สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 570 ค้นพบครั้งสำคัญ
บทที่ 570 ค้นพบครั้งสำคัญ
กู้เฉิงเฟิงเมื่อก่อนแค่ดัดเสียง มายามนี้แต่งตัวเป็นสตรีครั้งแรก จึงทำให้ชายอกสามศอกอย่างเขาลำบากใจจริงๆ
กู้เฉิงเฟิงจัดการอยู่ครู่ใหญ่จึงได้ทำเจ้าก้อนกลมสองข้างเท่ากันได้
“อ้อ ใช้ได้แล้ว”
เขาพอใจอยู่ไม่น้อย
เว่ยกงกง ที่แท้เจ้าก็เป็นองค์หญิงซิ่นหยางเช่นนี้เอง!
กู้เจียวฝังเข็มให้ฮ่องเต้ เพื่อทุเลาอาการของพระองค์ แต่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรคงต้องสังเกตต่ออีกที
“กลับกัน” กู้เจียวบอกกู้เฉิงเฟิง
“อื้อ” กู้เฉิงเฟิงเปลี่ยนเป็นเสียงองค์หญิงซิ่นหยางในชั่วพริบตา เขาลุกขึ้นแล้วย่อเข่าลง ให้ชายกระโปรงสวยลากไปกับพื้น
จากนั้นก็ยื่นมือออกมาอย่างสง่าผ่าเผย “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ ประคองข้าที”
กู้เจียวไม่มองมือข้างนั้นสักนิด เดินผ่านข้างกายเขาไปเลย
กู้เฉิงเฟิงที่ถูกเมิน “…”
กู้เฉิงเฟิงฝืนเอ่ยทวงศักดิ์ศรี “เสี่ยวอวี้เอ๋อร์อุตส่าห์เปิดทางให้ข้าถึงเพียงนั้น ก็ได้ ก็ได้ ให้เจ้าเป็นคนเปิดประตูให้ก็ได้”
กู้เจียวหน้าบึ้งมองเขา เลิกเล่นใหญ่จะได้หรือไม่
ทั้งสองออกจากตำหนักฮว๋าชิงมาแล้ว
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “ข้าจะเอากุญแจไปคืนนาง เจ้าไปรอข้างนอกตำหนักปี้สยานะ”
กู้เจียวปรายตามองเขา “เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่มันสะดวกหรือไม่”
ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ นั่นแหละ
ที่แท้เสื้อผ้าสตรีมันยุ่งยากถึงเพียงนี้เชียว ซ้อนกันหลายชั้น คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า เขากางขาไม่ออกด้วยซ้ำ
กู้เจียวยื่นมือไปหา “ข้าไปเองดีกว่า เจ้าไปรอข้าที่สวนหลวง”
กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสื้อผ้าตัวเองเป็นอุปสรรคในการจัดการจริงๆ นั่นแหละ เขาจึงส่งกุญแจให้นาง “เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วยล่ะ ฉินกงกงบอกว่ามีคนรับใช้มาจากชายแดนสิบกว่าคน เห็นว่าเดิมทีรับใช้หวงฝู่เสียน เด็กขาพิการคนนั้นน่ะ ต้องใช้คนรับใช้มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ ข้าดูแล้วเกรงว่าจะมีลับลมคมในอะไรอยู่”
“ทราบแล้ว” กู้เจียวถือกุญแจหันหลังเดินไปตำหนักปี้สยา
กู้เจียวไม่เคยไปตำหนักปี้สยามาก่อน แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพตำหนักปี้สยาที่ฉินกงกงมอบให้นาง
นางคุ้นชินกับที่ทางดีจึงหาห้องบรรทมขององค์หญิงหนิงอันเจอ กุญแจขององค์หญิงหนิงอันเดิมทีอยู่ในกระเป๋าเงินใบเล็ก ระหว่างทางนางไม่ได้เปิดกระเป๋าเงินเลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทางทำหล่นได้ หากไม่อยากให้นางจับได้คงต้องเก็บกลับคืนให้นางที่เดิมเสียแล้ว
กู้เจียวโชคดีไม่น้อย องค์หญิงหนิงอันเพิ่งหยิบกระเป๋าเงินใบน้อยมาวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะไปห้องปีกข้าง
กู้เจียวสวมถุงมือ เปิดกระเป๋าใบน้อยแผ่วเบา ก่อนยัดกุญแจเข้าไป
เมื่อองค์หญิงหนิงอันออกมาจากห้องปีกข้าง กู้เจียวก็กระโดดออกหน้าต่างไปแล้ว
กู้เจียวกะจะไปรวมตัวกับกู้เฉิงเฟิง คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางเดินผ่านห้องห้องหนึ่งจะได้ยินเสียงครางเครือฝืนข่มความเจ็บลอยมาจากด้านใน
มีคนป่วย
กู้เจียวเดินถอยหลังกลับมาสองสามก้าว มองลอดช่องแคบของระแนงหน้าต่างเข้าไป เห็นรถเข็นว่างเปล่าคันหนึ่ง
นางพอจะเดาได้แล้วว่านี่เป็นห้องของใคร
เดิมทีในห้องมีหมอหลวงเฝ้าไว้คนหนึ่ง ยามนี้ไปห้องน้ำ
กู้เจียวยันหน้าต่างให้เปิดออก แล้วกระโดดเข้าไป
นางมายังข้างเตียง
อาการของหวงฝู่เสียนย่ำแย่มาก ลมหายใจสั้นกระชั้น สัญญาณชีพจรไม่สม่ำเสมอ หน้าผากและลำตัวมีเหงื่อผุดซึมไม่หยุด ราวกับกำลังฝืนข่มความเจ็บปวดมหาศาลอยู่
“เจ็บตรงไหนหรือไม่”
กู้เจียวขมวดคิ้วอย่างฉงน
นางตรวจดูท่อนบนของหวงฝู่เสียน นอกจากฝ่ามือที่มีแผลภายนอกซึ่งหายดีแล้วก็ไม่เห็นบาดแผลที่จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดสาหัสเช่นนี้ได้เลย
นางเลิกผ้าห่มหวงฝู่เสียนขึ้นอย่างแผ่วเบา
แล้วเลิกขากางเกงเขาขึ้น จึงได้กระจ่างแจ้งว่าปัญหามันอยู่ที่ใด
กระดูกของเขางอกออกมาในเนื้อแล้ว กระดูกงอกเร็วกว่าเนื้อหนัง ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยขาขาดอายุน้อยจึงผ่านการผ่าตัดเจียกระดูกมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนกว่าจะเติบโตขึ้นมาได้
การผ่าตัดชนิดนี้ทรมานต่อจิตใจและร่างกายของผู้ป่วยมาก
อาการของเขาเกิดการอักเสบขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
เขาต้องรีบทำการผ่าตัดเจียกระดูกโดยด่วน แผลจะแย่แค่ไหนก็ต้องรีบรักษาเพื่อหยุดการอักเสบ
กู้เจียวไม่ได้เอากล่องยาใบน้อยมาด้วย แต่นางหิ้วกระเป๋ายาฉุกเฉินขนาดเท่าฝ่ามือมา
นางหยิบน้ำยาฆ่าเชื้อกับผ้าผืนบางออกมา ก่อนจะเช็ดทำความสะอาดอย่างง่ายๆ บริเวณที่อักเสบ แล้วหยิบยาแก้อักเสบให้เขากินสองเม็ด
หวงฝู่เสียนสะลึมสะลือ รู้สึกว่าตัวเองตกลงสู่อ้อมกอดเย็นเยียบ
เขาอยากจะลืมตาขึ้นมาดู แต่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลืมตาขึ้น
“ดื่มลงไป”
เขาได้ยินเสียงคนเอ่ยกับเขาตรงข้างหู
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้น ไม่มีใครมาสั่งเขาให้ทำนั่นทำนี่ได้
กู้เจียวเอ่ย “ถ้าไม่ดื่มข้าจะถลกกางเกงเจ้าซะ”
หวงฝู่เสียน “…”
หวงฝู่เสียนดื่มยาลงไปอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม
เขาเจ็บปวดยิ่งนัก กู้เจียวป้อนยาแก้ปวดพิเศษจากสถาบันวิจัยให้กับเขา
ยาแก้ปวดชนิดนี้มีผลข้างเคียงน้อย เด็กกินได้ เพียงแต่ปกติแล้วกู้เจียวจะไม่ให้เด็กกิน
แต่นี่มันสถานการณ์ฉุกเฉิน
ไม่มีเวลามาคิดอะไรมากนัก
กู้เจียววางเขาราบลงไป ดึงผ้าห่มมาห่มให้เขา ยามนี้หมอหลวงก็กลับมาพอดี
กู้เจียวกระโดดออกจากหน้าต่างไป
…
“เหตุใดจึงได้ไปนานนัก เกิดอะไรขึ้นรึ”
ณ สวนหลวง กู้เฉิงเฟิงมองกู้เจียวที่มาช้าพลางถาม
กู้เจียวมองไปรอบๆ ก่อนเอ่ย “ไม่มีอะไร ไปดูหวงฝู่เสียนมา”
กู้เฉิงเฟิงพรูลมหายใจโล่งอก “ข้าก็นึกว่าเจ้าไปสืบความจริงเรื่องคนพวกนั้นที่ยัดเข้ามา”
“พวกเขาไม่อยู่ที่ตำหนักปี้สยา” กู้เจียวไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของยอดฝีมือใดเลย หากพวกเขาไม่ใช้ยาระงับวรยุทธิ์ในกายเอาไว้ พวกเขาก็คงไม่ได้อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างฉงน “ไม่อยู่ที่ตำหนักปี้สยาอย่างนั้นรึ แล้วจะไปไหนได้”
กู้เจียวเอ่ย “อาจจะไปสำนักพระราชวังแล้ว ฉินกงกงบอกว่าคนที่ย้ายมาจากข้างนอกล้วนต้องไปลงทะเบียนที่สำนักพระราชวังมิใช่รึ”
“อ่า ก็จริง” กู้เฉิงเฟิงกระจ่างแจ้ง เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหัวเราะร้ายๆ ขึ้นมา “เจ้าไปดูหวงฝู่เสียนทำไม เจ้าอยากจับเขามาข่มขู่หนิงอันหรือ”
กู้เจียวมองเขาอย่างหมดคำจะพูด
ครู่ต่อมา หูสองข้างของนางก็ขยับไหว ก่อนคว้ากู้เฉิงเฟิงเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้าด้านหลัง
บนถนนเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล องค์หญิงหนิงอันพาเหลียนเอ๋อร์และองครักษ์จำนวนหนึ่งแต่งตัวเป็นชายเดินมาอย่างรีบร้อน ดูท่าทางจะออกจากวัง
กู้เฉิงเฟิงกระซิบถาม “ข้าสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดชายนอกวังจึงเข้ามาพักในวังได้ หวงฝู่เสียนยังเล็ก ซ้ำยังเป็นบุตรชายแท้ๆ ขององค์หญิง มันจึงเป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่องครักษ์พวกนี้…”
กู้เจียวเอ่ย “ยอดฝีมือของวังหลวงล้วนเป็นขันที เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ดังนั้นพวกเขาก็เป็นขันทีกันหมดเลยอย่างนั้นรึ” กู้เฉิงเฟิงรู้สึกว่าเฟิงเฟิงน้อยของตัวเองเย็นยะเยือกขึ้นมา
กู้เจียวพยักหน้า “น่าจะใช่”
หากไม่ใช่ขันทีเซียวฮองเฮาคงไม่มีทางปล่อยพวกเขาเข้ามาด้านใน แม้เซียวเหิงจะได้รับความเอ็นดูจากท่านย่า ซ้ำท่านย่ายังกันห้องไว้ให้เขา แต่เขาก็ไม่เคยรั้งจะพักอยู่ในวังหลวงจริงๆ เลยสักครั้ง
นี่เป็นธรรมเนียมของวังหลวง
“ตามไป” กู้เจียวบอก
ทั้งสองตามไปโดยไม่ให้ใกล้และไกลเกินไป
เมื่อใกล้ถึงประตูวังพวกเขาเห็นองค์หญิงหนิงอันขึ้นรถม้าที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นาง
องครักษ์ที่เฝ้ายามขวางรถม้าไว้
องค์หญิงหนิงอันตรัส “ข้าออกวังไปซื้อของ บอกฮองเฮาไว้แล้ว เหลียนเอ๋อร์”
เหลียนเอ๋อร์หยิบป้ายเดินทางจากตำหนักคุนหนิงให้
องครักษ์รีบปล่อยไปทันที
องค์หญิงซิ่นหยางออกจากวังไม่ต้องแสดงป้าย เพราะเดิมทีนางก็ไม่ได้พักอยู่ในวังอยู่แล้ว
องครักษ์เพียงแค่แปลกใจ เหตุใดเพิ่งจะส่งองค์หญิงคนหนึ่งกลับไป องค์หญิงอีกคนก็มาต่อ ในเมื่อจะออกจากวังกันทั้งคู่ เหตุใดจึงไม่ออกไปพร้อมกันเล่า
รถม้าขององค์หญิงหนิงอันจอดอยู่หน้าบ้านของโรงทอผ้าไหม เหลียนเอ๋อร์ลงจากรถ ไม่รู้ว่าองค์หญิงหนิงอันสั่งอะไรนาง เหลียนเอ๋อร์เข้าไปในโรงทอผ้าไหม แต่องค์หญิงหนิงอันกลับนั่งรถม้าไปต่อ
องครักษ์สี่นายกับคนขับรถก็ติดตามไปด้วย
กู้เฉิงเฟิงมองจากในรถม้า ก่อนแค่นเสียงเอ่ย “เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ซื้อของก็แค่ฉากบังหน้า”
เขาหันกลับมา พบว่ากู้เจียวกำลังจมดิ่งกับความคิด จึงอดถามไม่ได้ “เจ้าเหม่ออะไรน่ะ”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ใครเหม่อกัน”
กู้เฉิงเฟิงถาม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่พูดอะไรเลย เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
กู้เจียวบอก “ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงอักษรวันนั้น”
กู้เฉิงเฟิงเลิกคิ้วเอ่ย “ในจดหมายของฉินกงกงบอกไว้ว่าไม่เกิดอะไรขึ้นเลยมิใช่หรือ แค่ฝ่าบาทเห็นหนังสือยอมรับสารภาพของฮวาซีเหยา องค์หญิงหนิงอันเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์จึงวิ่งกระแทกเสาปลิดชีพตัวเองอย่างไม่กลัวตาย ใครจะคิดว่านางกระแทกเสียเปล่า ฝ่าบาทไม่เชื่อเลยสักนิด จากนั้นนางก็ฟาดฝ่าบาทสลบ องครักษ์หลงอิ่งลงมือ แต่แค่นางโบกมือ องครักษ์หลงอิ่งก็ล้มลงทันที จากนั้นนางก็ฆ่าซุนผิง แล้วทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ แสร้งว่าคุ้มกันฝ่าบาทจนได้รับบาดเจ็บ”
“นี่เป็นสิ่งที่เว่ยกงกงเห็นมา แต่บางทีเรื่องบางอย่างเขาก็มองไม่ออกเหมือนกัน”
กู้เจียวเอ่ยพลางโบกมือ “เช่นแบบนี้ ก็ทำองครักษ์หลงอิ่งล้มลงไปได้”
กู้เฉิงเฟิงถอดหมวกสานออก เอ่ย “นางจะใช้อาวุธลับอะไรหรือไม่ แต่อาวุธอะไรถึงทำให้องครักษ์หลงอิ่งล้มลงในชั่วพริบตา พวกชนิดที่อาบยาพิษรึ”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยคำใด
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างฉงน “จะว่าไปแล้ว องครักษ์หลงอิ่งที่ได้รับบาดเจ็บนั่นไปอยู่ไหนแล้วล่ะ เว่ยกงกงบอกว่าเขาหนีไป เขาจะหนีไปไหนได้ แล้วไหนองครักษ์หลงอิ่งจงรักภักดีไม่ใช่รึ เหตุใดจึงได้ทิ้งฝ่าบาทแล้วหนีไปเล่า”
กู้เจียวพึมพำ “นั่นสิ เพราะอะไรกัน”
“นี่ รถม้าของพวกเขาจอดแล้ว!” กู้เฉิงเฟิงบอก
กู้เจียวเลิกม่านขึ้น เอ่ยกับคนขับรถ “จอดรถที”
รถม้าของพวกเขาจอดอยู่ในตรอกห่างมาหลายสิบก้าว รถม้าขององค์หญิงหนิงอันจอดอยู่หน้าบ่อนพนันแห่งหนึ่ง
เมื่อองค์หญิงหนิงอันลงจากรถไม่ได้แต่งกายอย่างในวังแล้ว นางสวมเสื้อคลุมสีดำมะเมื่อม หมวกของเสื้อคลุมปิดบังศีรษะนางไว้
กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงเอ่ย “ทำลับๆ ล่อๆ เชียว ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน”