สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 650 ชัยชนะ
บทที่ 650 ชัยชนะ
พอเห็นร่างของหนานกงหลินที่ถูกเหยียบ มู่ชวนก็รีบดึงบังเหียนม้าของเขาอย่างสุดแรงเกิด
โชคยังดีที่เขาไม่ได้เร่งความเร็วมากนัก เขาจึงสามารถดึงบังเหียนและหักเลี้ยวเพื่อไม่ให้ม้าของเขาเหยียบร่างของหนานกงหลินซ้ำอีกที
กว่าเจ้าม้าจะหยุดฝีเท้าลงได้ต้องใช้ระยะราวสิบกว่าก้าว
เดิมทีมู่ชวนเห็นว่ากู้เจียวกำลังจะแย่งลูกมาจากหนานกงหลิน เขาจึงเร่งความเร็วเพื่อต้องการจะเข้าไปประกบหนานกงหลิน
ส่วนผู้เล่นของสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์ต้องการจะเข้าไปขัดขวางมู่ชวน ก็เลยเร่งความเร็วให้มากขึ้นกว่าเดิม
หารู้ไม่ว่าจะลงเอยแบบนี้
สิ้นเสียงร้องโหยหวนของหนานกงหลิน ทุกคนในสนามต่างพร้อมใจกันเงียบเสียงลง
อาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นกรรมการรีบวิ่งเข้ามายังจุดเกิดเหตุ ย่อตัวลงแล้วชำเลืองใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดของหนานกงหลิน ตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ท่านเป็นอย่างไรบ้างหนานกงหลิน”
หนานกงหลินจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ
ก็เจ็บเจียนตายน่ะสิถามได้
แม้เขาจะเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่วัยเยาว์ ผ่านความเจ็บปวดทางร่างกายมานักต่อนัก แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทรมานได้เทียบเท่ากับครั้งนี้ กระดูกซี่โครงส่วนอกราวกับยุบตัวลงมา กระดูกขายิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หักแล้วแน่ๆ …
ทุกครั้งที่เขาหายใจจะรู้สึกถึงความเจ็บแปลบทั่วอกราวกับมีคนกำลังเอามีดแทงไปที่กระบังลม
องครักษ์ลับของหนานกงหลินได้แต่ผวา
เขากล้าสาบานกับสวรรค์ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเล็งไปที่ท่านชายของเขาเลย!
กู้เจียวหยุดม้าลงก่อนจะค่อยๆ ชะเง้อลงไปมองหนานกงหลินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น “ว้า เจ้าบาดเจ็บนี่นา แล้วอย่างนี้จะแข่งต่อได้หรือไม่ขอรับ”
ฟัง ฟัง ฟัง ฟังสิ น้ำเสียงกวนประสาทแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
หนานกงหลินจ้องกู้เจียวด้วยสายตาอำมหิตแล้วเอ่ยกับกรรมการ “ฝีมือของมันขอรับ มันจงใจทำร้ายกระผม!”
กรรมการรีบหันหน้าไปทางกู้เจียว
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็จับจ้องไปที่ผู้เล่นหน้าใหม่ของสำนักบัณฑิตเทียนฉงผู้นี้
มู่ชวนรีบโต้แย้ง “นี่! หนานกงหลิน! นอกจากหน้าตาไม่ดีแล้วยังปากไม่ดีอีก! คนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงไปยุ่งอะไรกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าล้มลงมาเอง คนที่เหยียบเจ้าก็เป็นเพื่อนของเจ้าเอง เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย!”
“ขะ ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ผู้เล่นคนนั้นรีบแก้ต่างอย่างหน้าเสีย
หนานกงหลินรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เจ้าเซียวลิ่วหลังนี่สิ!
“เหตุใดจู่ๆ ถึงก้มลงไปแย่งลูกด้วยเล่า” หนานกงหลินกัดฟันถาม
มีโอกาสตั้งมากมายให้แย่งลูก ดันเลือกจังหวะตอนจะเล่นงานพอดี ก็อดคิดไม่ได้สิว่ามีพิรุธ
กู้เจียวตอบไปตามความจริง “ก็เจ้าลดความเร็วลง ข้าเลยใช้โอกาสนี้แย่งลูกอย่างไรเล่า”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึงและครุ่นคิด นั่นสินะ เมื่อครู่นี้หนานกงหลินวิ่งช้าลงจริงๆ หากไม่แย่งลูกตอนนั้น จะให้รอแย่งลูกตอนฝ่ายอีกวิ่งด้วยความเร็วหรือย่างไร
พวกสำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนี่นา!
“เจ้า…เจ้า…” หนานกงหลินยังไม่ทันเอ่ยจะจบก็กระอักเลือดออกมาโดยไม่รู้ว่าเพราะช้ำในหรือเพราะโกรธจัดกันแน่
ที่หนานกงหลินลดความเร็วลงก็เพื่อให้องครักษ์ลับเล่นงานกู้เจียวได้ง่ายขึ้น
หากจะให้แย้งกลับว่าที่อีกฝ่ายพูดมานั้นไร้เหตุผลก็คงไม่ทันเสียแล้ว ก็ว่าอยู่ทำไมเจ้านั่นถึงเล่นตามน้ำ ไม่ว่าเขาไปที่ไหน เจ้านั่นก็จะตามประกบด้วยตลอด มีจังหวะตั้งมากมายให้แย่งลูกก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่ปกติเจ้านั่นแย่งลูกเก่งจะตาย
ก็เผลอหลงคิดไปว่าตัวเองคงเก่งพอตัวที่อีกฝ่ายแย่งลูกไม่ได้…
ที่แท้ เจ้านั่นรู้ตัวอยู่แล้วแต่แรกนี่เอง
รู้ว่าเขาจงใจจะเล่นงาน เลยทำเป็นเหมือนติดกับ และแว้งกัดเขาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
แต่เขาไม่สามารถพูดเรื่องพวกนี้ออกไปได้
หากเขาเปิดโปงอีกฝ่าย ก็เท่ากับเปิดโปงตัวเองด้วยเช่นกัน
การโกงถือเป็นโทษร้ายแรง ผู้ที่ถูกลงโทษจะไม่สามารถร่วมการแข่งขันได้อีก ยังไม่นับเรื่องชื่อเสียงที่ต้องแปดเปื้อน เขาทำเช่นนั้นไม่ได้
เขาจึงต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองลงคอ
หลังกระอักเลือดเสร็จ สติสัมปชัญญะของเขาก็เริ่มพร่ามัว และเริ่มหายใจติดขัด
กู้เจียวสามารถเข้าไปช่วยได้ไหม
คำตอบคือได้ แต่นางจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ
ทำคุณบูชาโทษชัดๆ
ถ้าเมื่อครู่นี้กู้เจียวหลบไม่ทัน คนที่โดนเหยียบจนกระอักเลือดคงเป็นนางเสียเอง
มู่ชิงเฉินวิ่งเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวตอบ
มู่ชิงเฉินเหลือบมองหนานกงหลินที่ถูกหามออกจากสนาม ก่อนจะหันมาทางกู้เจียว “ตั้งใจเล่นต่อ ไม่ต้องคิดมาก”
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า
หลังจากหนานกงหลินถูกหามไป สภาพจิตใจของผู้เล่นที่เผลอเหยียบหนานกงหลินโดยไม่ตั้งใจคนนั้นก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิมและไม่สามารถแข่งต่อได้ จึงต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่น
หลังจากผ่านเหตุการณ์แย่ๆ นี้ไป ตามหลักแล้ว ผู้เล่นของสำนักบัณฑิตเทียนฉงอาจมีการได้รับผลกระทบทางจิตใจไม่มากก็น้อย
ทว่า พวกเขากลับไม่เป็นอะไรเลย
แต่ละคน…ใจแข็งแกร่งกล้ายิ่งกว่าหินผา
หลังจากการแข่งรอบที่เจ็ดสิ้นสุดลง ปรากฏว่าสำนักบัณฑิตเทียนฉงเป็นฝ่ายชนะไปยี่สิบต่อสิบเจ็ด
มาถึงรอบสุดท้าย สวี่ผิงกลับมาลงสนามอีกครั้ง
สวี่ผิงต้องทำให้ได้สามประตูจึงจะเสมอกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ในกรณีที่อีกฝ่ายมีเพียงเซียวลิ่วหลังคนเดียวหรือไม่ก็มู่ชิงเฉินคนเดียว ทว่าพอสองคนนี้อยู่ด้วยกันก็ยิ่งยากกว่าเดิม
โดยเฉพาะเจ้าเซียวลิ่วหลังคนนั้น รกหูรกตาเขายิ่งนัก!
พอเขาใช้ท่าไม้ตาย ก็กลัวว่าเจ้านั่นจะขโมยวิชา แต่ถ้าไม่ใช้ โอกาสแพ้ก็ยิ่งสูง
เขาไม่เคยเจอการแข่งครั้งไหนที่โหดเท่านี้มาก่อน
สุดท้าย เขาตัดสินใจที่จะลุยเต็มที่
จากนั้นเหตุการณ์แปลกๆ ก็เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ผู้เล่นสี่คนจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงจะไม่เข้ามาแย่งลูก แต่ยังส่งลูกให้สวี่ผิงอย่างง่ายดายอีกด้วย
“เจ้าส่งลูกแบบนั้นไม่ได้นะ เห็นไหมว่าสวี่ผิงเกือบรับไม่ได้” มู่ชวนพูดเย้ยผู้เล่นของสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์
ผู้เล่นจากสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
เดี๋ยวก่อนนะ กลยุทธ์อะไรของพวกเจ้าเนี่ย
พวกเขาจงใจต่อให้เพื่อให้กู้เจียวได้ศึกษาท่วงท่าของสวี่ผิง แม้จะให้อีกฝ่ายนำก่อนก็ไม่เป็นไร พวกเขารอได้
สวี่ผิงลมแทบจับ!
เหตุใดถึงได้รวมพลังกันทำตัวหน้าด้านเช่นนี้!
แล้วก็เป็นไปตามคาด คนที่ทำให้สวี่ผิงแพ้ได้คงมีแค่ตัวสวี่ผิงเพียงผู้เดียว กู้เจียวใช้กระบวนท่าของสวี่ผิงและร่วมมือกับมู่ชิงเฉินในการทำคะแนน และในที่สุด สำนักบัณฑิตเทียนฉงก็สามารถเอาชนะสำนักบัณฑิตชิงเย่ว์ได้ด้วยคะแนนยี่สิบสามต่อยี่สิบ
นี่อาจไม่ใช่การแข่งขันที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเชิงกลยุทธ์ และไม่ใช่การแข่งขันที่โหดหินที่สุด แต่เป็นการแข่งขันที่เป็นที่โจษจันมากที่สุดอย่างแน่นอน
ท่านชายชิงเฉินแสดงความสามารถในการเล่นได้ดีและทำให้ผู้ชมคล้อยตามได้
ผู้เล่นหน้าใหม่ของสำนักบัณฑิตเทียนฉงใช้วิธีขโมยวิชามาซึ่งๆ หน้าจนผู้เล่นจากราชสำนักแทบจะเสียศูนย์
ส่วนท่านชายหนานกงตกจากหลังม้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตและความตายของเขาไม่แน่นอน อนาคตก็เช่นกัน
แม้ว่าการแข่งขันจากสำนักบัณฑิตอื่นจะมีผู้เล่นที่โดดเด่นมากมาย แต่ทุกคนก็ดูไม่ตื่นเต้นเท่าที่คิด
นี่พวกเขาถูกบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนฉงวางยาหรือไม่
หลังจากได้เห็นกลยุทธ์การเล่นที่ไร้ยางอายของพวกเขาแล้ว ก็แทบจะดูการแข่งขันของผู้อื่นไม่ได้อีกเลย
ช่างประหลาดยิ่งนัก พวกเขาช่างประหลาดยิ่งนัก!
“ยินดีกับน้องสี่และสหายด้วยที่ได้เข้ารอบ”
ณ ห้องพักห้องใต้หลังคา ซูเฮ่าเดินมาที่ห้องรับรองของสำนักบัณฑิตเทียนฉงและกล่าวแสดงความยินดีกับมู่ชิงเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เห็นจะน่ายินดีตรงไหน รอพวกเราคว้าที่หนึ่งมาให้ได้ก่อนค่อยพูดดีกว่า!” มู่ชวนเลิกคิ้วโต้กลับ
“ที่แท้น้องของข้าก็อยากได้ที่หนึ่งนี่เอง” ซูเฮ่าหัวเราะ “เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยก็แล้วก่อน หากท่านพ่อรู้คงจะดีใจอย่างแน่นอน น้องสี่เคยพูดไว้มิใช่รึว่าจะไม่เล่นตีคลีอีก ตอนนั้นท่านพ่อรู้เข้าก็ถึงกับเศร้าอยู่นานเลยล่ะ”
“เหตุใดถึงเคยคิดจะเลิกเล่นละ” กู้เจียวสงสัย
ซูเฮ่าหันมาทางกู้เจียวพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าระรื่น “เพราะเขาเคยแพ้ให้กับคนคนหนึ่งน่ะสิ หลังจากนั้นเขาก็สาบานว่าจะไม่เล่นตีคลีอีก”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า” กู้เจียวเอ่ยกับเขา
ซูเฮ่าถึงกับเหวอ
มู่ชวนเอ่ยอย่างเหลืออด “สหายเจ้าได้รับบาดเจ็บขนาดนั้นเหตุใดถึงไม่ไปดูแลเขาล่ะ มัวมาป้วนเปี้ยนที่นี่อยู่ทำไม”
หยวนเซียวไม่พูดอะไร ได้แต่เดินไปเปิดประตูให้อย่างสุภาพ
ซูเฮ่า “…”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาประกาศรายชื่อ ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้เล่นทุกคนที่ชนะจะต้องขี่ม้าไปรอบสนาม
เมื่อถึงเวลาประกาศชื่อของสำนักบัณฑิตเทียนฉง มู่ชิงเฉิน หยวนเซียว มู่ชวน และกู้เจียวก็ขี่ม้าของพวกเขาเข้าไปในสนามประลอง
ทุกสายตาจับจ้องมาที่พวกเขา
มู่ชิงเฉินคือคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด กู้เจียวเองก็ไม่แพ้กัน
สายตาของเซียวเหิงจับจ้องไปที่กู้เจียว ขณะที่กู้เจียวเองก็หันไปมองเขาเช่นกัน
ทั้งสองสบตากันแค่ครู่เดียว ก่อนจะรีบถอนสายตาออกจากกัน
หากดูเผินๆ อาจเหมือนเซียวเหิงกำลังมองผู้เล่นของเทียนฉง ส่วนกู้เจียวกำลังหันไปทางผู้ชมตามปกติ
กู้เจียวรีบเบือนหน้าไปทางอื่น ขณะที่เซียวเหิงก็กุลีกุจอจิบชาเบาๆ
“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่าผู้เล่นหน้าใหม่ของสำนักบัณฑิตเทียนฉงผู้นั้นมองมาที่พวกเราใช่ไหม”
หนึ่งในเด็กสาวเอ่ยทักขึ้น
“จะใช่หรือ” เด็กสาวอีกคนเอ่ยตอบพร้อมกับหันไปมองที่กู้เจียว “ก็ไม่นี่นา”
“แต่ข้าว่าใช่นะ เมื่อครู่เห็นมองมาตรงนี้แวบนึง”
“คงหันไปเรื่อยๆ ละมั้ง”
“แปลว่า เขาไม่ได้มองมาที่สาวงามของพวกเราสินะ”
“ในที่สุดก็มีคนที่เมินนางแล้วสิ!”
เด็กสาวทั้งสามพากันหัวเราะชอบใจ
เซียวเหิงจิบชาเงียบๆ พลางคิด หารู้ไม่ สายตาที่มองมาแวบเดียวคู่นั้นเต็มไปด้วยความถวิลหาและยับยั้งชั่งใจมากเพียงใด
…
ขณะเดียวกัน เสี่ยวจิ้งคงก็กำลังบอกลาเจ้าสำนักและ ’เพื่อนใหม่’ ที่เพิ่งเจออย่างกู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยน
เสี่ยวจิ้งคงแอบหวังเล็กๆ ว่ากู้เจียวจะเข้ามา ‘ทำความรู้จัก’ กับเขา แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาไม่ควรพบเจอกันบ่อยๆ ให้ใครเห็น
การที่เขาได้มาเจอกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นในลักษณะนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
“ท่านลุงเจ้าสำนัก ข้าขอตัวก่อนล่ะ ไว้ครั้งหน้าข้าจะมาเล่นกับพวกท่านใหม่นะ!”
เจ้าสำนักเสินหัวเราะอย่างเบิกบานพร้อมกับยื่นมือลูบศีรษะน้อยๆ ของเจ้าตัวเล็ก “ดีเลย ครั้งหน้าเจ้าต้องมาให้ได้นะ”
เสี่ยวจิ้งคงเดินออกไปพร้อมกับกอดจานผลไม้แน่น พยายามข่มความคะนึงที่เขามีต่อกู้เจียวเอาไว้
เจ้าสำนักเสินพากู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นลงจากอัฒจันทร์ แล้วไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตหลิงโป
“พวกเจ้าไม่โชคดีตลอดไปหรอก!”
ผู้เล่นคนหนึ่งของอู่เย่ว์โพล่งขึ้น
เขาต้องการจะยั่วโมโหกู้เจียวและคนอื่นๆ
“ไม่รู้ว่าพวกเราโชคดีไหม แต่ที่แน่ๆ คือโชคไม่เข้าข้างพวกเจ้า แค่รอบแรกก็หมดสิทธิ์แข่งต่อแล้ว!” มู่ชวนโต้กลับ
หยวนเซียวเสริมทัพ “แต่สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์เขาไม่ได้มากับดวงนะ เขามากับความสามารถ”
ความสามารถที่ทำให้พ่ายแพ้น่ะสิ
เจ้าพวกนี้ พูดจาแทงใจดำกันเกินไปแล้วนะ
ผู้เล่นจากสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์โกรธจนพูดไม่ออก ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับควันที่ออกหู
“ไม่ต้องรีบนะ ข้าไม่ไปส่งหรอก!” มู่ชวนยิ้มเอ่ยโบกมือให้ “คราวนี้ได้แก้เผ็ดสักที จากที่ก่อนหน้าพวกเราถูกพวกมันกลั่นแกล้งมาตลอด เสียดายที่มากันไม่ครบ ไม่อย่างนั้นได้เจอดีทั้งกลุ่มแน่!”
มู่ชิงเฉินเหลือบมองอย่างหมดคำจะพูด ก่อนจะหันมาหากู้เจียว “เจ้าจะขี่ม้ากลับหรือนั่งรถม้ากลับ”
“ขี่ม้า”
ในรถม้าอุดอู้จะตาย
พวกเขาบางส่วนเตรียมขึ้นหลังม้า รอเจ้าสำนัก กู้เหยี่ยน และคนอื่นๆ ขึ้นรถม้าจนครบแล้วทุกคนจึงออกเดินทาง
“เป็นอย่างไรบ้าง ไหวไหม” กู้เจียวหันไปถามกู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนที่กำลังเอามือเท้าขอบหน้าต่างรถก็รีบพยักหน้าให้ “อื้อ สนุกมากเลย ไว้คราวหน้าข้าจะมาอีก”
กู้เจียวขมวดเชือกบังเหียนพลางตอบผู้เป็นน้อง “ได้เลย”
ณ อีกฝั่งหนึ่ง ใต้เท้ารองจิ่งก็กำลังนั่งรถม้ากลับไปที่จวน
วันนี้เขาช่างอิ่มเอมใจยิ่งนัก นอกจากจะได้ดูการแข่งขันที่แสนจะดุเดือดแล้ว ยังได้นั่งใกล้สาวๆ ที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักอีกด้วย
ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกนางก็รู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง
ชีวิตมันต้องแบบนี้สิ!
“อากาศร้อนนัก” ใต้เท้ารองจิ่งเปิดหน้าต่างรถแล้วเลิกม่านขึ้น
ด้วยความที่เขาและพี่ใหญ่เป็นบุรุษ จึงไม่ต้องกลัวการเปิดเผยใบหน้าให้ใครเห็น
อากาศร้อนมากจนเขาต้องขยับเก้าอี้ไปใกล้ๆ ประตูแล้วโบกพัดอย่างสุดแรงเกิด
และบังเอิญที่พวกเขาเจอกับขบวนของเจ้าสำนักเสินพอดี
ทั้งเจ้าสำนักเสินและมู่ชิงเฉินจำรถม้าของกั๋วกงได้ เจ้าสำนักจึงขอให้หยุดขบวนรถและโค้งคำนับให้พวกเขา “ท่านกั๋วกง ใต้เท้ารองจิ่ง”
มู่ชิงเฉินเองก็เช่นกัน
ด้วยอากาศที่ร้อน ใต้เท้ารองจึงไม่พิธีรีตองอะไรมากในการทักทายพวกเขา
ทว่า มือของกั๋วกงกลับสั่นขึ้นอีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่ใต้เท้ารองไม่ทันสังเกตเห็น
“เช่นนั้น ขอตัวก่อนนะขอรับ” เจ้าสำนักเสินเอ่ย
“ไว้เจอกันใหม่” ใต้เท้ารองเอ่ยตอบ
เจ้าสำนักเสินหันไปทางกู้เจียวแล้วเอ่ย “ไปกันเถอะ”
แล้วพวกรถม้าของพวกเขาก็สวนผ่านกันไปคนละทาง
แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่านกั๋วกงที่นั่งเป็นอัมพาตบนรถเข็นจู่ๆ ก็มีเส้นเลือดดำผุดขึ้นมาบนหน้าผาก ก่อนจะยกมือฟาดใส่ใต้เท้ารองจิ่งอย่างรุนแรง
“อ๊ะ!”
ใต้เท้ารองจิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวก็เกิดเสียหลักจนร่างของเขากลิ้งตกจากรถม้าและมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้ากู้เจียว
ใต้เท้ารองจิ่งล้มหน้าคว่ำลง “…”
พี่ใหญ่ ไยท่านต้องแกล้งน้องรุนแรงเช่นนี้ด้วย
กู้เจียวมองคนตรงหน้าที่ล้มไม่เป็นท่า ก่อนจะหันไปมองในรถม้าและเห็นกั๋วกงที่อยู่ในสภาพตกจากรถเข็น
แม้เขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ทว่าตาและปากของเขากำลังขยับ
ราวกับเขาต้องการจะบอกว่า เขาล้ม ล้มได้อนาถมากเลยเสียด้วย!