สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 641 พ่อหนุ่มเซวียนหยวน
บทที่ 641 พ่อหนุ่มเซวียนหยวน
“ที่นี่ใช่หรือไม่”
ใต้เท้ารองจิ่งมองประตูไม้สีถลอก พลางคิดในใจว่าสมกับเป็นเด็กหนุ่มยาจกที่มาจากแคว้นล่างจริงๆ แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังทรุดโทรมถึงเพียงนี้
“ข้าไม่อยากรังแกคนแคว้นล่างหรอก แต่ใครให้เจ้าไม่ประมาณตนมาเป็นอริกับหมอเทวดามู่กันเล่า เพื่อพี่ใหญ่จะได้หายวันหายคืน จำต้องล่วงเกินเจ้าสักครั้งเสียแล้ว”
ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ยอย่างเย็นชาจนจบ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตู
นี่เป็นอุปนิสัยที่ฝังอยู่ในกระดูกเขา
แต่เพิ่งจะยกมือขึ้นเขาก็นึกได้ว่าตัวเองมาจับคนมิใช่หรือ ไม่ได้มาเชิญคนเสียหน่อย
“จับคนก็ต้องมีมาดของการจับคน!”
ใต้เท้ารองจิ่งชักมือกลับ เชิดหน้าขึ้น ผลักประตูไม้ของเรือนออกอย่างท้าทาย!
ภาพภายในเรือนก็คือ
กู้เหยี่ยนนอนป่วยออดๆ แอดๆ อาบแดดอยู่บนเก้าอี้หวาย ท่านอาวุโสเมิ่งที่เพิ่งจะฟื้นจากยานอนหลับก็กำลังนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้หวายเช่นกัน คนหนึ่งป่วยระยะสุดท้าย จะตายแหล่มิตายแหล่เต็มที อีกคนเหม่อลอย กำลังปล่อยให้ยาออกฤทธิ์
ซ้ำอาจารย์แม่หนานก็ไปสกัดยาพิษโน่นแล้ว แต่โบราณว่าไว้ไม่มีผิด เดินอยู่ริมแม่น้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร[1]
นางจามออกมาหนหนึ่ง ผงยาพิษกระเด็นเต็มหน้านาง นางโดนพิษเข้าเต็มเปา ยามนี้กำลังเท้ากำแพงพยุงตัวกระอักเลือดดำออกมา
อาจารย์หลู่เพิ่งจะทะเลาะกับเจ้าราชาม้ามา ขาขวาเป็นตะคริวไปหมด เดินกะเผลกๆ มายังหน้าบ้าน
ใต้เท้ารองจิ่งมองทั้งเด็กทั้งคนแก่บาดเจ็บล้มป่วยอยู่ในลานบ้านจนตะลึงงันไป!
นะ…นะ….นี่ก็น่าอนาถเกินไปกระมัง!
ทำเอาเขาชักจะไม่กล้าลงมือเสียแล้ว!
แต่จะว่าไปแล้ว เด็กหนุ่มนั่นล่ะ
แม้ใต้เท้ารองจิ่งจะไม่เคยเจอกู้เจียวมาก่อน แต่เขาได้ฟังฮูหยินรองอธิบายว่า เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ใบหน้าข้างซ้ายมีปานแดงอยู่
พวกคนป่วยไข้ออดๆ แอดๆ ในลานบ้านนี้ล้วนไม่ใช่เขาเลยชัดๆ
ความคิดเพิ่งจะผุดวาบ ใต้เท้ารองก็ได้ยินเสียงดังแหวกอากาศชวนผวาดังขึ้น
มีคนกำลังฝึกการต่อสู้ ซ้ำยังฝึกด้วยทวนยาวด้วย!
เสียงดังมาจากหลังบ้าน
ใต้เท้ารองจิ่งอดมองไปทางหลังบ้านไม่ได้ เขายืนอยู่นอกเรือนหน้า มีห้องโถงห้องหนึ่งขวางกั้นอยู่ จึงมองหลังบ้านทั้งหมดไม่ชัด มีเพียงร่างกู้เจียวปรากฏขึ้นหน้าประตูหลังของห้องโถงเท่านั้นเขาจึงจะได้เห็น
ทว่านี่นั่นไม่ได้ทำให้ความตกตะลึงที่มีต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ลดลงเลย
เขาฟังออกว่าวิถีทวนของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ทุกการจ้วงแทงออกไปล้วนดุจมังกรท่องทะยาน แฝงไว้ด้วยพละกำลังทะลุทะลวงขุนเขาสายธาร!
ฝีเท้าใต้เท้ารองจิ่งพลันชะงักนิ่ง
เงาร่างเด็กหนุ่มเร้นกายมาตรงหน้าประตูเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่แปลกนัก ใต้เท้ารองจิ่งกลับสัมผัสได้ถึงความดีใจที่ไม่มีมานานระลอกหนึ่ง เขาอธิบายไม่ได้เลยว่าเพราะอะไร!
เขาลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองมาจับคน เอาแต่ชื่นชมวิถีทวนของเด็กหนุ่มอยู่เงียบๆ อย่างนั้น
สิ่งที่กู้เจียวกำลังฝึกคือวิถีทวนที่ท่านเหล่าโหวสอนให้นาง ฝึกไปฝึกมา จู่ๆ นางก็ประสาทไวขึ้นมา ใช้กระบวนท่าที่ไม่เคยใช้มาก่อน
กระบวนท่านี้มีพลานุภาพสุดจะเปรียบได้ นึกไม่ถึงว่าจะพุ่งทะลุเป้าในหลังบ้านไปทางหน้าบ้านเสียได้!
ใต้เท้ารองจิ่งนัยน์ตาหดเกร็ง!
ยามนี้กู้เจียวจึงได้สังเกตเห็นคนหน้าประตู นางจะเปลี่ยนเป็นธนูก็ไม่ทันการแล้ว จึงยกเท้าเตะกระบอกลูกธนู สะเทือนให้ลูกธนูกระเด็นขึ้นดอกหนึ่ง จากนั้นนางก็เตะมันด้วยเท้า ลูกธนูชนกับทวนพู่แดงที่ทะยานออกไป เปลี่ยนทิศทางของทวนพู่แดงเสียงดังเคร้ง
ทวนพู่แดงพุ่งไปปักลงบนธรณีประตูข้างกายใต้เท้ารองจิ่ง!
ใต้เท้ารองจิ่งหนาววาบลูบลำคอไปมา อีกแค่นิ้วเดียวเขาก็จะโดนปักคาประตูแล้ว!
คนป่วยออดแอดในลานบ้านตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด มองเขาอยู่แวบหนึ่ง ก็อาบแดดต่อบ้าง ที่เหม่ออยู่ก็เหม่อต่อ ที่โดนพิษก็โดนพิษ ที่ขาชาก็ขาชาไป
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
กู้เจียวสาวเท้าเดินมาหา
เพิ่งจะฝึกซ้อมทวนเสียนานเพียงนั้น นางมีแต่เหงื่อเม็ดโตเต็มหน้า แก้มแดงระเรื่อ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายองอาจแข็งแรงของวัยหนุ่มสาวออกมา
ใต้เท้ารองจิ่งมองเด็กหนุ่มที่เดินมาหาตัวเอง พลางอดใจลอยขึ้นมาไม่ได้
ในหัวเขามีภาพของพี่เขยเมื่อหลายปีก่อนที่เดินมาหาเขาวาบผ่านขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มไม่เอาไหนที่วอนโดนกระทืบคนหนึ่งแห่งเซิ่งตูอยู่เลย มีอยู่คราหนึ่งก่อเรื่องกลางถนนถูกบุตรชายสายตรงตระกูลเซวียนหยวนจับได้คาหนังคาเขา
ตอนนั้นเขาไหนเลยจะรู้ว่าคนผู้นั้นจะกลายมาเป็นพี่เขยใหญ่ของตัวเอง ท้าทายใหญ่โตว่าจะประมือกับอีกฝ่ายร้อยกระบวน…
สุดท้ายพี่เขยใหญ่ต่อยเขาร้อยกระบวนขึ้นมาจริงๆ เขาไม่มีที่ให้โต้คืนเลยแม้แต่น้อย
วันนั้น พี่เขยเดินมาหาเขาก็มีแววตาเช่นนี้เหมือนกัน ทำให้เขานึกถึงหมาป่าดื้อรั้นขึ้นมา
ความกลัวต่ออิทธิพลจากพี่เขยใหญ่พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ ทำให้เมื่อกู้เจียวเดินมาหยุดตรงหน้าเขา เขาจึงเกร็งไปทั้งตัว!
“มาหาใครรึ” กู้เจียวจ้องเขานิ่งพลางถาม
มาหาเจ้า!
จับตัวเจ้ากลับไปให้หมอเทวดามู่ระบายความแค้น!
“ข้า…ผ่านทางมาน่ะ” ใต้เท้ารองจิ่งกระแอมในลำคอ
เห็นสีหน้ากู้เจียวเรียบนิ่งมองเขา ใจเขาพลันกระตุก “อยากจะขอน้ำดื่มสักคำ”
กู้เจียวดึงทวนพู่แดงออกจากธรณีประตู ประตูปริเสียงดังแกรก ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าใดของเดือนนี้แล้วเหมือนกัน ที่บ้านมีช่างไม้อยู่สองคน จึงไม่มีอะไรต้องกังวล
กู้เจียวถือทวนพู่แดงเข้าไปเทน้ำให้เขาในห้อง艾琳小說
ใต้เท้ารองจิ่งมองประตูไม้ข้างตัวอย่างอ่อนเปลี้ย เสียงโครมครามดังขึ้นอีกหน ประตูไม้แยกเป็นสองส่วนร่วงลงมา
ใต้เท้ารองจิ่งลูบอกตัวเองป้อยๆ แม่เจ้าโว้ย แววตานั่นช่างเหมือนพี่เขยใหญ่ของเขานัก! ตกอกตกใจหมด!
ใต้เท้ารองจิ่งหวาดกลัวพี่เขยใหญ่ฝังลึกเข้ากระดูก สวรรค์รู้ดีว่าเขาถูกพี่เขยใหญ่จัดการมากี่ครั้งกี่คราแล้ว หลังจากที่พี่เขยใหญ่เสียชีวิตในสงคราม เขาไปเก็บศพพี่เขยใหญ่มือยังสั่นไปหมด
รู้สึกแต่ว่าพี่เขยใหญ่จะฟื้นขึ้นมาจัดการกับเขาแล้วค่อยตายไปอีกหน
กู้เจียวเทน้ำเย็นยื่นมาให้เขาถ้วยหนึ่ง
ใต้เท้ารองจิ่งมองถ้วยใบเก่าผุพังนั่น ก่อนเบ้ปากอย่างรังเกียจ ไม่อยากจะดื่มมันแม้แต่อึกเดียว
แต่เมื่อใต้เท้ารองจิ่งสบเข้ากับสายตาราวกับแกะของพี่เขยใหญ่แล้ว สองมือก็ฉวยรับมากรอกลงท้องอึกๆ ทันที!
กู้เจียวเห็นเขารีบร้อนดื่มเช่นนี้จึงถาม “เอาอีกหรือไม่”
ไม่เอาอยู่แล้ว! ข้าไม่ได้มาดื่มน้ำเสียหน่อย!
“รบกวนด้วย” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย
เอ่ยจบตัวเองก็แทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด
จิ่งเฉิงเอ๋ยจิ่งเฉิง เจ้าช่วยอย่าติดอยู่กับอดีตจะได้หรือไม่ พี่เขยใหญ่ของเจ้าตายไปตั้งกี่ปีแล้ว มาเจอแววตาที่เหมือนกับเขาเจ้าก็ปอดแหกขนาดนี้ เจ้ายังเป็นท่านชายอันดับหนึ่งแห่งเซิ่งตูหรือไม่!
ไปจับเขาเสีย!
บอกเจ้าหนุ่มนั้นว่าหากกล้าล่วงเกินหมอเทวดาจวนกั๋วกงของข้า เจ้าตายแน่!
กู้เจียวเทน้ำชามที่สองมา
“ข้าเป็นคนจากจวนอันกั๋วกง!” เขาตีหน้าเคร่งเอ่ยขึ้น
กู้เจียวสองมือกอดอก มองเขาอย่างนิ่งเฉยเยือกเย็น “แล้วอย่างไรรึ”
ใต้เท้ารองจิ่งพลันใจฝ่อ “ได้ยินว่าเจ้าเคยรักษาให้พี่ใหญ่ข้า…”
พี่ใหญ่อย่างนั้นรึ
แสดงว่าคนผู้นี้ก็คือใต้เท้ารองจิ่งที่ห้ามท่านชายน้อยหนานกงก่อความรุนแรงบนถนนใหญ่เมื่อเช้านี้น่ะสิ
กู้เจียวครุ่นคิด “เจ้ามาจ่ายค่ารักษารึ”
ใต้เท้ารองจิ่งสะอึก
“ห้าร้อยตำลึง” กู้เจียวบอก “ห้ามต่อรอง”
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
…
ใต้เท้ารองจิ่งที่เดินออกจากตรอกมาขึ้นรถม้าอย่างค่อนข้างงุนงง
“เอ๊ะ เข้าใจผิดอะไรหรือไม่ ข้ามาจับคนนะ เหตุใดคนยังไม่ทันจับได้ ยังมาโดนไถเงินห้าร้อยตำลึงอีกเล่า”
คนขับรถวิ่งมาหา มองด้านหลังใต้เท้ารองจิ่ง ถาม “ใต้เท้ารอง คนที่ท่านไปจับด้วยตัวเองเล่า”
ใต้เท้ารองจิ่งถีบบั้นท้ายเขาไปที!
พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเลย!
“จะว่าไปแล้ว เหตุใดข้าเห็นเขาก็นึกถึงพี่เขยใหญ่ขึ้นมาเล่า ต้องเผากระดาษเงินไปให้พี่เขยใหญ่แล้วหรือนี่”
…
กู้เจียวไม่ได้รู้ถึงความซับซ้อนฉงนใจของใต้เท้ารองจิ่งเลย นางถือตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเข้ามาในเรือน
กู้เสี่ยวซุ่นกลับมาจากซื้อข้าวแล้ว อาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่นั้นมีคนหนึ่งโดนพิษ ขาก็เป๋ มื้อเย็นนางจึงเป็นคนทำ
นางตั้งใจว่าจะตุ๋นกระดูกหมูสักหม้อ กำลังหั่นซี่โครงอยู่เลย ท่านอาวุโสเมิ่งก็เข้าห้องมา
กู้เจียวชำเลืองมองเขา “ได้สติแล้วหรือ”
นางใช้ภาษาแคว้นเจาพูด
ท่านอาวุโสเมิ่งมองนางอย่างแปลกใจ ครู่ใหญ่จึงอ้าปาก ใช้ภาษาแคว้นเจาเอ่ยเช่นกัน “แม่หนู เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
ตอนที่เขาเพิ่งจะลืมตาขึ้นนั้นยังไม่ค่อยมีสติดี เห็นกู้เจียวหน้าตาเหมือนเด็กสาวที่เล่นหมากรุกกับเขาที่แคว้นเจา แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
อาบแดดมาตลอดทั้งบ่าย เหงื่อชุ่มเต็มตัว ฤทธิ์ยาก็หายไปไม่น้อยแล้ว
ยามนี้แน่ใจได้จริงๆ แล้ว
“อืม ข้าเอง” กู้เจียวพยักหน้า
หลังจากวันที่สองล้างหน้าล้างตาให้เขาสะอาดสะอ้านแล้ว กู้เจียวก็จำเขาได้ ว่าเขาเป็นขอทานผู้เฒ่าที่วางสถานการณ์หมากอยู่แถวๆ สมาคมหมากรุกชิงฮวน
หลังจากกู้เจียวกลับมาจากด่านชายแดนก็เคยไปหาเขาด้วย ก็นึกว่าเขาตายไปแล้วเสียอีก
กู้เจียวใช้น้ำเสียงของตัวเองจริงๆ พูดคุยกับเขา
ท่านอาวุโสเมิ่งมองกู้เจียวด้วยสีหน้าฉงน “เจ้ามาแคว้นเยี่ยนได้อย่างไร”
“เรียนหนังสือรึ” กู้เจียวถามกลับ “แล้วท่านมาแคว้นเยี่ยนได้อย่างไร”
“ขอทานกระมัง” ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย
กู้เจียว “…”
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…”
ก็…ไม่มีอะไรจะเอ่ยกันทั้งสิ้น
พวกอาจารย์แม่หนานไม่ได้รู้ว่าท่านอาวุโสเมิ่งกับกู้เจียวรู้จักกันที่แคว้นเจานานแล้ว คิดว่าท่านอาวุโสเมิ่งเป็นคนเฒ่าคนแก่ธรรมดาๆ ของเซิ่งตู
หลังทานข้าวเสร็จ ท่านอาวุโสเมิ่งก็เรียกกู้เจียวให้มาเล่นหมากรุกที่หน้าบ้าน
“หนึ่งกระดานสิบตำลึง” กู้เจียวบอก
ท่านอาวุโสเมิ่งชะงัก “ไม่สิ เหตุใดจึงยังคิดหนึ่งกระดานสิบตำลึงอยู่อีกเล่า”
กู้เจียวลังเล “เช่นนั้น…หนึ่งกระดานยี่สิบตำลึง” เป็นขอทานอยู่แคว้นเยี่ยนอาจจะหาเงินได้มากกว่ากระมัง
ท่านอาวุโสเมิ่งสะอึกจะตายแล้ว เขาหมายความแบบนี้ที่ไหน มิตรภาพยามนี้ของพวกเขา ยังต้องมีเรื่องเงินมาเกี่ยวอีกหรือ
ท่านอาวุโสเมิ่งกัดฟัน “ตะ…ติดไว้ก่อน!”
ถุงเงินของเขาทำหายไปเป็นชาติแล้ว ไม่มีเงินติดตัวเลย
กู้เจียวเอ่ย “เงินเล็กน้อยแค่นี้ ติดไว้ก่อนไม่ได้”
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…”
นี่บ้านเจ้าเรียกเงินเล็กน้อยรึ เจ้าไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างนะ แม่หนูเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร รู้หรือไม่ว่าคนควักเงินทองเป็นพันๆ ชั่งเพื่อเล่นหมากรุกกับข้า ข้ายังไม่ตกลงเลย
กู้เจียวเอ่ยต่อ “ไม่มีเงินใช้ของอย่างอื่นมาค้ำไว้ก่อนก็ได้ ที่ตัวมีของมีค่าอะไรหรือไม่ล่ะ”
น้ำเสียงเจ้านี่มันช่างเหมือนปล้นทรัพย์กันอย่างไรพิกลนะ
ท่านอาวุโสเมิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้ว ที่เขาสวมอยู่เป็นเสื้อผ้าตัวเก่าของกู้เสี่ยวซุ่น แต่ข้าวของของเขาอาจารย์หลู่ไม่ได้โยนทิ้ง เขาค้นเอาถุงผ้าไหมออกมาจากเสื้อผ้ากองหนึ่งที่ซักสะอาดแล้ว
เขาล้วงป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงไหมนั้นก่อนยื่นให้กู้เจียว “เอาไป”
กู้เจียวรับมาดู “ป้ายเหล็กแผ่นเดียวจะได้เงินสักเท่าใด”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ย “นี่หาใช่ป้ายเหล็กธรรมดาๆ ไม่ ใช้เป็นป้ายอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในได้! เจ้ามักจะแอบเข้าไปเมืองชั้นในบ่อยๆ มิใช่รึ”
เขาสลบอยู่ที่บ้านกู้เจียวมาสองวัน อย่างไรเสียก็ได้ยินเรื่องราวมาบ้าง รู้ว่าน้องชายแม่หนูนี่ป่วยหนัก แม่หนูจึงเอาแต่ตามหาหมอให้เขาไปทั่ว
“อ๋อ” กู้เจียวฝืนรับเอาไว้ “เช่นนั้นก็เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนท่านสักตาก็แล้วกัน”
ท่านอาวุโสเมิ่งแทบกระอักเลือดรอมร่อ
ป้ายคำสั่งของปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นมีค่าแค่หมากรุกตาเดียวอย่างนั้นรึ!
[1] เดินอยู่ริมแม่น้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร เปรียบเปรยว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเป็นเวลานาน ย่อมซึมซับพฤติกรรมไม่ดีมาด้วย
โหมดอ่านต่อเนื่อง