สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 475 ความลับของนาง
บทที่ 475 ความลับของนาง
เซวียนผิงโหวออกมาจากวังหลวง ก่อนจะพบรถม้าคุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ นั้นอย่างเหนือคาด
เป็นรถม้าขององค์หญิงซิ่นหยาง
เขาขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าวังหรืออย่างไร หากไม่ได้มาหาเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องหาเรื่องให้ลำบากใจ
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ม่านรถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางก็ถูกเลิกขึ้นจากด้านใน
อวี้จิ่นค้อมกายลงจากรถม้า เดินมาหาเซวียนผิงโหว
“ท่านโหว” อวี้จิ่นคำนับให้อย่างเคารพ “องค์หญิงอยากพบท่านเจ้าค่ะ”
แปลกจริง
แต่งงานกันมานานหลายปีเพียงนี้ องค์หญิงซิ่นหยางมาหาเขานับครั้งได้
โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ได้ไปหานาง ตั้งแต่ที่นางร้องขอเล็กๆ น้อยๆ ในคืนวันแต่งงาน เขาก็รักษาความสัมพันธ์กับนางไว้เพียงผิวเผินเท่านั้น
เซวียนผิงโหวครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ขึ้นรถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางไปอยู่ดี
รถม้าของเซวียนผิงโหวก็เป็นรถม้าที่หรูหรามากเช่นกัน ทว่ารายละเอียดไม่ได้พิถีพิถันเท่ารถม้าขององค์หญิงซิ่นหยาง รถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นรถม้าของสตรี ทั้งหอมกรุ่นและประณีตเป็นพิเศษ
หากเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน เกรงว่าเซวียนผิงโหวคงหาที่พักไม่ได้
ยามนี้เขาไม่ใช่ชายชาตรีหยาบกระด้างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาก็พิถีพิถันเช่นกัน สง่างามและสุขุม มีกิริยามารยาทเรียบร้อย อืม…อย่างน้อยก็ภายนอกน่ะนะ…
เซวียนผิงโหวนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างกายองค์หญิงซิ่นหยาง ก่อนเหลือบตามองนางพลางเอ่ย“มีธุระอะไรรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางอ้าปากพะงาบๆ สีหน้าลังเล
เซวียนผิงโหวไม่ได้เร่งนาง เขาเอื้อมไปหยิบส้มมาเล่นในมือไปพลาง
ผ่านไปครู่ใหญ่องค์หญิงซิ่นหยางจึงเอ่ยขึ้นในที่สุด “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใดว่าองครักษ์หลงอิ่งข้างกายข้ามีปัญหา”
เซวียนผิงโหวถาม “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อถามเรื่องนี้น่ะรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “เจ้าตอบข้ามา”
“หลังจากเกิดเรื่องกับเซียวชิ่งได้ไม่นาน” เซวียนผิงโหวบอกไปตามตรง
“สืบเจออะไรใช่หรือไม่” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
เซวียนผิงโหวส่ายหน้า “ไม่เจอ ตรงกันข้ามเลย สืบอะไรก็ไม่เจอสักอย่าง ดังนั้นจึงได้รู้สึกแปลกๆ องครักษ์หลงอิ่งของเจ้าอยู่ในที่ลับตลอด แต่…”
องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มขื่น “แต่เจ้ารู้ตั้งนานแล้ว”
“อืม” เซวียนผิงโหวไม่ได้ปฏิเสธ
ตั้งแต่องค์หญิงซิ่นหยางแต่งเข้าจวนวันแรก เขาก็สังเกตเห็นกลิ่นอายผิดปกติบางอย่างในที่ลับ
เขาเคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคล้ายๆ กันนี้บนร่างองครักษ์หลงอิ่งที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เขาจึงเดาว่าข้างกายนางก็คงเป็นองครักษ์หลงอิ่งเช่นกัน
ทว่าตัวตนของพวกเขาได้รับการยืนยันจริงๆ ก็ในคืนที่เกิดเรื่องขึ้นกับเซียวชิ่ง
เมื่อเขาพบว่าลูกชายสองคนโดนวางยาพิษ ก็รีบไปหายาถอนพิษให้ ตอนนั้นฮ่องเต้มียาถอนพิษของแคว้นเยี่ยนอยู่เม็ดหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถแก้ได้สารพัดพิษ
น่าเสียดายที่มีเพียงเม็ดเดียว
มารดาของเซียวเหิงจับตัวเซียวชิ่งไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพื่อให้เซียวเหิงได้ยาถอนพิษมา
แต่ตอนที่นางจับเซียวชิ่งนั้น เกือบจะเข้าผิดห้องไปในห้ององค์หญิงซิ่นหยาง ตอนนั้นจึงมีองครักษ์หลงอิ่งคนหนึ่งปรากฏตัวมาประมือกับนาง
“เมื่อตอนนั้นเจ้า…” เสียงองค์หญิงซิ่นหยางขัดความคิดเซวียนผิงโหวขึ้นมา แต่ก็คล้ายว่านางลังเลไม่น้อย
เซวียนผิงโหวโยนส้มในมือเล่นก่อนจะเอ่ย “อยากถามก็ถามมาสิ เจ้าไม่ต้องคิดว่าข้าจะอยากตอบหรือไม่ หากไม่อยากตอบจะบอกเจ้าเอง”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “หลังจากที่เจ้าแน่ใจว่าองครักษ์หลงอิ่งเป็นฆาตกรที่ฆ่าเซียวชิ่งแล้ว เจ้าเคยคิดจะแก้แค้นหรือไม่”
เซวียนผิงโหวแสยะยิ้มมุมปาก “หากข้าบอกว่าไม่ เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางเม้มปาก “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่แก้แค้นเล่า”
เซวียนผิงโหวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “อันดับแรก พวกเขาเป็นเพียงเพชฌฆาต คนที่ออกคำสั่งที่แท้จริงคือฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
คนที่สามารถออกคำสั่งองครักษ์หลงอิ่งมีเพียงสองคนคือ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับองค์หญิงซิ่นหยาง ไม่มีทางที่องค์หญิงซิ่นหยางจะออกคำสั่งให้สังหารลูกชายแท้ๆ ของตัวเองแน่นอน
หากต้องการจะได้ข้อสรุปนี้มาไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือการยอมรับข้อสรุปนี้ต่างหาก
เซวียนผิงโหวแค่นเสียงเอ่ย “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา หากข้าจะแก้แค้น ก็ต้องไปหาฮ่องเต้พระองค์ก่อน เหตุใดต้องมาทำให้พวกเพชฌฆาตที่ฟังคำสั่งเล่านี้ลำบากใจด้วย ระบายความแค้นกับพวกคนรับใช้เหล่านี้น่ะ เป็นสิ่งที่คนขี้ขลาดชอบทำ”
น้ำเสียงอวดดีเช่นนี้ แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นเซวียนผิงโหว
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “เพราะเหตุผลนี้น่ะรึ”
เซวียนผิงโหวมองนางอย่างแปลกใจ ก่อนหยักยกมุมปาก “เจ้ากำลังหวังอะไรอยู่ ฉินเฟิงหว่าน หวังให้ข้าบอกเจ้าว่าเป็นเพราะเจ้ายังต้องการพวกเขาอยู่ ข้าจึงฝืนกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้แล้วชีวิตพวกเขาอย่างนั้นรึ ฉินเฟิงหว่าน ข้าไม่ได้รักลึกซึ้งอะไรต่อเจ้าเพียงนั้นหรอก”
“ไม่ใช่ก็ดี” องค์หญิงซิ่นหยางถอนหายใจเบาๆ
เซวียนผิงโหวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองนาง เขาหรี่ตาลง จู่ๆ ก็โน้มตัวไปหา เท้ามือไว้ข้างตัวนาง ราวกับกักขังนางไว้กับผนังรถ “ฉินเฟิงหว่าน ดูเหมือนเจ้าจะผิดหวังไม่น้อยนะ”
องค์หญิงซิ่นหยางผินหน้าหนี “ข้าเปล่า”
เซวียนผิงโหวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยอย่างเลือดเย็นและเยาะเย้ยเล็กน้อย “ผิดหวังไปก็สายไปเสียแล้ว ตอนนั้นเจ้าเป็นคนปฏิเสธข้าเอง ยามนี้ต่อให้เจ้ายอมพลีกายอ้อนวอนข้า ข้าก็ไม่มีทางหวั่นไหวกับเจ้าอีกแล้ว”
เขาเอ่ยจบก็นั่งกลับไปที่เดิมอย่างเย็นชา
“เช่นนั้น เจ้าเคยหวั่นไหวกับข้าบ้างหรือไม่” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
เซวียนผิงโหวรอยยิ้มชะงักค้าง
“ไม่เคย” เขาบอก
“ไม่เคยก็ดี” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “อย่าชอบข้าเลย ข้า…ไม่มีทางชอบเจ้าได้หรอก”
เซวียนผิงโหวสีหน้าเย็นเยียบ “ฉินเฟิงหว่าน ข้ามันแย่เพียงนั้นเชียวรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางหลุบตาลง มือในแขนเสื้อกว้างกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “ไม่ใช่เจ้าแย่หรอก เป็นข้าเอง”
ข้าไม่อาจรักบุรุษคนใดได้
เซวียนผิงโหวลงจากรถม้าด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
จนกระทั่งเขาเดินมาไกลแล้ว อวี้จิ่นจึงได้ขึ้นไปนั่งบนรถม้า
สำหรับองค์หญิงซิ่นหยางแล้วการอยู่ตามลำพังกับบุรุษในพื้นที่แคบๆ เช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากยิ่ง ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นสามีที่นางแต่งงานด้วยหลายปีแล้วก็ตาม
นางเก็บสีหน้าได้เก่งนัก ทว่าผ้าเช็ดหน้าในมือนางกลับถูกนางจิกจนแทบพรุน
“องค์หญิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ” อวี้จิ่นถามด้วยความเป็นห่วง
องค์หญิงซิ่นหยางแต่งหน้าหนาเตอะ เพื่อปกปิดสีหน้าซีดเผือดของนางเอาไว้ มิฉะนั้นนางคงได้เผยความลับออกมาแน่
“ข้าไม่เป็นไร” นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
ปากนางบอกไม่เป็นไร แต่ร่างกายนางกลับเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย
อวี้จิ่นรู้มาโดยตลอดว่าองค์หญิงมีโรคที่ไม่อาจบอกได้อยู่ นางไม่อาจพบปะสนิทสนมกับบุรุษได้อย่างปกติ โดยเฉพาะในที่คับแคบมากๆ หากร้ายแรงสุดๆ นางจะหายใจไม่ออกได้เลย
ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้ เหตุผลหลักๆ ก็คือนางเป็นองค์หญิง นางฐานันดรสูงส่ง นางไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ คนอื่นจึงเข้าใกล้ไม่ได้
อีกอย่าง นางก็เสแสร้งเก่งว่า หากไม่ใช่อวี้จิ่นเห็นกับตาตัวเองว่านางสลบไปในรถม้า เกรงว่าก็คงไม่รู้ความลับของนางเช่นกัน
หลายปีมานี้ นอกจากท่านโหวน้อยแล้ว มีเพียงหลงอีที่ได้รับอนุญาตเข้าใกล้ข้างกายนางได้ แม้แต่องครักษ์หลงอิ่งที่เหลืออีกสี่คนก็ยังไม่ได้เข้าใกล้นางเลย
อันที่จริงผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว อาการขององค์หญิงดีขึ้นมากแล้ว คราก่อนที่นั่งรถม้ากับเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
ครานี้…
หรือว่าเซวียนผิงโหวลงมืออะไรกับองค์หญิง
ณ ตรอกปี้สุ่ย ข่าวดีที่แม่นางเหยาได้ลูกชายแพร่ไปทั่วทั้งตรอกอย่างรวดเร็ว ทุกคนพากันมาแสดงความยินดีด้วย กู้เหยี่ยนกับเสี่ยวจิ้งคงถือตะกร้าไข่สีแดงคนละใบแจกจ่ายให้ทีละบ้าน
ท่านโหวกู้นอนไม่หลับทั้งคืน จากนั้นก็ไปดูลูกชายตลอดช่วงเช้า ยามนี้จึงเหนื่อยไม่ไหวแล้ว เขาฟุบลงนอนข้างกายแม่นางเหยาทันที
แม่นางเหยาป้อนนมให้ลูกแล้ว ก็ฝืนความอ่อนเพลียของร่างกายไม่ไหวเช่นกัน จึงหลับไป
อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีกำลังวังชาเหมือนตอนสาวๆ แล้ว
กู้จิ่นอวี๋มาที่ตรอกปี้สุ่ยในเวลานั้นเอง
เมื่อคืนนางถูกกู้เจียวไล่ออกไป ไม่อาจเข้ามาในเรือนได้อีก นางจึงกลับจวนโหวไปก่อน
นางได้ยินข่าวที่หวงจงส่งมาตั้งแต่เช้าตรู่ ว่าแม่นางเหยามีน้องชายให้นางคนหนึ่ง นางจึงต้มน้ำแกงเองให้แม่นางเหยาบำรุงร่างกาย
นางหิ้วน้ำแกงบำรุงเข้ามาด้านใน
“ท่านแม่ ข้ามาเยี่ยมแล้ว”
แม่นมฝางกำลังอาบน้ำให้เด็กน้อยอยู่ เมื่อได้ยินเข้าจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะทำมือให้เงียบเสียง แล้วกระซิบ “ฮูหยินพักอยู่เจ้าค่ะ”
“อ่า” กู้จิ่นอวี๋รีบปิดปาก สีหน้ารู้สึกผิด
ข้างเตียงแม่นางเหยามีฉากบังลมกั้นไว้ กู้จิ่นอวี๋เยี่ยมหน้าไปมองด้านหลังฉากบังลม แม่นางเหยาหลับสนิทมาก ท่านโหวกู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่อนบนฟุบอยู่กับขอบเตียง กรนคร่อกๆ หลับอยู่เช่นกัน
นางรีบดึงสายตากลับมา วางกล่องอาหารในมือไว้บนโต๊ะ แล้วเดินมานั่งยองๆ ข้างกะละมังอย่างสนใจใคร่รู้ มองเด็กน้อยที่ถูกแม่นมฝางจับยกไปมา พลางเอ่ย “เขาตัวเล็กมากเลย”
แม่นมฝางเอ่ย “ไม่เล็กแล้วนะ อ้วนๆ ขาวๆ ด้วย”
พูดจาใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
คุณชายน้อยตัวเล็กที่ไหนกัน
ตัวอวบอ้วนขนาดนี้แท้ๆ!
แม่นมฝางอาบน้ำให้คุณชายน้อยเสร็จ ก็ใช้ผ้าเช็ดตัวนุ่มนิ่มเช็ดให้แห้ง สวมเสื้อผ้าตัวกระจิริดให้ แล้วห่อไว้ในผ้าอ้อม ระหว่างนั้นไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายสักแอะ
น่าเอ็นดูนัก
กู้จิ่นอวี๋เบิกโตตาถาม “แม่นม ข้าอุ้มน้องได้หรือไม่”
“ท่านอุ้มเป็นหรือไม่” แม่นมฝางถาม
กู้จิ่นอวี๋พยักหน้า “ข้าอุ้มเป็น ข้าเคยอุ้มน้องสาวตระกูลหลิงตัวน้อยมาหลายครั้งแล้ว”
แม่นมฝางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนส่งเด็กน้อยไปในอ้อมอกนางอย่างระมัดระวัง
กู้จิ่นอวี๋รับเด็กมาแผ่วเบา ยิ้มจางๆ มองเด็กน้อยในห่อผ้าอ้อม
ในขณะนั้นเอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เด็กน้อยที่แม้แต่อาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ไม่ร้องสักแอะ จู่ๆ ก็แผดเสียงร้องแงๆ ออกมา!