สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 577 ตัวตนที่แท้จริง (1)
บทที่ 577 ตัวตนที่แท้จริง (1)
กู้เจียวเก็บตะบันไฟลง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไป
ภาพที่เห็นคือหวงฝู่เสียนนั่งนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าเขาคือคนที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดที่น่าสะพรึงกลัวและอันตรายที่สุด แผลที่ขาเดิมอยู่ในสภาพแย่มากแล้ว ซ้ำร้ายเจอกับน้ำในแม่น้ำจนแผลเกิดเน่าเปื่อยกว่าเดิม
ที่จิ้งคงบอกว่าเขาหลับไปสองวัน นั่นก็เพราะจิ้งคงเห็นเขาแค่ตอนที่ย้ายมาพักอยู่ที่เรือนนี้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาต้องรับการผ่าตัดฉุกเฉินที่โรงหมอ กว่าจะพ้นขีดอันตรายก็ต้องใช้เวลาถึงสามวัน
“ยังเจ็บอยู่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม “แผลของเจ้าน่ะ”
หวงฝู่เสียนนิ่งไปขณะหนึ่ง ตอนแรกเขากะจะตอบว่าไม่เจ็บ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตอบตามความจริง “นิดหน่อย”
เสียงของเขาขึ้นจมูกเล็กน้อย
กู้เจียวทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเอ่ยต่อ “ไหนดูหน่อย”
ฟ้ามืดแล้ว ในห้องไร้แสงไฟ ให้ดูก็คงไม่เห็นอะไร
กระนั้นหวงฝู่เสียนก็ไม่ได้ปฏิเสธ
กู้เจียวพับขากางเกงของเขาขึ้น
แม้เขาจะไม่ชินเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามกลั้นไว้
เพราะอย่างไรก็มองไม่เห็นอยู่ดี
เขาคิดเช่นนั้น
หารู้ไม่ว่ากู้เจียวได้หยิบไฟฉายขนาดเล็กที่มาพร้อมกับกล่องยาออกมาจากกระเป๋า และกดเปิดมันอย่างโจ่งแจ้ง
หวงฝู่เสียนหน้าถอดสีทันที “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้จุดไฟ”
กู้เจียวตอบกลับ “แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ตะเกียง มันคือไฟฉาย”
หวงฝู่เสียน “…”
เดิมเขาจะแย้งนางว่าพูดจากลับกลอก แต่กลับถูกสิ่งประดิษฐ์ประหลาดนี้ดึงดูดเข้าอย่างจัง
“เจ้าไปเอาไข่มุกนี่มาจากที่ใด”
ของเรืองแสงที่หวงฝู่เสียนเคยพบเห็นก็มีแต่ไข่มุก แต่มันก็ไม่สว่างมากขนาดนี้
“อยากรู้รึ” กู้เจียวถาม
“ไม่หรอก” หวงฝู่เสียนเบือนหน้าหนีเสียอย่างนั้น
กู้เจียวยิ้มมุมปาก คุกเข่าลงข้างหนึ่ง มือหนึ่งถือไฟฉาย ส่วนอีกมือค่อยๆ แก้ผ้าพันแผลออก
ทันใดนั้น หวงฝู่เสียนรีบคว้ามือของนางไว้ “มันอัปลักษณ์มากเลยนะ!”
กู้เจียวเงยหน้าแล้วมองเข้าไปในดวงตาของเขา สายตาของนางช่างละม้ายคล้ายกับจิ้งคงยิ่งนัก มีทั้งความไร้เดียงสา ใสสะอาด ไร้ซึ่งความรู้สึกรังเกียจ
แต่ถ้าเทียบกันแล้ว แววตาขอองนางแฝงไปด้วยความนิ่งสงบและชวนให้เชื่อถือมากกว่า
หวงฝู่เสียนกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือของนางออก
กู้เจียวแกะผ้าออกทีละชั้น เผยให้เห็นรอยแผลที่ถูกเย็บไว้
“ฟื้นตัวได้ดี ไม่มีการติดเชื้อ แต่เจ้ายังต้องกินยาให้ตรงเวลา” หลังจากที่กู้เจียวพูดจบ ก็กลับไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบกล่องยาและเปลี่ยนยาอย่างระมัดระวัง “ถ้าเจ้าไม่เจ็บแล้ว ข้าจะหยุดให้ยาแก้ปวดนะ”
“อื้อ” หวงฝู่เสียนตอบกลับอย่างมึนงง
พอกู้เจียวพันแผลให้เขาเสร็จก็ทำความสะอาดอุปกรณ์
“เจ้าอ้วนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
หวงฝู่เสียนโพล่งถามขึ้น
“พูดถึงฉินฉู่อวี้สินะ เขากลับวังไปแล้วล่ะ เหลียนเอ๋อร์ก็อยู่ที่นั่น ฮองเฮาทรงมีคำถามจะถามนาง ไม่ได้จะทรมานนางแต่อย่างใด”
สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจะว่าเสี่ยงก็เสี่ยง เพราะหลังจากที่กู้เจียวและหวงฝู่เสียนตกลงไปในน้ำ กู้เจียวก็รีบปักกริชไปที่หินกลางแม่น้ำ
หลังจากที่หลงอีจัดการกับพวกสายลับชุดดำเสร็จ ก็รีบพุ่งตัวลงมาช่วยนางและหวงฝู่เสียนขึ้นมา
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกลับมาที่เมืองหลวง
สายตาหวงฝูเสียนจับจ้องไปที่คางของกู้เจียว เมื่อครู่ที่นางคุกเข่าลงเขาจึงมองไม่เห็น แต่พอนางลุกขึ้น ก็ทำให้เขาได้เห็นรอยแผลที่ถูกเย็บไว้ที่คางของนาง
“คางของเจ้า…” หวงฝู่เสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ถลอกนิดหน่อยน่ะ” กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ
แผลนั้นอยู่บริเวณใต้คาง ไม่ใช่จุดที่มองเห็นได้ง่าย
เขาเบือนหน้าลงพร้อมกับเอามือกำกางเกงไว้แน่น “ในน้ำรึ”
“อืม” กู้เจียวตอบห้วนๆ
ช่วงที่เกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ยากที่จะมองเห็นได้ชัด และก็เพราะนางถูกโขดหินถลอกถึงได้รู้ว่ามีหินอยู่ตรงนั้น
หวงฝู่เสียนเอ่ยขึ้น “ช่วยคนอย่างข้า ไม่คุ้มกันหรอก”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไรและก้มหน้าก้มตายุ่งกับงานตรงหน้า
ทั้งห้องเงียบมากจนได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก เสียงแง่งๆ ของเจ้าสุนัขเสี่ยวปากำลังแทะรองเท้าของกู้เหยี่ยนอีกครั้งอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีเสียวจิ่วตามมาสมทบ ลูกเจี๊ยบเจ็ดตัวกำลังเดินเตาะแตะกลับไปที่กรงของพวกเขาอย่างว่านอนสอนง่าย
ลุงจ้าวกำลังตะโกนเรียกลูกชายคนเล็ก ท่านป้าหลิวกำลังไล่ห่านในตรอก ยายเฒ่าโจวกำลังทอดปลาหมักที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนลามมาถึงข้างในเรือน
หวงฝู่เสียนมองดูคนตรงหน้าที่กำลังง่วนกับการจัดการอุปกรณ์การแพทย์ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความรู้สึกแปลกๆ พลันพลุ่งพล่านในหัวใจของเขา
“ตอนข้ายังเล็ก นางดีกับข้ามาก”
พอกู้เจียวเก็บข้าวของเสร็จ เขาก็เริ่มเล่าต่อ “นางมักจะพาข้าออกไปเล่นข้างนอกเสมอ ให้กินอาหารดีๆ เวลานางออกไปไปช่วยผู้ประสบภัยก็มักจะพาข้าไปด้วย เรื่องที่พวกเราทำด้วยกันบ่อยที่สุดคือนางแบกข้าไว้บนหลัง แจกข้าวต้ม และไล่ต้อนแกะด้วยกัน”
“ชีวิตที่ชายแดนลำบากขนาดนั้นเชียวหรือ” กู้เจียวรู้ดีว่าผู้คนที่ชายแดนมีชีวิตที่แสนสาหัส ทั้งยังได้ยินมาว่าองค์หญิงหนิงอันไม่ต้องรับหน้าที่ในราชวงศ์และร่วมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากด้วยกันกับราษฎร
แต่ในเมื่อตอนนี้องค์หญิงหนิงอันได้เผยธาตุแท้ออกมาแล้ว ก็เลยอดสงสัยมิได้ว่าที่นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้น
“ข้าไม่รู้สึกว่าลำบาก” หวงฝู่เสียนเอ่ย
“ก็คงเป็นเช่นนั้น” กู้เจียวเอ่ย
ตอนที่พวกเขายังจนอยู่ ก็ไม่ยักกะเห็นว่าจิ้งคงจะแสดงท่าทีรังเกียจแต่อย่างใด
สิ่งที่เด็กๆ ต้องการมักเป็นอะไรที่ง่ายเสมอ
“แต่ภายหลัง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป” หวงฝู่เสียนเอ่ยพลางมองออกไปที่ผืนฟ้าอันมืดมิด
ขณะที่กู้เจียวหันไปทางเขา
สายตาเขากำลังจับจ้องไปที่ดวงดาวที่สว่างที่สุดในนภา ราวกับกำลังบันทึกความทรงจำที่อยู่ห่างไกล “พอขาของข้าไม่เหมือนเดิม นางก็พลันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เข้าใกล้ ไม่ให้อุ้มกอดหรือปล่อยให้นอนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน นางบอกว่ากลัวเผลอกดทับแผลของข้า”
“ตอนนั้นข้าเพิ่งห้าขวบ ยังไม่เข้าใจ พอโตขึ้น ข้าถึงรู้ว่าที่นางเป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นความชิงชัง นางรังเกียจที่มีลูกเป็นเด็กพิการ นางเกลียดที่ข้ากลับไปเป็นเด็กธรรมดาไม่ได้อีกแล้ว นางไม่อยากอยู่กับข้าด้วยซ้ำ”
“ทุกครั้งที่ต้องเหลากระดูก ข้าแค่หวังว่านางอยู่เคียงข้างข้าสักครั้ง ไม่ต้องกอดกันก็ได้ แค่จับมือของข้าไว้ก็พอ”
“แต่นางกลับไม่เคย”
ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว
กู้เจียวเริ่มเข้าใจพฤติกรรมของหวงฝู่เสียน ส่วนใหญ่มาจากการได้รับความรังเกียจเดียดฉันท์จากคนเป็นพ่อเป็นแม่มาโดยตลอดโดยเฉพาะจากตัวองค์หญิงหนิงอัน ซึ่งมันบ่อนทำลายความนับถือตนเองและความมั่นใจในตนเองทั้งหมดของเขา
เหตุใดเสด็จแม่ถึงไม่รักเขาเลย
เพราะเขาไม่มีขาอย่างนั้นรึ
เช่นนั้น เขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
กู้เจียวมองเขา พร้อมเอ่ยขึ้น “นางทำกับเจ้าขนาดนี้ เจ้ายังคิดเป็นห่วงนางอยู่อีกหรือ”
หวงฝู่เสียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “…นางเป็นแม่ของข้า”