สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 608 สามีภรรยา (1)
บทที่ 608 สามีภรรยา (1)
คนผู้นั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า รุนแรงดุจมังกรน้ำ จับต้นไม้ใหญ่ที่ทับตัวเซวียนผิงโหวยกขึ้นมา ก่อนจะโยนออกไปอย่างแรง!
เซวียนผิงโหวเตรียมตัวเตรียมใจจะตายไว้แต่แรกแล้ว เขากำลังคิดอยู่ว่าความตายเป็นความรู้สึกเช่นไร เบาหวิวไปทั้งตัวหรือ
ต้นไม้ใหญ่นี่ล่ะ ดินโคลนที่ไหลทะลักมานี่ล่ะ
เสียงก็ได้ยินแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่ทับร่างเขาจนแหลกลาญขาดใจตายไปเล่า
เซวียนผิงโหวกำลังฉงนใจ ก็รู้สึกถึงลมปราณแข็งแกร่งสายหนึ่งโฉบมาหาตน เซวียนผิงโหวมีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้ยังไม่เคยยอมรับความแข็งแกร่งใดนอกจากตัวเองเลย สามารถทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ แสดงว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายต้องลึกซึ้งมากถึงเพียงใด
อีกทั้งลมปราณสายนี้ยังค่อนข้างคุ้นเคยด้วย
แต่คิดดูแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร
ไม่รอให้เซวียนผิงโหวคิดออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นความจริงหรือว่าเป็นภาพลวงตาหลังความตาย เขาก็ถูกคนดึงตัวขึ้นมาจากพื้นแล้ว!
เซวียนผิงโหวสติเลื่อนลอยโดยสมบูรณ์ “…”
เซียวเหิงใจเต้นรัวแทบจะกระดอนออกมา สุดท้ายเห็นภาพชวนใจพลุ่งพล่านเข้า เขาก็พรูลมหายใจโล่งอกออกมา “หลงอี!”
ชั่วขณะที่หลงอีหนีบเซวียนผิงโหวเหาะทะยานขึ้นไป ดินโคลนก็ไหลบ่าลงมาทะลักทลาย แทบจะพริบตาเดียวก็กลบหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านไปแล้ว
ดินโคลนไหลตามหลังหลงอีมา หลงอีมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ ทุกครั้งที่ใกล้จะโดนกลบเขาก็สามารถแตะปลายเท้ากับต้นไม้ใหญ่ยันตัวทะยานเหาะได้ ต้นไม้ใหญ่ถูกกลืนกินไปแล้ว
เขาหยุดลงบนหลังคาอีกหน ก่อนจะทะยานตัวขึ้นอีกครา หลังคาก็ถูกกลืนกินไป
นี่เหมือนเป็นการประลองกันกับพญายมราชเลย
เซียวเหิงไม่เห็นเงาร่างพวกเขาแล้ว แต่เขาเชื่อในฝีมือของหลงอีว่าจะต้องหนีรอดจากดินโคลนถล่มไปได้แน่นอน
สิ่งที่ดินโคลนกลืนกินไปไม่ได้มีเพียงแค่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ถนนหลวงที่เซียวเหิงยืนอยู่ก็กลายเป็นเหยื่อของมันเช่นกัน
มันเหมือนสัตว์ยักษ์พันปีที่ถูกปลุกให้ฟื้น อ้าปากกว้างดุจอ่างโลหิตอยู่ด้านหลังเซียวเหิง
เซียวเหิงห่อเด็กทารกในอ้อมอกให้ดี สองมือกำบังเหียนมั่น
ก้อนหินตกลงมาตามทาง ม้าข้างทางก็ตกใจจนวิ่งพล่านไปทั่ว แต่พาหนะของเซวียนผิงโหวกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มันเป็นราชาม้าศึกจากบรรดาม้าเหล็กเกราะทอง มันเผชิญอันตรายด้วยความสงบนิ่ง ฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งคล่องแคล่วและแข็งแรง หลบหลีกก้อนหินทุกก้อนได้อย่างแม่นยำ
และไม่ต้องให้เซียวเหิงใช้แส้ฟาดมันด้วย มันได้เพิ่มความเร็วถึงขีดสุดตามสัญชาตญาณในการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติทางธรรมชาติแล้ว
ดินโคลนไหลบ่าตามมาอย่างไม่ลดละ เมื่อเห็นว่าจะกลืนกินพวกเขาแล้ว แววตามันก็คมกริบดุจมีด ถีบขาหลังพุ่งทะยานตัวขึ้น!
เซียวเหิงเห็นสะพานหักกับน้ำเชี่ยวเบื้องล่าง ใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกหน
หากข้ามไม่พ้น…
มันทะยานข้ามมาสำเร็จ!
ดินโคลนไหลบ่าลงไปในแม่น้ำเชี่ยวกราก!
เซียวเหิงหันกลับไปมอง เห็นเพียงอีกนิดเดียวดินโคลนก็จะไหลมาถึงแล้ว เหงื่อเย็นเปียกชุ่มทั่วร่าง อกสั่นขวัญแขวนไปหมด
ม้าพาเซียวเหิงฝ่าฝนวิ่งกลับมาตลอดทาง
อีกด้านหนึ่ง เซวียนผิงโหวกับหลงอีอยู่ในสภาพการณ์ที่อันตรายกว่าเซียวเหิงนัก อย่างไรเสียหมู่บ้านก็ชัยภูมิต่ำกว่า จึงยิ่งเป็นทิศทางที่ดินโคลนไหลบ่าลงไป แต่พวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ถนนหลวงได้ จำต้องวิ่งออกจากหมู่บ้านขึ้นเขาอีกลูกเท่านั้น
ในขณะนี้หลิวเฉวียนกำลังอยู่บนหนึ่งในเทือกเขานั้น
เดิมทีเซียวเหิงทิ้งเขาไว้บนยอดเขา ให้เขารออยู่กับที่อย่าเดินเพ่นพ่านไปไหน แต่หลังจากเรี่ยวแรงเขาฟื้นตัวแล้วก็เป็นห่วงเซียวเหิง จึงลงจากเขาไปตามหา
เขาเพิ่งจะเดินมาถึงตีนเขาก็ได้ยินเสียงภูเขาถล่ม เขาแอบสบถว่าแย่แล้ว รีบหันหลังกลับวิ่งขึ้นเขาทันที
จนใจที่เพิ่งจะวิ่งผ่านไหล่เขาไปได้ครึ่งทางดินโคลนก็ไหลทะลักมาหา
ในขณะที่เขากำลังจะโดนกลืนกินนั้น เสียงฟาดแส้ก็ดังลอยมา ตวัดพันกับบั้นเอวหลิวเฉวียนไว้อย่างแน่นหนา
หลิวเฉวียนเหลือบตาขึ้นมอง แววตาพลันเป็นประกาย
เป็นกู้เจียว!
กู้เจียวมือหนึ่งจับเส้นเชือก อีกมือใช้แส้พันตัวหลิวเฉวียนไว้ นางเงยหน้าเอ่ยกับคนข้างบน “ขึ้นไป!”
กู้เฉิงเฟิงดึงเชือกทันที ดึงกู้เจียวกับหลิวเฉวียนขึ้นไปบนยอดเขา!
กู้เจียวมองหลิวเฉวียนที่ถูกตัวเองดึงขึ้นมา แววตาพออกพอใจยิ่งนัก
นางได้สัมผัสกับประสบการณ์เช่นนี้อีกครั้งเสียที ครานั้นที่เมืองเย่ว์กู่ กู้เฉิงเฟิงใช้แส้ช่วยถังเย่ว์ซานขึ้นมาบนกำแพงเมือง ตอนนั้นนางรู้สึกว่าน่าสนุกมาก
ทว่าหลิวเฉวียนที่ห้อยโตงเตงอยู่บนกิ่งไม้ เอ่อคือว่า คราวหน้าให้ข้าขึ้นมาดีๆ ได้หรือไม่
กู้เจียวเพิ่งจะหัดใช้แส้ได้ไม่กี่วัน ค่อนข้างจะเป็นมือใหม่ หลิวเฉวียนถูกนางตวัดกลับหัวขึ้นมา เลือดลงหัวไปหมดแล้ว
กู้เฉิงเฟิงหน้าทะมึน
ก็บอกว่าข้าลงไปเอง ข้าลงไปเอง! ตัวเองก็รั้นจะลงให้ได้!
แน่นอนว่าเขาก็รู้ดีว่ากู้เจียวไม่ได้ทำเพราะมันน่าสนุกเพียงอย่างเดียวหรอก อย่างไรเสียคนที่ลงไปนั้นอาจจะถูกดินโคลนซัดไปได้ตลอดเวลา เด็กคนนี้ชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เรื่องเสี่ยงอันตรายล้วนไปเสี่ยงเอง
ขนาดครานี้นางยังไม่คิดจะพาเขามาด้วยเลย เขาบังเอิญเจอนางออกจากบ้านจึงได้ตามมาด้วย
“ดูถูกใครอยู่กัน เด็กหน้าเหม็น”
กู้เฉิงเฟิงเบ้ปากแค่นเสียงเฮอะ “คืนแส้มาให้ข้า”
“ไม่” กู้เจียวมุบมิบแส้มาเป็นของตัวเองเรียบร้อย
กู้เฉิงเฟิง “…”
ทวนพู่แดงไม่อาจทำให้เจ้าพึงพอใจได้แล้วหรือ เจ้าถึงมาแย่งแส้ของข้าน่ะ!
กู้เฉิงเฟิงแอบถลึงตาใส่นาง กลับไปข้าค่อยแย่งคืน!
แม้ที่นี่จะมีภูมิประเทศที่สูงพอควร แต่ก็ยากจะแน่ใจได้ว่าไม่มีดินโคลนถล่มระลอกที่สอง พวกเขาต้องรีบออกจากที่นี่เป็นการดีที่สุด
กู้เฉิงเฟิงมือหนึ่งจับตัวคนไว้ ใช้วิชาตัวเบาทะยานไปที่ยอดเขาข้างหน้า
ช้าก่อน เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
กู้เฉิงเฟิงกัดฟันกรอดๆ “เด็กคนนี้นี่ หมู่นี้เจ้ากินอะไรมา! เหตุใดจึงได้หนักถึงเพียงนี้!”
กู้เจียวกำลังเล่นกับแส้น้อยที่ตัวเองเพิ่งไปแย่งมาหมาดๆ “ไม่นี่ เจ้าไม่ไหวเองก็บอกมาตรงๆ สิ”
บุรุษไม่มีคำว่าไม่ไหว!
กู้เฉิงเฟิงพยายามออกแรงเต็มที่ “เจ้า…นั่น…แหละ…หนัก…ขึ้น…”
ไม่…ไหว…แล้ว…เขา…พา…ไป…ไม่…ไหว…แล้ว!
เมื่อเห็นว่าทั้งสามจะร่วงลงไปรอมร่อ หลงอีก็พุ่งทะยานมาหา พาตัวกู้เจียวไปจากมือกู้เฉิงเฟิงทันที
กู้เจียวที่โดนพาตัวไปโดยไม่ทันตั้งตัว “…”
หลงอีเจ้าไปช่วยเซวียนผิงโหวไม่ใช่หรือไร เหตุใดจึงมาพาข้าไปอีกเล่า!
ก็เพราะไม่ให้โดนเจ้าพาไปด้วยข้าถึงยอมพากู้เฉิงเฟิงมาแทนนี่ไง!
หลงอีหนีบคนไว้คนละข้าง
เซวียนผิงโหวชำเลืองมองเล็กน้อย เมื่อปรับสายตามองเห็น ก็โบกมือให้กู้เจียว “ลูกสะใภ้ สวัสดี…ว้าก…”
กู้เจียวก็โบกมือให้เช่นกัน “สวัสดี…ว้ากกก”
ยังไม่ทันได้ทักทายเสร็จ ทั้งคู่ก็กลายเป็นกบที่อ้าปากค้างหุบไม่ได้เพราะลมฝนกระโชกเข้าใส่โครมๆ
กู้เฉิงเฟิงถูกสลัดทิ้งไว้ด้านหลังไกลลิบ เขามึนงงไปหมดแล้ว!
สุดยอดเลย พาไปด้วยสองคนยังหนีได้เร็วปานนั้น! เจ้าเป็นวายุหรือไร
บุรุษลมกรดรึ!
หลงอีทะลุผ่านผืนป่าออกไป ระยะทางค่อนข้างไกล เมื่อเขาพากู้เจียวกับเซวียนผิงโหวมาถึงโรงพักม้าแห่งหนึ่งที่ใกล้ที่สุด เซียวเหิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแล้ว
เซวียนผิงโหวปราดตามองไปเห็นองค์หญิงซิ่นหยางที่กำลังชี้นิ่วสั่งการคนรับใช้ให้ต้นน้ำต้มยาอยู่บนทางเดิน
เขาก็ชะงักไป
แต่เมื่อหันหน้ามามองหลงอีก็คล้ายจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว
อวี้จิ่นยกน้ำร้อนกะละมังหนึ่งออกมาจากห้องข้างๆ “องค์หญิง ข้าอาบน้ำให้เด็กคนนั้นแล้ว ไม่มีเสื้อผ้าของทารก จึงใช้เสื้อของผู้ใหญ่ห่อเป็นผ้าอ้อมให้เขาแทนเพคะ”
“อืม” องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้า
“แล้วท่านโหวเล่า” อวี้จิ่นไปเทน้ำ พอหันกลับมาก็เห็นเซวียนผิงโหวตรงหน้าประตู
องค์หญิงซิ่นหยางก็หันมามองเขาเช่นกัน
สภาพยามนี้ของเซวียนผิงโหวอยากให้อเนจอนาถเพียงใดก็อเนจอนาถเพียงนั้น เพียงแต่ตัวเขาเองไม่รู้ตัว นึกว่าตัวเองยังคงหล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนเดิม
เขาเลิกคิ้วขึ้น แย้มยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ฉินเฟิงหว่าน”
องค์หญิงซิ่นหยางมองหน้าตาที่ดูง่อยๆ ของเขา หนังตาพลันกระตุก ขานรับไปอย่างคลุมเครือ ตรัส “อืม พวกเจียวเจียวเล่า”
กู้เจียวเดินออกมาจากด้านหลังเซวียนผิงโหว นางบ้วนน้ำฝนออกมาคำหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด
เพียงไม่นาน กู้เฉิงเฟิงกับหลิวเฉวียนก็มาถึง
*************************