สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 608-2 สามีภรรยา (2)
บทที่ 608-2 สามีภรรยา (2)
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสเสียงนิ่ง “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันให้หมดไป”
องค์หญิงซิ่นหยางสมกับคนเป็นแม่ ไม่ว่าที่ไหนก็พกเสื้อผ้าลูกไปด้วย เพียงแต่ยามนี้ไม่ได้มีลูกแค่คนเดียวแล้ว แต่มีกู้เจียวพ่วงมาด้วย
นางให้อวี้จิ่นพากู้เจียวไปยังห้องที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อย ฟืนไฟด้านในจุดไว้ให้อบอุ่นแล้ว อวี้จิ่นหยิบเสื้อผ้าสะอาดที่องค์หญิงซิ่นหยางเตรียมไว้ให้กู้เจียวออกมายื่นให้กู้เจียวเปลี่ยน
ของเซียวเหิงนางพกมาหลายชุด ชุดหนึ่งให้กู้เฉิงเฟิง อีกชุด…ให้เซวียนผิงโหว
รูปร่างทั้งคู่นับว่าใส่ได้ หลิวเฉวียนมีพุงของชายวัยกลางคนแล้ว สวมเสื้อผ้าเซียวเหิงไม่ได้ เขาจึงไปหายืมชุดองครักษ์มา
เซวียนผิงโหวมองเสื้อผ้าในมือลูกชาย ก่อนเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยางตรงหน้าห้อง “ก็จริง เจ้าไม่มีเสื้อผ้าของข้านี่นะ”
องค์หญิงซิ่นหยางสีพระพักตร์พลันบูดบึ้ง พูดเสียเหมือนว่ามีเสื้อผ้าของเจ้าข้าจะพกมาให้เจ้าด้วยอย่างนั้นแหละ!
เซวียนผิงโหวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมององค์หญิงซิ่นหยาง “ฉินเฟิงหว่าน เจ้าตั้งใจรีบมาช่วยข้าหรือ”
เขาไม่เอ่ยขึ้นมาองค์หญิงซิ่นหยางยังพอทนกับเขาได้ พอเขาเอ่ยขึ้นมาองค์หญิงซิ่นหยางก็อยากจะชกเขาสักเปรี้ยงทันที!
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ามาช่วยลูกชายข้าต่างหาก!” หยุดสำคัญตัวผิดจะได้หรือไม่
“อ๋อ” เซวียนผิงโหวเลิกคิ้ว วางเสื้อผ้าลงบนโต๊ะ “ข้าไม่เชื่อ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
คนผู้นี้หน้าด้านหน้าทนขึ้นเรื่อยๆ อยู่มานานหลายปีเพียงนี้ได้อย่างไรกันนะ
องค์หญิงซิ่นหยางตัดสินใจไม่สนใจเขาแล้ว เพื่อไม่ให้โมโหจนโรคหัวใจกำเริบ!
นางไปหากู้เจียวที่ห้องปีกข้างแทน ทารกที่ถูกช่วยมาก็นอนอยู่ที่นี่เช่นกัน
กู้เจียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย กำลังจะตรวจอาการของทารกน้อย
“เป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงซิ่นหยางเข้ามาในห้องพลางถาม
กู้เจียวเปิดกระเป๋ายาใบน้อย หยิบหูฟังออกมา ก่อนเอ่ย “กระดูกปกติดี มีบาดแผลถลอกนิดหน่อย มีอาการขาดน้ำเล็กน้อย มีไข้สูง ยังตรวจเจอแค่นี้อยู่ ได้ยินว่าบ่อน้ำลึกมาก เด็กคนนี้ดวงแข็งนัก”
“ข้าหมายถึงเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงซิ่นหยางตรัส
กู้เจียวที่ใส่หูฟังไว้ที่หู กำลังฟังเสียงหัวใจทารกน้อยพลันชะงักไป
องค์หญิงซิ่นหยางเห็นสีหน้าของนางทั้งหมด ก่อนถอนหายใจก่อนจะตรัสถาม “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไร” กู้เจียวครานี้ไม่รอให้องค์หญิงซิ่นหยางถาม นางเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเอง “แผลเก่าก็หายดีนานแล้ว”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้าอย่างพอพระทัย จึงได้หันไปมองทารกบนโต๊ะ “เขาคงไม่เป็นอะไรมากหรอกกระมัง”
กู้เจียวฟังหัวใจกับปอดเขาเสร็จก็ดึงหูฟังออกพลางเอ่ย “ปอดอักเสบ น่าจะติดเชื้อตั้งแต่ก่อนตกลงไปในบ่อแล้ว ซ้ำยังแช่น้ำเย็นอยู่นาน อาการจึงหนักขึ้น”
องค์หญิงซิ่นหยางได้ยินว่าโรคปอดอักเสบสีหน้าก็พลันเปลี่ยน เซียวเหิงตอนเด็กๆ ก็เคยเป็นโรคนี้ ไอไม่หยุด ไข้สูงไม่ลด เกือบจะเสียชีวิตแล้วด้วย
องค์หญิงซิ่นหยางยังคงหวาดกลัวไม่หาย “เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี”
กู้เจียวเอ่ย “ให้เขากินยาก่อน กินไม่ได้ค่อยให้น้ำเกลือ”
โรคนี้เป็นโรคร้ายแรงในสมัยโบราณ แต่สำหรับกระเป๋ายาใบน้อยกลับไม่ใช่โรคร้ายรักษายากอะไร
เป็นดังคาด เมื่อกู้เจียวเปิดกระเป๋ายาใบน้อยออกมา ด้านในก็ปรากฏยาน้ำปฏิชีวนะรสผลไม้กับยาน้ำต้านไรวัสขึ้นมา
“น้ำข้าวมาแล้ว” อวี้จิ่นยกชามน้ำข้าวร้อนๆ เดินเข้ามา “ห้องครัวมีแต่สิ่งนี้”
ของที่เด็กทารกกินได้มีเพียงเท่านี้
กู้เจียวส่งยาให้อวี้จิ่น พร้อมกับบอกวิธีใช้และปริมาณ
“ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะป้อนให้เขากิน” อวี้จิ่นมองเด็กน้อยผู้อ่อนแอแวบหนึ่ง “เป็นเด็กดีไม่น้อย ไม่ร้องไม่โวยวายเลย”
องค์หญิงซิ่นหยางมองเด็กทารกพลางเอ่ย “ร้องไปเสียตั้งนานเพียงนั้น อยากจะร้องอีกก็หมดแรงร้องแล้วล่ะ”
ทางนี้มีอวี้จิ่น กู้เจียวจึงไปดูเซียวเหิงที่ห้องข้างกัน
เทียบกับเด็กทารกคนนั้นแล้วอาการของเซียวเหิงหนักจนดูไม่ได้เสียยิ่งกว่า เดิมทีพันแผลแค่ครึ่งตัว ยามนี้ผ้าพันแผลพันเต็มตัวไปหมดแล้ว กลายเป็นตุ้ยนุ้ยขาวผ่องไปแล้ว
อาการของเซวียนผิงโหวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก กู้เจียวเป็นภรรยาของเซียวเหิง กู้เจียวบอกให้พันตรงไหนเซียวเหิงก็พันตรงนั้น แต่กู้เจียวไม่ใช่ภรรยาของเซวียนผิงโหว
เขาจึงไม่พัน
กู้เจียวจึงเรียกภรรยาของเขาเองมาหา
องค์หญิงซิ่นหยางเข้าห้องมา กู้เจียวก็ออกไปแล้ว เซวียนผิงโหวนอนเปลี้ยอยู่บนรถเข็น หันหลังให้ประตู
เขานึกว่ากู้เจียวมา จึงแค่นเสียงเอ่ย “ข้าไม่พันไอ้ของพรรค์นั้นหรอกนะ”
“ไม่พันแล้วเจ้าจะทำเช่นไร”
เสียงนิ่งขององค์หญิงซิ่นหยางดังขึ้น
เซวียนผิงโหวสะอึก อยากหันกลับมาก็ปวดคอจนเขาสูดหายใจลึก “เหตุใดจึงเป็นเจ้า”
องค์หญิงซิ่นหยางมาหยุดตรงหน้าเขา มองเขาพลางเอ่ย “เหตุใดไม่รับการรักษาเล่า”
เซวียนผิงโหวเอ่ยอ่างไม่แยแส “ก็แค่แผลแค่นี้!”
เขายังต้องไปฆ่าเหล่าเหลียงอ๋องอีก หากมัวลีลาไอ้แก่นั่นได้ลงโลงไปก่อนแน่
เซวียนผิงโหวนึกว่านางจะบอกว่าถนนหนทางติดขัดไปหมดแล้วเจ้าจะไปอย่างไร แต่เขาก็คิดหาวิธีดีๆ ได้แล้ว อ้อมไปจากเมืองข้างๆ เอาก็ได้ อาจจะไปไม่ทันแต่ก็ได้ลองแล้ว
เขามันเป็นพวกไม่ยอมลดละจนกว่าจะตายกันไปข้าง
แต่องค์หญิงซิ่นหยางกลับไม่ได้เอ่ยเช่นนั้น
หลังจากที่นางเงียบงันไปพักหนึ่งจนน่ากลัวก็เอ่ยขึ้นเสียงเนิบ “ข้าเคยคิดอยากฆ่าเขามานับครั้งไม่ถ้วน ตอนแรกใช้องครักษ์หลงอิ่ง สุดท้ายพวกเขาต่างไม่ขยับ”
เซวียนผิงโหวใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ววิเคราะห์ “พวกเขาเป็นหน่วยกล้าตายที่เหล่าเหลียงอ๋องซื้อกลับมาจากแคว้นเยี่ยน อาจารย์ที่ฝึกพวกเขาก็มาจากแคว้นเยี่ยน ระหว่างการฝึกเหล่าเหลียงอ๋องก็เข้าร่วมด้วยทั้งหมด เขาจึงได้สร้างคำสั่งให้พวกเขาไปโดยปริยายว่าห้ามลงมือฆ่าเขาเด็ดขาด”
องค์หญิงซิ่นหยางพยักหน้ายอมรับอย่างเงียบๆ “ข้าได้สั่งการตั้งแต่หลงเอ้อร์ไปจนถึงหลงอู่แล้ว ก็ไม่มีใครฟังคำสั่งของข้า ข้าทำหลงอีตกหล่นไปแค่คนเดียว หลงอีบังเอิญออกไปข้างนอก ตอนที่เขาเพิ่งมาอยู่ข้างกายข้าใหม่ๆ ค่อนข้างจะอยู่ไม่สุข มักจะไม่อยู่ที่จวนตามกฎตามเกณฑ์ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเขาจับพลัดจับผลูเข้ามา นึกว่าเขาไม่ทำภารกิจสังหารคนผู้นั้นเหมือนกันกับพวกองครักษ์หลงอิ่งอีกสี่คนที่เหลือ หลังจากเขากลับมาข้าจึงคร้านจะออกคำสั่งกับเขาแล้ว”
เซวียนผิงโหวจับประเด็นสำคัญบางอย่างได้ “ช้าก่อน หลงอีจับพลัดจับผลูเข้ามาหมายความว่าอย่างไร”
องค์หญิงซิ่นหยางบอก “ก่อนฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคตไม่กี่วันก็เรียกข้าไปเข้าเฝ้า ตรัสว่าจะพระราชทานองครักษ์หลงอิ่งให้ข้าสี่นาย สุดท้ายมาถึงจวนกลับมีห้า ข้าก็นึกว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนหลังจากข้ากลับไปทรงเปลี่ยนพระทัยส่งมาให้เพิ่มอีกคน”
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างฉงน “เจ้าไม่ไปถามหน่อยรึ”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยอย่างสมเหตุสมผล “เรื่องดีๆ เหตุใดต้องไปถามด้วยเล่า เกิดถามแล้วไม่ได้มาเล่า”
สมองเซวียนผิงโหวพลันแล่นวาบขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงซิ่นหยางจะมีมุมที่เอาแต่ใจตนเองเช่นนี้ด้วย
“ก็จริง” เขาได้เรียนรู้จากนาง
อาจเพราะยืนคุยแล้วเหนื่อย องค์หญิงซิ่นหยางจึงนั่งลงบนม้านั่งเยื้องกับเซวียนผิงโหว “ต่อมาข้าก็แอบเลี้ยงกองกำลังหนึ่งไว้ ต่อให้ไม่ใช้องครักษ์หลงอิ่งก็ฆ่าเขาได้ แต่ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น”
“เพราะเหตุใด” เซวียนผิงโหวหันไปมองนาง
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้มองเขา แต่มองห่าฝนนอกห้อง “ข้าพบว่าเขาป่วย ป่วยเป็นโรคที่ร้ายแรงมากๆ เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ตั้งแต่หมอหลวงในวังหลวงไปจนถึงหมอเร่ตามท้องตลาดล้วนไม่อาจรักษาเขาให้หายได้ ไม่แม้กระทั่งบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ด้วยซ้ำ หมอหลวงวินิจฉัยว่าอวัยอวะภายในของเขาล้มเหลว มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี”
“แต่หนึ่งปีผ่านไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ตาย หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปป่วยเป็นโรคร้ายแรงเพียงนี้คงได้ตายไปนานแล้ว แต่เขาอยากตายก็ตายไม่ได้ บางคราข้าก็คิดเล่นๆ ว่าเป็นเพราะสวรรค์มีตาหรือไม่ จึงส่งกรรมมาตามสนองเขาแล้ว”
“และเขาก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยร้องหาความตาย เพียงแต่จวนเหลียงอ๋องตอนอยู่ในมือเขาไม่ได้ครอบครองอำนาจที่แท้จริง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความเคารพนับถือจากฝ่าบาทที่มีต่อเขาถึงได้ดิ้นรนมาถึงทุกวันนี้ได้ หากเขาตายไป จวนเหลียงอ๋องก็จะล่มสลายอย่างสมบูรณ์ ลองถามเครือญาติเขาดูสิว่าจะยอมทิ้งความเจริญรุ่งเรืองตรงหน้าไปได้หรือไม่ พวกเขายื้อชีวิตเขาไว้โดยไม่เสียดายทุกสิ่งที่ต้องแลกไปเลยสักนิด เขาถูกคนในครอบครัวใช้ประโยชน์ ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บในบั้นปลายชีวิต อยู่แบบนี้ไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า เจ้าว่านี่ไม่ใช่กรรมสนองเขาแล้วจะเรียกว่าอะไร”
เซวียนผิงโหวขมวดคิ้วมองนาง “ฉินเฟิงหว่าน”
องค์หญิงซิ่นหยางตรัสเสียงนิ่ง “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก เขาได้รับกรรมไปแล้ว ไม่ต้องให้มือเจ้าแปดเปื้อนหรอก”
เอ่ยจบ นางก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
เซวียนผิงโหวหันรถเข็นมาหา ทอดมองแผ่นหลังนางพลางเอ่ย “ฉินเฟิงหว่าน”
“อะไร” องค์หญิงซิ่นหยางหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ
เซวียนผิงโหวตบพนักแขน หยักยกริมฝีปากแย้มยิ้ม “รถเข็นสองคัน”
หากแค่มาเพื่อช่วยเซียวเหิง เอารถเข็นมาแค่คันเดียวก็พอแล้ว
องค์หญิงซิ่นหยางหันหน้าหนีไปอย่างนิ่งเฉย “อวี้จิ่นเป็นคนเอามา”
กลางดึกคืนนั้น เซวียนผิงโหวก็หายตัวไปแล้ว
รถเข็นของเขาก็หายไปด้วย
เขายังคงใช้ทางอ้อมเดินทางไปยังจวนเหลียงอ๋องอยู่ดี
เหล่าเหลียงอ๋องยังไม่ตาย แต่ก็ใกล้แล้ว
คนในครอบครัวไปเมืองหลวงกันหมดแล้ว ยามนี้ในที่สุดเหล่าเหลียงอ๋องก็สามารถนอนหลับไปตลอดกาลเสียที
ใครจะคิดว่าในขณะที่กำลังจะตาย เขาก็เห็นยมราชชูดาบขึ้น
************************