สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 526 พากันอ้อนเจียวเจียว (1)
บทที่ 526 พากันอ้อนเจียวเจียว (1)
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบห้าขวบของเสี่ยวจิ้งคง ถ้าหากเขามั่นใจว่าเกิดในวันปีใหม่น่ะนะ
เด็กอายุห้าขวบมีความมั่นใจมากขนาดนี้ก็นับว่ากล้าหาญมากแล้ว
“ไปรบจะเจ็บตัวนะ” กู้เจียวเอ่ย “เลือดไหลด้วยนะ เป็นแผลด้วยนะ”
เสี่ยวจิ้งคงหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้น…เจียวเจียวบาดเจ็บหรือไม่”
กู้เจียวพูดไม่ออก
ข้าตั้งใจจะขู่เจ้าต่างหาก อยากให้เจ้ากลัว แต่ทำไมเจ้าถึงมาสนใจที่ตัวข้าเสียอย่างนั้น
กู้เจียวอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
ความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสในชาติก่อน ก็ได้ลิ้มรสหลายต่อหลายครั้งในชีวิตนี้
กู้เจียวลูบศีรษะน้อยของเขา นางยิ้มพลางส่ายหน้าพร้อมแววตาจนใจ “ข้าไม่ได้บาดเจ็บ”
“ฟู่ว~”
เสี่ยวจิ้งคงพรูลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก ถอนหายใจเสร็จก็ทุบอกน้อยๆ ของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าไม่กลัวเจ็บ แล้วก็ไม่กลัวเป็นแผลหรือว่าเลือดไหลด้วย!”
กลัวว่าจะเสียเจียวเจียวมากกว่า
เขาก้มหน้า นิ้วสั้นป้อมเกี่ยวพันกันไปมา
เสี่ยวจิ้งคงเติบโตมาในวัดตั้งแต่เล็ก เจ้าอาวาส อาจารย์ และบรรดาศิษย์พี่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันก็ดีกับเขาเหลือเกิน ทว่ายังมีบางสิ่งที่วัดไม่อาจเติมเต็มได้
สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตเขาได้เจียวเจียวเป็นเติมเต็มให้ทีละเล็กละน้อย
กู้เจียวคงจินตนาการไม่ออกว่าตัวนางสำคัญต่อเขามากเพียงใด
กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก “จิ้งคงช่างกล้าหาญนัก”
เสี่ยวจิ้งคงถูกชมจนตัวลอย เชิดคางขึ้นพลางเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าคือหนุ่มน้อยที่กล้าหาญที่สุดในบ้าน”
กู้เหยี่ยนหลุดขำออกมา
เจ้าหนูนี่
เสี่ยวจิ้งออดอ้อนกู้เจียวอยู่พักใหญ่ ปลอบขวัญกู้เจียว ก่อนจะเดินไปฝึกลมปราณที่ท้ายลานบ้าน
พอไม่มีเจ้าโทรโข่งน้อย ภายในห้องก็เงียบสงัด กู้เหยี่ยนเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง
ภายในห้องยังเหลือชายหนุ่มอีกสามคน พลังของเสี่ยวจิ้งคงนั้นเทียบเท่าได้กับพวกเขา สามคนรวมกันยังสู้เขาไม่ได้เลย
บรรยากาศภายในห้องก็พลันเงียบสงบลง
กู้เจียวนั่งพิงหัวเตียง มองเด็กน้อยที่ในอ้อมแขนของกู้เหยี่ยน ก่อนจะเอ่ยด้วยความสงสัย “นี่คือ…น้องชายหรือ โตขนาดนี้แล้วรึ”
“กู้เสี่ยวเป่า เรียกท่านพี่สิ!” กู้เหยี่ยนก้มหน้าบอกกับกู้เสี่ยวเป่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ยินชื่อของตัวเองหรือเปล่า กู้เสี่ยวเป่าที่ดูดนิ้วอยู่ก็ชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองกู้เหยี่ยนแล้วเหลียวไปมองกู้เจียว
สำหรับกู้เสี่ยวเป่านั้นกู้เจียวคือคนแปลกหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่ากู้เสี่ยวเป่านั้นเป็นเด็กอารมณ์ดี ปกติเขาก็ไม่ร้องไห้งอแง เพื่อนบ้านผ่านมากอดมาอุ้ม ก็รับแขกเป็นอย่างดี
กู้เหยี่ยนยื่นกู้เสี่ยวเป่าให้กู้เจียวอุ้ม เด็กน้อยไม่ร้องไห้จริงๆ อย่างที่บอก แต่เพียงแค่เบิกตากลมโตมองไปทั่ว อ้าปากน้อยเปรอะน้ำลาย กะพริบตามองกู้เจียวปริบๆ
กู้เสี่ยวเป่าอ้วนจ้ำม่ำ เนื้อแก้มสองข้างนุ่มนิ่ม ราวกับตุ๊กตาน้อยตัวอ้วน
กู้เจียวมองเจ้าหนูที่สีหน้ามึนงง แล้วก็อดยิ้มไม่ได้
กู้เสี่ยวเป่าสามเดือนแล้ว แถมยังจำหน้าคนได้แล้วด้วย อย่างเช่น เขาชอบแม่นางเหยามากที่สุด รองลงมาคือแม่นม เพราะพวกนางทั้งสองมีนมให้กินนี่นา
ตอนไม่มีนมให้กิน กู้เสียวเป่าก็กินนิ้วตัวเอง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่เคยเจอกู้เจียวหรือเปล่า กู้เสียวเป่าจึงสีหน้ามึนงง งงถึงขั้นลืมว่าดูดนิ้วตัวเองอยู่
วินาทีต่อมา เขาก็ยื่นนิ้วนางที่เขาหวงแหนที่สุด หวงถึงขั้นแม้แต่กู้เหยี่ยนไม่ยอมให้จับ ก่อนจะแหย่นิ้วนั้นเข้าไปในปากกู้เจียว
ชายหนุ่มทั้งสามไม่รั้งตัวกู้เจียวไม่นาน เพราะเจ้าเณรน้อยที่กำลังฝึกลมปราณอยู่ท้ายลานบ้านจงใจร้องตะโกนออกมา “เจียวเจียวตื่นแล้วหรือ!”
เพราะเสียงนั้นแม่นางเหยา แม่นมฝาง อวี้หย่าร์และจี้จิ่วก็พากันวางงานในมือลงแล้วเดินเข้ามา
กู้เจียวสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินไปยังห้องโถง
แม่นางเหยาและจี้จิ่วอาวุโสนั่งลงริมโต๊ะ สายตาจ้องมองนาง แม่นมฝางและอวี้หย่าร์ตามติดแม่นางเหยาอยู่ข้างหลัง แม่นมฝางเช็ดน้ำตาไม่หยุด ฟูมฟายยิ่งกว่าแม่นางเหยา
“แม่นม คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วนะเจ้าคะ” อวี้หย่าร์กระซิบ
แม่นมฝางสะอื้นเอ่ย “ข้ารู้ ก็ข้าดีใจนี่ รอแล้วรอเล่า รอมาหลายวันหลายคืน ในที่สุดก็กลับมาเสียที ได้กลับมาฉลองปีใหม่กันแล้ว”
ตอนที่กู้เจียวยังนอนอยู่ในห้อง แม่นมฝางยังคงไม่ฟูมฟายมากนัก แต่พอนางเห็นแม่นางเหยาขอบตาแดงก่ำกุมมือกู้เจียว นางก็กลั้นไว้ไม่อยู่
แม่นางเหยาเองก็พยายามอดกลั้นสุดกำลัง ฝืนไม่ให้หยาดน้ำตาอุ่นร้อนไหลออกมา ลูบดวงแก้มของลูกสาวพลางเอ่ย “ผอมลงแล้ว”
ใบหน้าที่พบเจอกับความหนาวเย็นจนแดงก่ำ ไม่ได้ขาวเนียนเหมือนดั่งยามอยู่เมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าสามเดือนที่นางต้องลำบากลำบนมากเพียงใด
แม่นางเหยาปวดใจเหลือเกิน ถามไถ่เรื่องราวยามอยู่ที่ชายแดน กู้เจียวตอบเพียงแค่ว่าทุกอย่างราบรื่นดี สงครามจบลงแล้ว กอบกู้เมืองคืนมาได้แล้ว รักษาชายแดนของแคว้นเจาเอาไว้ได้ ช่วยชีวิตท่านเหล่าโหวและองค์หญิงหนิงอันได้ทัน
ทหารล้มตายไปเท่าใด ต้องเดิมพันไปมากมายเท่าไร ชาวเมืองนับไม่ถ้วนที่ต้องอพยพสิ้นเรือนอยู่อาศัย นางต้องเสี่ยงตายไม่รู้กี่ครั้ง เรื่องเหล่านั้นไม่ต้องพูดถึง
แม่นางเหยาเองก็รู้ว่าด้วยนิสัยของลูกสาวนั้นย่อมไม่เล่าเรื่องราวทุกข์ยากให้รับรู้ นางเองก็ไม่บังคับลูกสาว เพียงแค่ยิ้มแล้วปาดน้ำตา “ปีใหม่ทั้งที อย่าพูดเรื่องนี้เลย เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ท่านปู่กับพี่ชายของเจ้าทั้งสองต่างก็ปลอดภัยดีใช่หรือไม่”
กู้ฉังชิงรับราชโองการให้ขึ้นเหนือ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดี ส่วนกู้เฉิงเฟิงที่แอบหนีออกไป ก็ทำเอาท่านโหวกู้ถูกโบยไปหนึ่งยก ให้หลังท่านโหวกู้ถึงได้เฉลียวใจว่าเจ้าลูกคนนี้ขึ้นเหนือไปตามหาท่านเหล่าโหว
กู้เจียวพยักหน้า “พวกเขาปลอดภัยดี”
ทั้งสามคนต่างบาดเจ็บ แต่ก็ฟื้นตัวได้ไม่เลว
กู้เฉิงเฟิงนั้นทนถึก เป็นคนแรกที่หายดี
อาการของกู้ฉังชิงไม่ได้รายแรงนัก ยามนี้เหลือเพียงท่านเหล่าโหวเท่านั้นตั้งดูแลอย่างใกล้ชิดยามพักฟื้น หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงก็กลับนอนพักฟื้นกับถังเย่ว์ซาน
แม่นางเหยามองกู้เสี่ยวเป่าที่กู้เหยี่ยนหิ้วกลับมา จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับกู้เจียว “รอท่านปู่เจ้ากลับมา พวกเราค่อยไปเยี่ยมเขาที่จวน”
“อืม”
พี่น้องร่วมสาบาน ก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย!
แม่นางเหยากับลูกสาวมีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้น จนกระทั่งกู้เสี่ยวเป่าเริ่มหิว นางถึงได้อุ้มกู้เสี่ยวเป่าออกไปป้อนนม
จี้จิ่วอาวุโสเขาก็ถามไถ่เรื่องราวที่ชายแดน แต่เขาไม่ได้ตื่นตูมเหมือนคนในเรือน
เขาเคยถูกจวงจิ่นเซ่อกลั่นแกล้งจนต้องเร่ร่อนอยู่แถบชายแดนตั้งห้าปี ย่อมรู้ดีว่าที่นั่นลำบากเพียงใด
“เฮ้อ ลำบากเจ้านัก” จี้จิ่วทอดถอนใจ “เจ้าคงไม่รู้ว่าอาเหิงคิดถึงเจ้าเพียงใด สามวันก็เข้าวังไปแล้วสองวัน เหล่าขุนนางคิดว่าเขาอยากเลื่อนตำแหน่งจนตัวสั่น แต่ความจริงแล้วเขาไปเพื่อถามไถ่ข่าวคราวจากชายแดน”
เซียวเหิงที่เพิ่งออกจากห้องหนังสือ บังเอิญได้ยินคำพูดของจี้จิ่วอาวุโส และก็บังเอิญว่ากู้เจียวหันมาเห็นเขาพอดี เขาจะยอมรับก็ไม่อยาก จะปฏิเสธก็ไม่ดี
เขากระแอมให้โล่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าสนใจการทหารต่างหาก”
กู้เจียว “อ๋อ”
จี้จิ่วอาวุโสถามเรื่องกบฏจากราชวงศ์ก่อนต่อ “ยี่อ๋องกับราชบุตรเขยตายแล้วจริงหรือ”
กู้เจียวพยักหน้า
ราชบุตรเขยถูกกู้ฉังชิงฆ่าตาย ส่วนยี่อ๋องป่วยตาย
ยามนี้อิทธิพลของราชวงศ์ก่อนได้ถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้ว
จี้จิ่วอาวุโสถาม “แล้วแคว้นเฉินเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหยวนถังถึงหนีออกจากเมืองหลวง ทั้งยังยอมแพ้ให้กับทหารตระกูลกู้ กำลังพลของพวกเขาเหนือกว่าทหารตระกูลกู้นัก ไม่เห็นต้องยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้รบ มีแผนการอันใดแอบแฝงหรือเปล่า”
ก็ไม่แปลกที่จี้จิ่วอาวุโสจะสงสัยเช่นนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแคว้นเฉินล้วนแต่ชวนให้คิดไม่ดี อีกทั้งเซียวเหิงยังไม่ได้บอกกับจี้จิ่วอาวุโสว่าเขาเป็นคนปล่อยหยวนถังออกไปจากเมืองหลวง
ส่วนเรื่องมิตรภาพระหว่างหยวนถังกับกู้เจียว จี้จิ่วอาวุโสยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่
ที่แคว้นเจาเข้าใจว่ายอมแพ้ แต่ความจริงแล้วยามนั้นทั้งทหารทั้งสองแคว้นพักศึก ไม่มีใครสู้กันแล้วต่างหาก
กำลังพลแคว้นเฉินมากกว่าทหารตระกูลกู้ถึงสี่หมื่นนาย ทว่าความห้าวหาญของเหล่าทหารแคว้นเฉินนั้นเทียบกับตระกูลกู้ไม่ได้เลย อีกอย่างภายในแคว้นเฉินก็เกิดโกลาหล เพราะสงครามทำให้เงินในท้องพระคลังหมดเกลี้ยง พวกเขาไม่อาจจะผลาญเงินเช่นนั้นได้
จี้จิ่อาวุโสราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหรง น้องสาวแท้ๆ ก็เป็นถึงพระชายา พวกเขากลับช่วยป๋อชินอ๋อง”
กู้เจียวเอ่ย “เพราะฮ่องเต้ไม่คิดจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา”