สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 674-2 เจียวเจียวจอมอันธพาล (2)
บทที่ 674 เจียวเจียวจอมอันธพาล (2)
นักบวชที่มีรอยแผลหกวงแหวนเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า รอบตัวแผ่ไอสังหารรุนแรงออกมา
สองแขนเขาโบกขึ้น เอ่ยเสียงเหี้ยม “ไอ้หนู! รนหาที่ตายรึ!”
ใต้เท้ารองจิ่งบนอัฒจันทร์มือพลันสั่น น้ำชาหกราดเต็มหัวพี่ใหญ่เขา “แย่แล้ว เป็นท่าไม้ตายเส้าหลิน ใช้ลมปราณเข้าสู่ร่างกาย หอกดาบฟันแทงไม่เข้า!”
กู้เจียวตีลูกขึ้นกลางอากาศ ตบมือบนอานม้าเพื่อทะยานตัวขึ้น นางตีลังกาหนหนึ่ง แล้วใช้ไม้ตีลูกที่กำลังตกออกไปอย่างแรง!
นักบวชรอยแผลหกจุด “ร่างทองคงกระพัน!”
ตูม!
“อ้ากกก” นักบวชรอยแผลหกจุดหน้าตาเหยเก ลิ้นห้อยกระเด็นลอยไปเลย
กู้เจียวพาดไม้ไว้บนบ่า “ร่างทองคงกระพันอะไรของเจ้า”
“นี่” มู่ชิงเฉินเรียกกู้เจียว ใช้สายตาพยักเพยิดไปที่จำนวนธงใกล้ๆ กับแท่นกรรมการ “เล่นจนพอหรือยัง”
ช่วงสุดท้ายแล้ว ยังเหลืออีกตั้งเก้าแต้มแหน่ะ
กู้เจียวเลียมุมปากอย่างยังไม่หายอยาก
เล่นไม่พอก็คงไม่ได้แล้ว พวกนักบวชจะฝืนกันไม่ไหวแล้ว
กู้เจียวใช้เรี่ยวแรงตัวเองไปกับเพลิงโทสะและพลังกายของนักบวชเส้าหลินหมดแล้ว หลังจากนี้สำนักบัณฑิตเทียนฉงจะเริ่มใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดแล้ว พวกนักบวชเส้าหลินสองมือไม้สั่นกันหมด แม้แต่ไม้ตียังแทบจะโบกไม่ไป สุดท้ายเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันสำนักบัณฑิตเทียนฉงจึงชนะไปด้วยคะแนนสามสิบต่อสิบ
ภายในห้องปีกข้างของอาคาร กู้เจียวจัดการบาดแผลให้พวกมู่ชิงเฉิน แข่งมาตั้งหลายนัดเพียงนี้ มีเพียงนัดนี้ที่บาดเจ็บสาหัสที่สุด แต่ละคนแขนแทบจะชาดิก ฝ่ามือถลอกปอกเปิกหมด
แขนของมู่ชวนมีผ้าพันแผลห้อยคอไว้ เป็นลูกมือให้กู้เจียวเป็นระยะ ช่วยส่งยาทาแผลให้ “นักบวชเส้าหลินกลุ่มนี้ลงมือเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว”
นักบวชเส้าหลินที่เพิ่งถูกหามผ่านหน้าประตูฝีเท้าพลันเซวูบ
ใครมันลงมือเหี้ยมโหดกันแน่
พวกเจ้าออกจากสนามมายังกระโดดโลดเต้นได้ พวกข้าแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินเหินยังไม่มีเลยโว้ย
นักบวชเส้าหลินอนาจจริงแท้ ถูกพวกทหารคุ้มกันหามเข้ามาในห้องปีกข้าง
พวกเขามากันทั้งหมดห้ารูป ไม่มีใครหน้าใสไร้รอยฟกช้ำกันสักรูป มีแต่บวมเป่งเป็นหัวหมูกันหมด
พวกเขานั่งเปลี้ยพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้กันอย่างหงุดหงิด แม้แต่นิ้วก็ยังกระดิกไม่ได้
ทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ก็ถูกคนถีบเสียงดังปัง เด็กหนุ่มสีหน้าเย็นเยียบดุจเทพอสูรปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู
พวกเขาพากันสะดุ้งโหยง!
เขามาแล้ว เขามาแล้ว เขามาพร้อมกับไอสังหารเลย!
กู้เจียวใช้ไม้ฟาดลงฝ่ามือตัวเองไปมา พร้อมกับปรายตามองพวกเขา แล้วถาม “ใครส่งพวกเจ้ามา”
พวกเขาต่างตกใจ หันมองหน้ากันไปมา
กู้เจียวส่งเสียงอ้อ “ทำไมรึ ไม่ยอมบอกอย่างนั้นรึ”
“คุณชายชิงเฉิน”
เสียงทหารคุ้มกันของสำนักบัณฑิตหลิงโปลอยมาจากหน้าประตู “หมอมาแล้วขอรับ”
มู่ชิงเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว ข้าเชิญหมอมาแล้ว เข้าไปรักษาให้พวกนักบวชสำนักบัณฑิตเส้าหลินเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถิด หมอ…จะดูแลพวกเขาอย่างดี”
พวกนักบวชเส้าหลินพากันเบิกตากว้างโต
อย่าเพิ่งไป! อย่าไปนะ!
“เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”
ทหารคุ้มกันพาหมอกลับไป
พวกนักบวชเส้าหลินต่างมองกู้เจียวกันอย่างหมดหวัง กู้เจียวโคลงศีรษะ พลางยิ้มน้อยๆ
…
กู้เจียวออกมาจากห้องปีกข้าง ใช้ไม้คลีเกาหลังแกรกๆ “ฮู่~”
หมู่นี้มู่ชิงเฉินมักจะถูกการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนางดึงดูดสายตา และรู้สึกว่านางน่ารักพิกล
ความคิดนี้มันแปลกทีเดียว
มู่ชิงเฉินสลัดความคิดวุ่นวายออกจากหัวอย่างเด็ดขาด ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถามเสร็จแล้วรึ”
“อื้ม” กู้เจียวพยักหน้า “พวกเขาไม่ใช่นักบวชเส้าหลินตัวจริง เป็นแค่ยอดฝีมือที่แฝงตัวเข้ามาในเส้าหลิน แอบเรียนวิชาของเส้าหลิน และแอบใช้มันเพื่อตระกูลขุนนาง”
มู่ชิงเฉินค่อนข้างแปลกใจกับผลสรุปเช่นนี้ “ตระกูลไหน”
กู้เจียวเอ่ย “ตระกูลหัน”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นตระกูลหัน… ดูท่าครานี้พวกเขาจะมาเพราะตระกูลมู่ มิน่าเล่าพอเปิดฉากมาก็ทำร้ายมู่ชวนถึงขนาดนั้น”
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ พลางคิดในใจ หากเจ้าจะพูดแบบนี้ให้ได้ ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้
มู่ชิงเฉินเอ่ย “ตระกูลหันกับตระกูลมู่สะสมความแค้นกันมายาวนาน แต่ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพวกเขาจะกล้าใช้การแข่งขันตีคลีมาลงมือกับข้าและมู่ชวน”
กู้เจียวลูบจมูกไปมา
สถานการณ์นี้ เหมือนควรต้องถามสักหน่อยว่าพวกเขามีความแค้นอะไรกันหรือเปล่านะ
ก็ได้ เห็นแก่ที่เจ้ายอมรับเคราะห์ จะถามให้ก็ได้
“ตระกูลหันกับตระกูลมู่มีความแค้นอะไรต่อกันรึ”
“แรกเริ่มคือเรื่องอำนาจทหาร” เรื่องเกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวน มู่ชิงเฉินจึงค่อนข้างระมัดระวัง แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าให้กู้เจียวฟัง “ตอนนั้นตระกูลเซวียนหยวนคิดกบฏ หลังจากพ่ายแพ้อำนาจทางการทหารก็ถูกแบ่งเป็นสี่ มีตระกูลหันและตระกูลมู่ที่หมายตาทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลเซวียนหยวนไว้ สุดท้ายทหารม้าเฮยเฟิงถูกตระกูลหันแย่งชิงไปได้ เพื่อดึงตระกูลมู่มาเป็นพวก จวนองค์รัชทายาทจึงให้ตระกูลหันกับตระกูลมู่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ในนามของกุ้ยเฟย ใครจะคิดว่าก่อนวันงานหนึ่งวัน นึกไม่ถึงว่าบุตรชายสายตรงของตระกูลหันกับลูกพี่ลูกน้องหญิงของตัวเองจะแอบหนีไปด้วยกัน ด้วยความโมโหตระกูลมู่จึงถอนหมั้น”
นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน้ำเน่าเช่นนี้ด้วย
“แต่ว่ากันว่า…ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ”
“อะไรรึ”
“บิดาของหันซื่อจื่อ ท่านชายใหญ่ตระหูลหัน… กับท่านลุงใหญ่ข้า… ต่างเคยอยากเป็นสวามีขององค์หญิง”
“สวามีรึ” กู้เจียวเพิ่งจะเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก “วังหลังขององค์หญิงน่ะรึ”
มู่ชิงเฉินชะงัก “อ่า จะ…จะเรียกแบบนั้นก็คงได้”
องค์รัชทายาทมีพระชายา องค์หญิงย่อมมีสวามี
ก่อนจะเกิดเรื่องตระกูลเซวียนหยวน องค์หญิงเป็นรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ซ้ำยังสิริโฉมงดงาม ใครจะไม่อยากเป็นสวามีของนางบ้างเล่า
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวลือ และลุงของเขาก็ไม่เคยยอมรับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
กู้เจียวถาม “แล้วสุดท้ายใครเป็นคนได้เป็นสวามีขององค์หญิงล่ะ”
มู่ชิงเฉินส่ายหน้า “องค์หญิงไม่มีสวามี”
กู้เจียวถามโดยสัญชาตญาณ “เช่นนั้นนางก็ไม่มีลูกน่ะสิ”
มู่ชิงเฉินเอ่ย “กลับมีอยู่คนหนึ่ง องค์หญิงเคยหายตัวไปหลายปี ตอนกลับมาข้างกายมีโอรสเพิ่มมาคนหนึ่ง เด็กคนนั้นโตกว่าหมิงจวิ้นอ๋องหนึ่งเดือน ไม่มีใครรู้ว่าบิดาของเด็กคนนี้เป็นใคร แต่หากเป็นลูกขององค์หญิง ก็ย่อมเป็นสายเลือดราชวงศ์”
“หมิงจวิ้นอ๋องอายุเท่าใดหรือ” ถามจบกู้เจียวก็แปลกใจตัวเอง นางจะไปสนใจทำไมว่าหมิงจวิ้นอ๋องอายุเท่าใด
“อ่อนกว่าข้าไม่กี่เดือน สิบเก้าเท่ากัน” มู่ชิงเฉินเอ่ย
สิบเก้า…เซียวเหิงก็สิบเก้า
“หลังจากนั้นเล่า” กู้เจียวถาม
มู่ชิงเฉินทอดมองแมกไม้ภายในสวน ก่อนเอ่ยอย่างเนิบช้า “ต่อมาก็เกิดเรื่องกับตระกูลเซวียนหยวน องค์หญิงเหมือนจะเข้าร่วมในนั้นด้วย นางถูกปลดเป็นสามัญชน ส่งไปเฝ้าสุสานกษัตริย์ที่กวนซาน พระนัดดาองค์โตก็ร่วมเสด็จไปด้วย วรกายของพระนัดดาไม่แข็งแรงมาตลอด ว่ากันว่าถูกคนวางยาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตำหนักกั๋วซือทุ่มเทแรงไปมากมายจึงได้รักษาชีวิตเขาเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทำร้ายถึงแก่นแล้ว เมื่อสองปีก่อนจึงมีข่าวลือว่าพระนัดดากำลังจะสิ้นพระชนม์ในไม่ช้า”
“เจ้าเคยเห็นพระนัดดาองค์โตหรือไม่” กู้เจียวถาม
มู่ชิงเฉินส่ายหน้าอีกหน “พระนัดดาองค์โตติดตามองค์หญิงไปเฝ้าสุสานกษัตริย์ตั้งแต่ยังเยาว์ นอกจากทุกๆ สองปีจะกลับมารักษาตัวที่ตำหนักกั๋วซือแล้ว ก็แทบจะไม่อยู่ที่เซิ่งตูเลย ข้าไม่มีโอกาสได้พบหน้า”
กู้เจียวคล้ายคิดอะไรบางอย่างอยู่
มู่ชิงเฉินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ย “เมื่อหลายปีก่อนเคยมีข่าวลือเกี่ยวกับพระนัดดาองค์โตออกมา”
กู้เจียวถาม “ข่าวลืออะไรรึ”
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ย “เห็นว่าพระนัดดาองค์โตไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขจริงๆ ขององค์หญิง”