมบัติของเขาอย่างกระจัดกระจาย
น่าปวดหัวชะมัด
เขาเพิ่งเก็บห้องไปเองนะ
เซียวเหิงเดินเข้าไปแหย่ก้นเจ้าตัวเล็กด้วยไม้เท้า “ทำอะไรน่ะ”
จิ้งคงวางมือลง ก่อนจะยกหัวเล็กๆ ของเขาออกจากกล่อง หันย้อนไปทางข้างหลังพร้อมกับสีหน้าผิดหวัง “ว่าแล้วว่าต้องเป็นพี่เขยตัวแสบ!”
เจียวเจียวไม่มีทางมาจิ้มก้นเขาแบบนี้หรอก!
“รกอีกแล้วนะ”
“ข้ากำลังหาของอยู่! ใกล้ถึงวันเกิดเจียวเจียวแล้ว ข้าต้องการจะทำให้เจียวเจียวตกตะลึง!”
วันเกิดของกู้เจียว คือเดือนหน้า ดังนั้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่สิบวัน
พอเห็นเจ้าตัวเล็กเหงื่อออก เซียวเหิงก็ริเริ่มความคิดอันเจ้าเล่ห์ด้วยการเอ่ยหยอก “ช่างบังเอิญจริงๆ ข้าเองก็อยากให้เจียวเจียวประหลาดใจเหมือนกัน”
จิ้งคงตบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “ยังไงข้าก็เล่นใหญ่กว่าเจ้าอยู่แล้ว!”
“ไม่เสมอไปหรอก” เซียวเหิงเลิกคิ้ว
“เจียวเจียวชอบข้าที่สุด!” จิ้งคงยืนเท้าเอว
เซียวเหิงยกมุมปากขึ้น พลางเอ่ย “แต่นางต้องประทับใจของขวัญของข้ามากที่สุดแน่นอน”
จิ้งคงถึงกับเบิกตาโต “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจะทำอะไรให้นาง!”
เจ้าตัวเล็กเริ่มรู้สึกงุ่นง่าน
เหมือนที่องค์หญิงพูดไว้ไม่ผิด จิ้งคงคล้ายกับเซียวเหิงตอนเด็กมาก ตัวอย่างเช่น ความอยากเอาชนะ
เซียวเหิงย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้าตัวเล็ก และเลียนแบบท่าทางเขาพลางส่ายหัวอย่างมีชัย “ไม่บอก หึหึหึ”
น่าโมโหชะมัด!
จิ้งคงเริ่มกำหมัด
จะแพ้ให้พี่เขยตัวแสบไม่ได้เด็ดขาด!
เขาต้องเป็นคนทำให้กู้เจียวประหลาดใจได้มากที่สุด!
คัมภีร์ว่าไว้ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขาต้องรู้ให้ได้ว่าพี่เขยตัวแสบเตรียมอะไรไว้ ถึงจะสามารถเอาชนะได้!
พี่เขยตัวแสบเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนนะ
เขาต้องหามันให้เจอ!
…
บนรถม้า องค์หญิงซิ่นหยางเล่าเรื่องทั้งหมดให้เซวียนผิงโหวฟังเรียบร้อย
สีหน้าของเซวียนผิงโหวเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ใช่คนที่โกรธง่าย แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถระงับมันได้อยู่จริงๆ
เขาพยายามสงบอารมณ์ และเขาไม่ใช่คนที่แสดงอาการโมโหต่อหน้าสตรี “ฉินเฟิงหว่าน นี่เจ้าคิดใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นคนไร้น้ำยา แค่ปกป้องลูกยังทำไม่ได้ ข้ายังไม่เคยปะทะกับพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าสู้เขาไม่ไหว”
“ดูสิ ดูสิ กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ เจ้าไม่เคยเจอพวกเขาด้วยซ้ำ ต่อให้ข้าอธิบายให้ฟังเท่าไหร่เจ้าก็เอาแต่มองว่าข้าพูดเกินเหตุ เอาเถอะ เจ้าก็คิดเสียว่าข้าเกลียดอาเหิง ไม่อยากเห็นหน้าเขา ก็เลยจงใจไล่เขาออกไป!”
เซวียนผิงโหว “จะให้ข้าคิดอะไร ใช่ก็คือใช่! ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่! คนมีการศึกษาอย่างพวกท่านนี่ชอบพูดจาวกไปวนมา ประโยคนึงหมายความได้เจ็ดแปดอย่าง ข้าละฟังไม่ออก”
องค์หญิงซิ่นหยางเบือนหน้าหนี “ฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไร แต่สตรีคนนั้นท่านเป็นคนลากมาเอี่ยวด้วยเอง ท่านคือคนที่ทำให้อาเหิงต้องลำบาก และทำให้ลูกของข้าถึงแก่ความตาย”
“ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของเซียวเหิง แต่เรื่องการตายของลูกชายเจ้า…” เซียนผิงโหวเงียบเสียงลง ราวกับตระหนักได้ว่าเขาพูดอะไรผิดไป และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่อ “ลูกชายของเจ้ากับข้า ข้าไม่ได้เป็นต้นเหตุ ข้าเกรงว่าเจ้าจะมาคิดบัญชีเรื่องนี้กับข้าไม่ได้”