สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 497 ป้องกันเมือง!
บทที่ 497 ป้องกันเมือง!
ข่าวคราวของกองทัพแคว้นเฉินจะรุกรานเมืองเย่ว์กู่แพร่สะพัดออกไปนานแล้ว แต่ละครัวเรือนปิดประตูหน้าต่างมิดชิด กู้เฉิงเฟิงยืนอยู่บนหอประตูเมือง เดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนรน
ในที่สุดเขาก็เห็นกองทัพขนาดใหญ่เคลื่อนมาทางเมืองเย่ว์กู่ ทว่าในบรรดาพวกเขากลับไม่เห็นถังเย่ว์ซานและกู้เจียว
“ยังมีอีกขอรับ” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
กู้เฉิงเฟิงให้พวกเขารีบเข้ามาในเมือง
ในบรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่เห็นเงาของกู้เจียวแม้แต่น้อย หว่างคิ้วของกู้เฉิงเฟิงค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้น
รู้จักกับกู้เจียวมานานเพียงนี้ เขาจะเดาไม่ออกหรือไรว่ากู้เจียวกำลังทำอะไรอยู่
จากระเบียบปฏิบัตินั้น หากได้รับบาดเจ็บใดๆ ล้วนพากลับมารักษาที่เมือง แต่หากตายระหว่างทางหรือเป็นผู้พิการที่เสียชีวิตไปก็ช่วยไม่ได้ แต่กู้เจียวไม่มีทางทำอย่างนั้น
“เด็กคนนี้นี่…”
กู้เฉิงเฟิงกำหมัดแน่น ยามนี้เริ่มเสียใจที่ให้นางไปรับถังเย่ว์ซานขึ้นมาเสียแล้ว หากให้นางรั้งอยู่ที่นี่ก็คงจะดี
ไม่สิ หากนางรั้งอยู่ ทหารที่บาดเจ็บล้มตายก็จะมีมาก…
ในขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังร้อนอกร้อนใจนั้นเอง ทหารที่อยู่ข้างๆ ก็โพล่งขึ้น “ใต้เท้า! ดูสิ!”
กู้เฉิงเฟิงเหลือบตาขึ้นมอง
กู้เจียวกลับมาแล้ว!
นางขี่ม้าพันธุ์ดีและรวดเร็วที่สุด ถือหอกที่ยาวและหนักที่สุด ไล่เข่นฆ่ามาตลอดทาง!
คนที่กลับมาด้วยกันกับนางยังมีถังเย่ว์ซานและบรรดาทหารของเขาด้วย
ด้านหลังไม่ไกลพวกเขาเป็นทหารม้าเหล็กของแคว้นเฉินที่กำลังไล่ตามมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
กองทัพแคว้นเฉินรู้ตัวแล้วว่าพวกเขาถูกหลอก กำลังเสริมของราชสำนักยังมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดเป็นแค่ทหารไม่กี่คนที่เล่นลูกไม้หลอกลวง ปล่อยข่าวเท็จเท่านั้น
เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี ทหารม้าเหล็กแคว้นเฉินสี่พันกว่านายจึงเริ่มไล่ฆ่าพวกกู้เจียวกับถังเย่ว์ซานด้วยมาดย้ำธาราถล่มขุนเขา
บนกำแพงเมืองนั้น ผู้ว่าเฉิงเห็นภาพน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนี้ก็ตกใจจนขาอ่อนยวบ ร่างโงนเงนจนเกือบชนกับกำแพงเมือง
เขาเอ่ยอย่างตกใจหน้าถอดสี “ไอ้หยา! กองทัพแคว้นเฉินมาแล้ว! รีบปิดประตูเมือง! ปิดประตูเมือง!”
“ห้ามปิดเด็ดขาด!” กู้เฉิงเฟิงตวาดกร้าว!
ผู้ว่าเฉิงพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด “ใต้เท้า! หากไม่ปิดจะไม่ทันการณ์นะขอรับ! ท่านไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงประชาชนในเมืองด้วย! ข้ารู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่ถังกับใต้เท้าอีกท่านอยู่ข้างนอก แต่เพื่อพวกเขาสิบกว่าชีวิตต้องแลกกับชีวิตชาวเมืองทั้งหมด…”
คำพูดส่วนท้ายเขาไม่ค่อยกล้าพูดต่อเท่าใดนัก
ไม่ว่าถ้อยคำดังกล่าวของเขาจะคิดแทนชาวเมืองจริงๆ หรือตัวเขากลัวตายเอง ก็มีจุดหนึ่งที่กู้เฉิงเฟิงต้องยอมรับ นั่นก็คือเมื่อทหารม้าแคว้นเฉินเข้ามา ประตูเมืองก็จะปิดไม่ได้อีกต่อไป
กองทัพแคว้นเฉินจะพุ่งตรงเข้ามาเป็นสาย ชาวเมืองจะเจอกับหายนะสงครามและความลำบากยากแค้น
แต่กู้เจียวยังอยู่ข้างล่างนั่น!
“ใต้เท้า!” ผู้ว่าเฉิงสะอึกสะอื้นมองกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงกำหมัดแน่น ตัวเขาสั่นเล็กน้อย “ระ…รออีกหน่อย”
หกร้อยก้าว ห้าร้อยก้าว สี่ร้อยก้าว…
ผู้ว่าเฉิงร้อนใจดั่งไฟเผา “ใต้เท้า! รอต่อไปไม่ได้แล้ว! ประตูเมืองไม่ใช่ว่าจะปิดลงได้ทันทีนะ!”
ประตูเมืองทั้งหนาทั้งหนัก ล้วนใส่เครื่องกว้านเอาไว้ ต้องใช้องครักษ์หลายสิบนายดึงโซ่พร้อมกันจึงจะค่อยๆ ทำให้มันปิดสนิทได้
หนึ่งร้อยก้าวแล้ว
กู้เฉิงเฟิงกัดฟัน “…ปิดประตูเมือง!”
ผู้ว่าเฉิงรีบบอกองครักษ์ข้างกายทันที “เร็วเข้า! รีบประกาศปิดประตูเมือง!”
องครักษ์รักษาการณ์หลายสิบนายดึงโซ่เหล็กของเครื่องกว้าน เครื่องกว้านค่อยๆ ขยับ ประตูเมืองเริ่มงับปิด สะพานพาดคูเมืองนอกประตูเมืองก็เริ่มเคลื่อนขึ้นเช่นกัน
กู้เจียวขี่ม้านำหน้า ม้านางเป็นม้าดี สามารถควบขี่ได้สบายๆ ทว่านางกลับรีบยั้งหยุดอยู่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว!
นางดึงบังเหียนแน่น หันกลับมาเอ่ย “ทหารบาดเจ็บเข้าไปก่อน!”
ทหารบาดเจ็บสองนายที่ขี่ม้าเหยียบบนสพานที่ถูกดึงสูงขึ้นหนึ่งฉื่อ
จากนั้นนางก็ให้หูตงเฉียงกับพวกมือธนูขึ้นสะพานไปตามลำดับ
เมื่อถึงตามือธนูคนสุดท้าย ทหารม้าเกราะเหล็กแคว้นเฉินก็เริ่มการโจมตี ลูกธนูยิงมามืดฟ้ามัวดิน ม้าของมือธนูถูกยิงเข้า ทั้งคนทั้งม้าจึงล้มลงกับพื้นทันที
กู้เจียวควบม้าไปหา เอี้ยวตัวไปคว้ามือธนูขึ้นมาโยนไปบนสะพาน
ขณะนี้สะพานขึ้นมาครึ่งทางแล้ว ม้ากระโดดข้ามไม่ถึงแล้ว
“หยุด! หยุดก่อน!” กู้เฉิงเฟิงตะโกนลั่น
“หยุดไม่ได้แล้ว!” ผู้ว่าเฉิงบอก
พอถึงตอนท้ายๆ สะพานกลเคลื่อนไวมาก สะพานใกล้จะปิดสนิทแล้ว แต่กู้เจียวกับถังเย่ว์ซานยังอยู่ข้างนอกอยู่เลย
ถังเย่ว์ซานหลบลูกธนูของทหารม้าแคว้นเฉินพลางคว้ากู้เจียว แล้วโยนนางขึ้นไปบนสะพานอย่างแรง!
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟตอนตีหินเท่านั้น เมื่อกู้เจียวตกลงบนสะพานกล สะพานกลด้านหลังก็งับขึ้นดังปังแล้ว!
ประตูเมืองเหลือช่องว่างสุดท้ายเล็กๆ เท่านั้น
กู้เจียวรีบกลิ้งเข้าไปในประตูเมืองอย่างว่องไว
จากนั้นประตูเมืองก็ปิดสนิทลง
ถังเย่ว์ซานขี่หลังม้าพันธุ์ดี มือถือกระบี่ เห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิทอดมองทหารม้าแคว้นเฉินสี่พันนายที่พุ่งมาหาเขา
ฝีมือธนูของทหารม้าแคว้นเฉินไม่ได้ดีเด่นอะไร แต่หากเป็นธนูนับหมื่นยิงมาพร้อมกัน ก็ต้องมีจำนวนหนึ่งที่ยิงโดนเขาได้
“ยิง!”
ลูกธนูมืดฟ้ามัวดินพุ่งยิงไปที่ถังเย่ว์ซานถี่ยิบ ถังเย่ว์ซานไม่มีโล่อะไรไว้กำบังเลย เขาใช้เพียงกระบี่ยาวในมือเล่มเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ถังเย่ว์ซานใกล้จะถูกยิงจนกลายเป็นกระด้งนั้น เงาร่างแข็งแกร่งก็ทะยานลงมา พร้อมกับฟาดแส้ไปม้วนเอวเขาไว้
“ขึ้นมา!”
ในขณะที่เสียงกู้เฉิงเฟิงดังขึ้นนั้น เหล่าทหารบนกำแพงเมืองก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจดึงเชือก เพื่อดึงทั้งสองคนให้ขึ้นมาด้วยกัน!
และแทบจะในขณะเดียวกันนั้นเอง ลูกธนูหลายร้อยดอกก็ยิงทะลุผ่านตำแหน่งที่เดิมทีถังเย่ว์ซานยืนอยู่ไปปักลงบนกำแพงเมืองแน่นขนัด!
……
ศึกครานี้ไม่ใช่ความเป็นความตายของคนคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นความปลอดภัยของชาวเมืองทั้งหมด เป็นความความโชคดีและโชคร้ายของแผ่นดินแคว้นเจา
ความเคียดแค้นของแคว้นมาก่อน ต่อให้มีความแค้นส่วนตัวก็ต้องเอาไว้ทีหลัง
กู้เฉิงเฟิงกับถังเย่ว์ซานลงจากกำแพงเมือง ก่อนจะถึงกระโจมทหารชั่วคราวก็เห็นกู้เจียวกำลังรักษาให้ทหารบาดเจ็บอยู่
กู้เจียวไม่รู้ว่าถังเย่ว์ซานถูกคนช่วยเข้ามาแล้ว
ในขณะที่นางเข้ามาในคูเมือง ประตูเมืองก็ปิดแล้ว
ถังเย่ว์ซานสละโอกาสมีชีวิตรอดของตัวเองเพื่อโยนนางเข้ามา นางเข้าใจในจุดนี้ดี แต่นางไม่มีทางไม่ดำดิ่งไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้
นางเข้าสู่อารมณ์พร้อมรบอย่างรวดเร็ว
ความสงบนิ่งของนางทำให้ถังเย่ว์ซานทึ่งอีกครา
หากไม่ได้มาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำมาก่อน เกรงว่าถังเย่ว์ซานคงได้นึกว่านางเป็นคนเลือดเย็นสุดแสนแน่แล้ว
ถังเย่ว์ซานกับกู้เฉิงเฟิงเห็นว่านางปลอดภัยจึงไม่ได้เข้าไปกวนนาง
ถังเย่ว์ซานเข้าควบคุมการป้องกันเมืองเย่ว์กู่ ทหารราบสองพันนายกับมือธนูห้าร้อยนายที่เขาพามาจากเมืองเยี่ย ผนวกกับกองทัพห้าพันนายในเมือง ทั้งหมดเจ็ดพันห้าร้อยนาย ทหารบาดเจ็บเกือบหกร้อยนาย
ทหารบาดเจ็บทั้งหมดร้องขอทำสงครามด้วย แต่ต้องผ่านการประเมินจากกู้เจียวก่อน นางคิดว่าสามารถทำสงคารมได้จึงจะสามารถกลับเข้าทัพไปสู้รบได้
อีกอย่าง ในกองทัพห้าพันนายของเมืองเย่ว์กู่มีเกือบครึ่งที่เกณฑ์มาจากชาวเมืองที่ร่างกายแข็งแรงเป็นการชั่วคราว จึงไม่ส่งคนเหล่านี้ไปตายในแนวหน้า
ถังเย่ว์ซานเลือกคนที่เป็นวรยุทธ์เข้าไปในค่ายด้านหลัง ส่วนคนที่ไม่เป็นวรยุทธ์ให้รั้งรักษาการณ์บนกำแพงเมือง หน้าที่หลักคือช่วยโจมตีด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ อย่างเช่นการโยนหิน เป็นต้น
อีกอย่างพวกอาวุธและเกราะก็มีไม่เพียงพอด้วย
ถังเย่ว์ซานให้ผู้ใต้บังคับบัญชารวบรวมช่างเหล็กในเมืองมา แล้วให้พวกเขาหลอมอาวุธตลอดคืน
“ช้าก่อน”
“ท่านจอมทัพถัง ท่านมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”
ถังเย่ว์ซานหยุดเว้น ก่อนจะเอ่ยกับรองแม่ทัพหลี่ “หลอมเกราะมาเพิ่มอีกตัว”
กองทัพเกือบสองหมื่นนายของแคว้นเฉินเข้าประชิดเมือง ดำทะมึนไปทั้งผืน ราวกับสัตว์ยักษ์ที่สามารถกลืนกินเมืองเย่ว์กู่ได้ทุกขณะ
ชาวเมืองปิดประตูหน้าต่างแน่นสนิท ทุกคนต่างรู้สึกตกอยู่ในอันตราย
อาหารแห้งของจวนผู้ว่าก็มีไม่มากแล้ว เนื่องจากไม่มีทหารเฝ้ารักษาการณ์ อาหารแห้งที่เดิมทีเพียงพอสำหรับองครักษ์สองพันกว่านาย ยามนี้มีปากท้องเพิ่มขึ้นมาห้าพันนาย คลังอาหารแห้งในจวนผู้ว่าพลันกลายเป็นอุปสรรคมากมายหลากหลายขึ้นมา
หน้าที่ของกู้เฉิงเฟิงคือไปซื้ออาหารแห้งและหญ้าจากชาวเมือง
ให้ไปกับอาจารย์หู
“ไปร้านข้าวและธัญพืชในเมืองก่อน” กู้เฉิงเฟิงบอก
อาจารย์หูพากู้เฉิงเฟิงไปร้านข้าวใกล้ๆ กำแพงเมือง
ประตูร้านปิดสนิทตั้งนานแล้ว ทว่าขุนนางมาหาถึงที่ เถ้าแก่จึงไม่กล้าปิดบ้านไม่รับแขก
“ร้านเจ้ายังมีข้าวอีกเท่าใด ขายให้ข้าทั้งหมดเลย” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยกับเถ้าแก่
เถ้าแก่มองกู้เฉิงเฟิงด้วยความสงสัยระคนตกใจ
“ไม่มีแล้วรึ” กู้เฉิงเฟิงถาม
“อ๊ะ…มะ…มีขอรับ!” เถ้าแก่ฝืนส่งข้าวสารในร้านให้ “ท่านขุนนาง นั่นคือทั้งหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้วขอรับ”
“ทั้งหมดเป็นเงินเท่าใดรึ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยพลางล้วงถุงเงินออกมา
เถ้าแก่นิ่งอึ้งไปอีกหน ครานี้เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป ขุนนางท่านนี้มาซื้อข้าวเขาจริงๆ ไม่ได้มา…เก็บรวบรวม
เถ้าแก่หยิบลูกคิดออกมา ดีดก๊อกแก๊กไปมาพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ทั้งหมดห้าร้อยตำลึงขอรับ”
กู้เฉิงเฟิงส่งเงินให้เขา
เถ้าแก่ประคองเงินในฝ่ามือพร้อมกับปากอ้าตาค้างไปพักหนึ่ง เนิ่นนานก็ยังตั้งสติไม่ได้
กู้เฉิงเฟิงซื้ออาหารแห้งเสร็จก็ออกมา พบว่าบนถนนใหญ่ไม่รู้มีศีรษะชะโงกเยี่ยมออกมาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด
แต่ละบ้านต่างแง้มประตูเป็นช่อง ชาวบ้านทั้งใคร่รู้ทั้งหวาดกลัวมองไปยังกู้เฉิงเฟิง
เจ้าเด็กน้อยที่อายุพอๆ กันกับเสี่ยวจิ้งคงวิ่งออกมา เหมือนลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ และเขาก็ไม่กลัวท่านขุนนางด้วย
เขามาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เฉิงเฟิง เงยหน้าน้อยๆ ขึ้น ก่อนถามด้วยเสียงแบบเด็กๆ “พวกเราจะตายกันหรือไม่ พวกท่านจะหนีหรือไม่”
มารดาเขาวิ่งออกมาแล้วรีบโอบเขาเข้าสู่อ้อมอก ปิดปากน้อยๆ ของเขาไว้
“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะด้วย! ใต้เท้าโปรดอภัยให้ด้วย!” สตรีออกเรือนคุกเข่าลงโขกศีรษะขอโทษให้กู้เฉิงเฟิง
“ไม่เป็นไร”
เสียงเย็นๆ ไม่รีบไม่ร้อนดังขึ้นไม่ไกลนั้น
เป็นกู้เจียวพาหูตงเฉียงมาหาสมุนไพรที่ร้านยา
นางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยและสตรีออกเรือน ก่อนชี้ถังเย่ว์ซานที่นับทหารอยู่หน้ากระโจมพลางเอ่ย “เห็นคนผู้นั้นหรือไม่ เขาเป็นท่านจอมทัพของทหารทั้งแผ่นดิน ทหารทั้งแคว้นเจาต่างเชื่อฟังคำสั่งเขา”
เด็กน้อยมองถังเย่ว์ซานที่รูปร่างกำยำล่ำสัน “ว้าว!”
กู้เจียวชี้ไปที่กู้เฉิงเฟิงต่อ “แล้วก็เขา เขาเป็นคุณชายรองของกองทัพตระกูลกู้ กองทัพตระกูลกู้เป็นกองทัพที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นเจา พวกเขากำลังอยู่ระหว่างทาง อีกไม่นานก้จะมาถึงแล้ว”
เด็กน้อยมองไปที่กู้เฉิงเฟิงที่มีรูปร่างสง่างามผ่าเผยดั่งต้นหยกเล่นลม “ว้าว!”
กู้เฉิงเฟิงถูกแววตาไร้เดียงสาและเลื่อมใสของเด็กน้อยมองจนเกิดอารมณ์ซับซ้อน จิตใจพลุ่งพล่านขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่า เขาสูดหายใจลึก คล้ายเอ่ยกับเจ้าเด็กน้อย และคล้ายกำลังเอ่ยกับประชาชนทั้งถนน “ถูกต้องแล้ว! พี่ใหญ่ข้าใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้า! เขานำกองทัพตระกูลกู้เรือนแสนมาด้วย! ทุกคนวางใจได้ เมืองเย่ว์กู่ต้องรอดปลอดภัย! ต่อให้พวกเราสู้รบจนเหลือคนสุดท้าย ก็ต้องปกป้องเมืองนี้ไว้ให้ได้!”