สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 674-3 เจียวเจียวจอมอันธพาล (3)
บทที่ 674 เจียวเจียวจอมอันธพาล (3)
“พี่สี่! ลิ่วหลัง! เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่กันอีกเล่า การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้วนะ!”
มู่ชวนห้อยแขนคล้องคอเดินมาหา
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซวียนหยวน หรือองค์หญิง ความจริงต่างเป็นสิ่งต้องห้ามของเมืองเซิ่งตู ไม่สามารถเอ่ยถึงกันตามอำเภอใจได้ มู่ชิงเฉินไม่ได้มีทีท่าจะให้มู่ชวนเข้าร่วมวงสนทนาอย่างเห็นได้ชัด เขามองกู้เจียวแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ไปกันเถิด ไปดูแข่งกัน”
กู้เจียว “เอาสิ”
จากนี้เป็นการแข่งขันระหว่างสำนักบัณฑิตหลิงโปกับสำนักบัณฑิตเจียหนาน นักกีฬาตีคลีของทั้งสองสำนักบัณฑิตล้วนมากฝีมือ เทียบกับการก่อความวุ่นวายสารพัดแบบของกู้เจียวแล้ว ลีลาการแข่งขันตีคลีนัดที่สองดูปกติธรรมดากว่าอย่างเห็นได้ชัด
พวกกู้เจียวนั่งลงข้างกายเจ้าสำนักเฉิน ซูเสวี่ยกับคุณหนูรองซูก็อยู่ด้วย
“คิกคิก” ซูเสวี่ยลอบชำเลืองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายพี่สี่ ก่อนจะก้มหน้าหัวเราะคิกคัก
คุณหนูรองซูมองแม่คนไร้เดียงสาข้างกายตัวเองอย่างหมดคำจะพูด ก่อนจะขยับไปอีกด้านอย่างเงียบๆ
นางต้องนั่งให้ไกลหน่อย จะได้ไม่โดนน้องสาวแพร่เชื้อใส่
ที่ว่ากันว่าคนนอกวงการมาดูความคึกคัก คนวงในมาดูฝีมือนั้น บรรยายกาศการลงสนามของสำนักบัณฑิตเทียนฉงมักจะพุ่งสูงเสมอ แต่สำนักบัณฑิตหลิงโปกับสำนักบัณฑิตเจียหนานเป็นการอุทิศสุดยอดทักษะที่ดีที่สุดที่เคยมีการแข่งขันมาเลย
มู่ชิงเฉินรับหน้าที่เป็นผู้บรรยายประจำตัวกู้เจียว “สำนักบัณฑิตหลิงโปเป็นสำนักบัณฑิตอายุร้อยปีของเซิ่งตู สำนักบัณฑิตเจียหนานเป็นสำนักบัณฑิตที่จัดตั้งโดยตำหนักกั๋วซือ ได้ยินว่าชื่อนี้กั๋วซือก็เป็นคนตั้งด้วย”
กู้เจียวลูบคาง “มิน่าถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้”
มู่ชิงเฉินไม่เข้าใจ “ชื่อนี้มันทำไมรึ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก” กู้เจียวเอ่ย
ความสนใจของมู่ชิงเฉินกลับมาที่สนามตีคลีอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้พวกเขาออมมือกันไว้ วันนี้เรียกได้ว่าทุ่มเทเต็มที่แล้ว นี่สิถึงจะเป็นฝีมือที่แท้จริงของพวกเขา”
ทั้งสองฝ่ายล้วนแข่งกันอย่างใสสะอาด ไม่มีลูกไม้สกปรกใดๆ ทั้งสิ้น
ฝีมือการเล่นของสำนักบัณฑิตเทียนฉงห่างชั้นกับพวกเขามาก การด้นสดตรงนั้นไม่อาจเอามาใช้กับพวกเขาได้
อันจริงแล้ว สำนักบัณฑิตเทียนฉงสามารถผ่านเข้ามาในรอบสุดท้ายได้ก็มหัศจรรย์แล้ว แน่นอนว่าโชคดีที่ได้การก่อความวุ่นวายของคนบางคน
มู่ชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นัดต่อไป โอกาสชนะของพวกเรามีไม่มาก ช่วงนี้ต้องฝึกหนักกันหน่อยแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เดิมทีก็ไม่ได้อยากชนะอยู่แล้ว”
มู่ชิงเฉินมองนางอย่างประหลาดใจ
กู้เจียวกระแอมในลำคอ ก่อนเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “พวกเราอย่ากดดันตัวเองเกินไป การเรียนก็หนักหน่วงเพียงนี้แล้ว อย่าสร้างความกังวลเพิ่มอีก ได้ที่สองก็ไม่แย่แล้ว!”
ล้อเล่นหรือไร รางวัลของที่สองเป็นทองคำหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ ใครจะไปอยากเข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งแคว้นกันล่ะ!
นางจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามชนะขาดลอยเลย!
มู่ชิงเฉิน “…”
ช่างเป็นคนไร้ความทะเยอทะยานอะไรเช่นนี้!
เมื่อการแข่งขันจบลง สำนักบัณฑิตหลิงโปพ่ายแพ้ไปอย่างน่าเสียดายด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียงสองแต้มเท่านั้น
สำนักบัณฑิตหลิงโปเป็นสำนักบัณฑิตของเสี่ยวจิ้งคง กู้เจียวจึงรู้สึกเสียดายแทนอีกฝ่ายเล็กน้อย
สองวินาที มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เมื่อแยกย้ายกัน คนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงกับสำนักบัณฑิตเจียหนานก็มาเจอกัน
สมกับเป็นบัณฑิตที่ตำหนักกั๋วซือคัดเลือก แต่ละคนพลังเต็มเปี่ยม องอาจห้าวหาญ
คนของสำนักบัณฑิตเจียหนานนำเกียรติยศอันสูงส่งมาให้ตำหนักกั๋วซือ และไม่คิดจะผูกมิตรกับสำนักบัณฑิตเทียนฉงด้วย ทำเพียงเดินเฉียดไหล่กันไปอย่างนิ่งๆ
จู่ๆ กู้เจียวก็เอ่ยกับพวกเขา “ข้าเล็งพวกเจ้าไว้แล้ว นัดต่อไปตั้งใจแข่งล่ะ อย่าได้อ่อนข้อเด็ดขาด! ที่หนึ่งเป็นของพวกเจ้าแน่!”
ทุกคนในสำนักบัณฑิตเจียหนาน “…”
ทุกคนในสำนักบัณฑิตเทียนฉง “…”
…
“พี่สี่!”
ซูเสวี่ยยกชายกระโปรงสาวเท้าวิ่งมาหา นางมองกู้เจียวอย่างเร็วๆ แสร้งทำเป็นเอ่ยกับมู่ชิงเฉิน “พี่สี่ ไม่ทันไรพวกท่านก็จะกลับกันแล้วรึ”
มู่ชิงเฉินมองนาง
ซูเสวี่ยแววตาเป็นประกายวาบ เอ่ย “ข้าหมายความว่า…ท่านได้กลับเมืองชั้นในมาอย่างหาได้ยาก ข้าไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายวันแหน่ะ ยามนี้ใกล้จะถึงมื้อเที่ยงแล้ว ไม่สู้ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า ใกล้ๆ นี้มีหอสุราเปิดใหม่อยู่ร้านหนึ่ง ข้าเคยไปกินกับพี่รอง ใช่หรือไม่พี่รอง”
คุณหนูรองซูเพิ่งจะมาถึงก็โดนซูเสวี่ยถามแล้ว นางจึงชะงัก “อะไรรึ”
มู่ชิงเฉินถอนหายใจเบาๆ หันมามองสหายข้างกาย “พวกเจ้ากลับไปกันก่อนเถิด”
ดวงตาเรียวยาวของซูเสวี่ยถลึงโต “ไม่ใช่ พี่สี่!”
มู่ชิงเฉินไม่มีทางพาน้องสาวทั้งสองไปร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับชายชาตรีพวกนี้เด็ดขาด แต่เขาก็เพิกเฉยต่อคำวิงวอนของน้องสาวไม่ได้ ตัวเองจึงต้องรั้งอยู่
ซูเสวี่ยจึงตาปริบๆ มองกู้เจียวกับพวกมู่ชวนพลิกตัวขึ้นหลังม้าจากไป เม้มปากน้อยใจจนปากจะแบนหมดแล้ว
มู่ชิงเฉินมองน้องสาวที่ใกล้จะร้องไห้ออกมารอมร่ออย่างฉงน เขาถาม “ไหนเจ้าอยากกินข้าวมิใช่รึ”
ใครอยากกินข้าวกับท่านที่ไหนเล่า!
ซูเสวี่ยกระทืบเท้า เดินหนีไปอย่างโมโห!
ทางด้านกู้เจียวหลังจากออกจากสำนักบัณฑิตหลิงโปแล้ว ความจริงก็ไม่ได้กลับไป “ข้า…ไปซื้อของหน่อย พวกเจ้ากลับไปก่อนเลย อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
มู่ชวนถาม “ต้องให้รอเจ้าหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ย “ไม่ต้อง ข้าตามทันได้”
มู่ชวนตกลง “ได้ เช่นนั้นพวกเราไปก่อนนะ”
“เกิดอะไรขึ้นรึ” เจ้าสำนักเฉินถามขึ้น
มู่ชวนขี่ม้ามาหยุดข้างรถม้าเขา เอ่ย “ลิ่วหลังบอกว่าเขาจะไปซื้อของขอรับ ให้พวกเราไปก่อนเลย เดี๋ยวเขาตามมา”
เจ้าสำนักเฉินเอ่ย “เขาไม่มีตราอาญาสิทธิ์เมืองชั้นใน”
หากตามไม่ทันก็จะออกจากเมืองไม่ได้ ช่างเถิด ก็แค่รอเขาตรงหน้าประตูเมืองแล้วกัน
กู้เจียวขี่ม้าไปทางสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน เมื่อผ่านตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่งเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้านใน กู้เจียวไสม้าไป พลิกตัวลงจากหลังม้า ยื่นบังเหียนให้คนขับรถ
คนขับรถกระจ่าง จูงม้าเดินหลบมา
กู้เจียวขึ้นไปบนรถม้า
“เร็วทีเดียว” เซียวเหิงยิ้มจาง
กู้เจียวเอ่ย “มาตามนัดของสามี จะสายได้อย่างไรเล่า”
เซียวเหิงยกนิ้วเรียวดุจหยกขึ้นเกลี่ยจอนผมนาง “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เข้าใจเสียแล้ว”
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “สายตาของคนงาม ข้าเข้าใจอยู่แล้ว!”
เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ เลื่อนปลายนิ้วมาประคองมือนางขึ้นมา “บาดเจ็บหรือไม่”
ต่อให้เขาไม่เข้าใจการตีคลีก็ยังมองออกว่าสถานการณ์วันนี้มันแปลก
กู้เจียวส่ายหน้า “ข้าไม่ได้บาดเจ็บ”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซียวเหิงถามด้วยความเป็นห่วง
กู้เจียวเล่าเรื่องที่หัวเช่อมาหานางเพื่อจะเอาม้า สุดท้ายถูกนางต่อยไปยกหนึ่งให้ฟัง “…นักบวชพวกนั้นเป็นคนของตระกูลหัน”
เซียวเหิงคล้ายคิดบางอย่าง “มิน่าวันนี้ซื่อจื่อตระกูลหันก็มาด้วย”
กู้เจียวถาม “ซื่อจื่อตระกูลหันมาด้วยรึ”
“อืม มาด้วยกันกับหมิงจวิ้นอ๋อง” เซียวเหิงเอ่ย “ข้าเคยถามสาวใช้ของหมิงจวิ้นอ๋อง คนผู้นั้นคือซื่อจื่อตระกูลหัน และเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหันเช่อด้วย”
กู้เจียวลูบคาง “อ๋อ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามา”
“นี่ก็จะเที่ยงแล้ว จิ้งคงน่าจะเลิกเรียนแล้ว ข้าต้องไปรับเขา” เซียวเหิงเอ่ย เห็นกู้เจียวยิ้มตาหยี ท่าทางจะทำอะไรบางอย่าง จึงเอ่ย “เจ้าคงไม่ได้คิดจะไปหาเรื่องเขาหรอกกระมัง”
“ไม่อยู่แล้ว” กู้เจียวตาโต เชื่อฟังอย่างยิ่ง
เซียวเหิงมองกระสอบที่นางรีบคว้าไปไว้ข้างหลัง “…”