สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 685 พบกับองค์หญิง
บทที่ 685 พบกับองค์หญิง
ระหว่างทางที่กู้เจียวกับอาจารย์แม่หนานกำลังเดินกลับบ้าน อาจารย์หลู่ตามหาพวกนางจนเจอ
เขาเห็นกู้เจียวกำลังพยุงอาจารย์แม่หนานอยู่ ผ้าคลุมหน้าอาบเลือด จึงตกอกตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ “อาเซียง เจ้าเป็นอะไรไป!”
หนานเซียงเหลือบมองเขาพลางเอ่ย “อย่าตะโกนเสียงดังนักสิ เดิมทีไม่ได้เป็นอะไร แต่จะเป็นก็เพราะตกใจเสียงเจ้านี่แหละ”
อาจารย์หลู่ตกใจจนเอ่ย “ไม่ใช่สิ เจ้ากระอักเลือดปานนี้! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าตอบไม่ไหวก็ให้เจียวเจียวตอบสิ!”
กู้เจียวมองไปทางอาจารย์แม่หนาน
อาจารย์แม่หนานถอนหายใจพลางเอ่ย “เอาละ เอาละ อย่าลำบากเด็กเลย ข้าเจอฉีเซวียนน่ะ”
อาจารย์หลู่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “ฉีเซวียนไหน ศิษย์พี่ฉีของเจ้าคนนั้นหรือ”
อาจารย์แม่หนานตอบ “ใช่ คนนั้นแหละ”
อาจารย์หลู่ตกใจมาก “เขามาเมืองเซิ่งตูหรือ ศิษย์สำนักถังจะออกมาจากสำนักตามอำเภอใจได้อย่างไร”
อาจารย์แม่หนานตอบ “การปรากฏตัวของเขานั้นขัดต่อกฎของสำนักถังจริงๆ แต่นั่นเป็นเรื่องของเขากับสำนักถัง ไม่ใช่เรื่องของข้า”
อาจารย์หลู่ถาม “เขาไม่ได้มาจับเจ้ากลับไปหรอกกระมัง”
อาจารย์แม่หนานส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ใช่ เขามาเพื่อเค้นเอาวิชาลับจากข้า เมื่อครู่เขาสามารถประมือกับเจียวเจียวต่อได้แท้ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ข้าเดาว่าเขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ ไม่เช่นนั้นคงหาเรื่องพวกเราไม่หยุด ช่วงนี้เขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะ”
อาจารย์หลู่ทำหน้าสงสัย “เจ้าเข้าใจเขาขนาดนั้นเชียวหรือ”
อาจารย์แม่หนานยิ้มขมขื่น “อย่างน้อยก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปี ข้าก็ยังพอรู้จักเขาบ้าง ไม่ต้องกังวลแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
ทั้งสามคนกลับมาถึงเรือน
อาจารย์แม่หนานกินยาแก้อาการบาดเจ็บภายในเล็กน้อยแล้วกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
กู้เจียวก็กลับไปที่ห้องของนางเช่นกัน
นางนอนอยู่บนเตียง นึกถึงยามที่นางต่อสู้กับฉีเซวียนเมื่อครู่
นางรู้สึกว่าฉีเซวียนเป็นยอดฝีมือตัวจริง และนางเองก็ไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้คือนักบวชรูปงาม จากนั้นคือคนหัวขโมยที่กล้าโจมตีนักบวชรูปงาม และตอนนี้ก็มีฉีเซวียนอีกคนหนึ่ง แคว้นเยี่ยนชักจะสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ
“การเดินทางมาแคว้นเยี่ยนครั้งนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ”
“ท่านพี่ นอนแล้วหรือ”
เสียงของกู้เสี่ยวซุ่นดังขึ้นที่หน้าประตู
กู้เจียวลุกขึ้นนั่ง แหวกผ้าม่านออก “เข้ามาสิ”
กู้เสี่ยวซุ่นผลักประตูเข้ามา เดินมาที่เตียงของกู้เจียว แล้วยื่นอะไรบางอย่างให้นาง
กู้เจียวรับมาดู ก็พบว่าเป็นลูกบอลไม้ขนาดเท่าหัวเด็กทารก “อะไรหรือ…”
กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “นี่คือลูกกลมกลไล เอาไว้ป้องกันตัวนะ” เขาเกาศีรษะแก้เก้อก่อนจะเอ่ยพลางหัวเราะ “เป็นกลไกที่อาจารย์สอนข้าทำ แต่ข้าดัดแปลงมันนิดหน่อย วิธีใช้ก็คล้ายกับไข่มุกเพลิงดำของท่านพี่เลย โยนออกไปก็พอ กลไกจะทำงานเมื่อมีแรงเหวี่ยง จากนั้นเข็มพิษที่อยู่ด้านในก็จะยิงออกมาจากรูแต่ละรู”
กู้เจียวมองดูเจ้าลูกกลมพลางเอ่ย “ทั้งลูกมีแต่รูเต็มไปหมด โจมตีได้ทุกทิศทางแบบไม่มีมุมอับเลยสินะ”
กู้เสี่ยวซุ่น ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจว่าพี่สาวพูดอะไร แต่ดูเหมือนพี่จะกำลังชมข้าอยู่นะ
กู้เสี่ยวซุ่นกางมืออีกข้างออก ยื่นปลอกลูกกลมขนาดเล็กออกมา “เผื่อว่าเผลอทำตกแล้วยิงใส่ตัวเอง สวมปลอกมันเข้าไปก็ไม่เป็นไรแล้ว”
กู้เจียวยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างจริงใจ “เสี่ยวซุ่นเก่งจริงๆ ”
กู้เสี่ยวซุ่นถูกชมจนหน้าแดง “อันนี้แค่ลูกกลมกลไกระดับเริ่มต้น ท่านพี่ใช้ไปก่อนนะ ถ้าข้าทำอันที่ดีกว่านี้ได้ ข้าจะเอามาให้พี่”
กู้เจียว “ได้เลย”
…
วันรุ่งขึ้น กู้เจียวที่ลาป่วยไปหลายวัน ในที่สุดก็กลับไปเรียนที่สำนักบัณฑิต
นางเดินเข้าไปในห้องเรียน ก็ผู้คนก็เข้ามารายล้อมทันที
โจวถงและจงติ่งเบียดอยู่ข้างหน้า
ทั้งสองคนเอ่ยพร้อมกัน “ลิ่วหลัง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
กู้เจียวยังไม่ชินกับการที่คนมาห้อมล้อมนางแบบนี้ แต่พอเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย นางจึงไม่เอ่ยปัดพวกเขา
นางตอบ “ไม่เป็นอะไรแล้ว หายดีแล้ว”
จงติ่งเอ่ย “กู้เสี่ยวซุ่นบอกว่าเจ้าป่วยหนักมาก นอนป่วยอยู่หลายวัน ข้าตกใจมากจึงอยากจะไปเยี่ยมเจ้า แต่เขาบอกว่าเจ้าเป็นโรคฝีดาษ เป็นโรคติดต่อ ข้าเลยไม่ไปดีกว่า”
กู้เสี่ยวซุ่นเคยเป็นโรคฝีดาษมาก่อน เขาจึงจำประสบการณ์ของตัวเองมาใช้โกหกได้
โจวถงเอ่ยด้วยความโล่งอก “โรคฝีดาษเป็นโรคอันตรายมาก เจ้าเอาชนะมันมาได้ โชคดีที่ยังไม่ตาย”
กู้เจียวเอ่ย “ก็พอไหว”
มู่ชิงเฉินไม่ได้มาวันนี้ แต่มู่ชวน หยวนเซี่ยว และจ้าวเวย ได้ยินข่าวว่ากู้เจียวมาเรียน พวกเขาจึงรีบวิ่งมาจากห้องเรียนของตัวเอง
ตอนนี้ยังไม่เข้าเรียน
สามคนแอบเข้ามาทางด้านหลังห้องเรียน
“ขอยืมที่นั่งหน่อยนะสหาย” หยวนเซี่ยวเอ่ยกับโจวถงที่นั่งอยู่ข้างหน้ากู้เจียว
“ได้ ได้” โจวถงไม่กล้ายุ่งกับนักแข่งตีคลี จึงรีบขยับที่นั่งให้
จ้าวเวยจ้องไปที่บัณฑิตที่นั่งข้างๆ เขา “ยังเหลือที่นั่งอีกนะสหาย”
บัณฑิตคนนั้นก็รีบคว้ากระเป๋าหนังสือแล้วเดินออกไป
หยวนเซี่ยวและจ้าวเวยนั่งอยู่แถวหน้าของกู้เจียว พวกเขาหันกลับมามองกู้เจียวตรงๆ มู่ชวนก็นั่งลงที่ที่นั่งด้านซ้ายของกู้เจียว ซึ่งเดิมเป็นของมู่ชิงเฉิน
ทั้งสามคน หกดวงตา ต่างก็จ้องมองกู้เจียว
กู้เจียวปิดหนังสือที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง “มีอะไรรึ มองข้าเหมือนลิงเชียว”
“เจ้าผอมลง” มู่ชวนเอ่ย
“อืม” กู้เจียวพยักหน้าเบาๆ
มู่ชวนเอ่ยเบาๆ “เจ้าเป็นโรคฝีดาษจริงๆ หรือ”
กู้เจียวตอบอย่างจริงจัง “จริง”
มู่ชวนจู่ๆ ก็ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากของกู้เจียว จากนั้นลูบขึ้นลงบนหน้าผากของตัวเอง “ไม่ร้อนแล้ว เจ้าหายเร็วนะ พี่ชายข้าตอนเด็กๆ ก็เป็นโรคฝีดาษ ป่วยอยู่สิบกว่าวันเลยล่ะ”
กู้เจียวตอบโดยไม่สะทกสะท้าน “ข้าหายเร็ว”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน
จ้าวเวยมองไปที่หยวนเซี่ยว “เจ้าพูดสิ”
หยวนเซี่ยวมองไปที่จ้าวเวย “เจ้าพูดสิ”
มู่ชวนยกมือขึ้น “ช่างเถอะ อย่าเถียงกันแล้ว ข้าพูดเองก็แล้วกัน”
จ้าวเวยและหยวนเซี่ยว “…” พวกข้าสองคนไม่ได้เถียงกันสักหน่อย!
กู้เจียวมองทั้งสามอย่างประหลาดใจ
มู่ชวนกระแอมให้โล่งคอพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกข้าสามคนนอกจากจะมาหาเจ้าแล้ว ยังมีข่าวสองเรื่องมาบอกเจ้า หนึ่งเรื่องดี หนึ่งเรื่องร้าย เจ้าอยากฟังเรื่องไหนก่อน”
กู้เจียวตอบโดยไม่คิด “เรื่องร้าย”
ทั้งสามคนต่างก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
มู่ชวนฝืนยิ้ม “เอ่อ… คือว่า…ช่วงที่เจ้าป่วย…พวกข้าแข่งกับสำนักบัณฑิตเจียหนานแล้ว”
หยวนเซี่ยวรีบเอ่ย “อะไรกัน ช่วงนี้ ก็คือเมื่อวานนี้!”
กู้เจียวมองดูทั้งสามคน “พวกเจ้าอยากจะบอกว่าเรื่องร้ายคืออะไร”
มู่ชวนเอ่ยอย่างอับอาย “ข้าแพ้ ข้าทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังเลยสักนิด!”
พวกเจ้าเป็นวีรบุรุษ!
ข้าภูมิใจในตัวพวกเจ้า!
กู้เจียวเอ่ยอย่างร่าเริง “ข่าวดีคืออะไร”
หนึ่งหมื่นสองได้มาอยู่ในมือแล้ว ยังมีเรื่องดีอื่นอีกหรือ เป็นไปได้ไหมว่าได้รับทองคำเพิ่มอีกหนึ่งพันสองร้อย
มู่ชวนยืดหลังตรง “เรื่องดีก็คือ แม้ว่าข้าจะแพ้ แต่จากการเจรจาอย่างหนักหน่วงของข้า ในที่สุดคนในสำนักบัณฑิตเจียหนานก็ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนรางวัลกับข้า ไม่นานข้าก็จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว! ฮ่าๆ ข้าเก่งมากไหมล่ะ!”
กู้เจียวกำหมัดชกลงไป ศีรษะของมู่ชวนกระแทกโดนโต๊ะ!
เก่งอะไรล่ะ!
ใครมันจะอยากเข้าเฝ้าฮ่องเต้!
เอาทองคำข้าคืนมา
ตลอดทั้งวัน รังสีอาฆาตแผ่ไปอบอวลไปทั่วทั้งห้องเรียน
กู้เจียวนั่งหน้าดำคล้ำเครียดอยู่ที่โต๊ะเรียนของนาง ห้องเรียนทั้งห้องกลายเป็นสนามรบเล็กๆ ของนางไปแล้ว
ห้องหมิงซิน บัณฑิตทั้งหมดถือหนังสือไว้ในมือ ตัวสั่นด้วยความกลัว
อีกฝั่ง เซียวเหิงเพิ่งส่งจิ้งคงกลับสำนักบัณฑิตหลิงโป
เขาขอลาที่สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันแล้ว
เขาผลการเรียนดี สอบได้อันดับหนึ่งทุกวิชา และเป็นบัณฑิตอาจารย์เห็นแววที่สุด ต่อให้เขาขอลาหลายวันติดกัน ก็ไม่มีอาจารย์คนไหนปฏิเสธเขา
เขาจะออกไปเมืองชั้นนอกเพื่อดูกู้เจียวว่ากลับมาแล้วหรือยัง
หลังจากขึ้นรถม้า เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าพลางเอ่ย “ออกนอกเมือง”
คนขับรถม้าเป็นคนรับใช้ที่เขาซื้อมา และรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย และรู้ด้วยว่าเมื่อใดที่เขาบอกว่าจะออกจากเมือง เขาจะต้องออกทางประตูเมืองชั้นในทิศใต้
คนขับรถม้ามุ่งรถม้าไปทางใต้
เมื่อเดินผ่านร้านเก่าแก่แห่งหนึ่ง เซียวเหิงเอ่ยกับคนขับรถม้า “หยุดก่อน ข้าจะแวะซื้อของ”
“ขอรับ” คนขับรถม้าหยุดรถที่ข้างถนน
คนขับรถม้าอยากจะเอ่ยว่าเขาสามารถวิ่งไปซื้อให้ได้ แต่จากการสังเกตของเขา เวลาซื้อของให้คนรอบข้าง ท่านชายผู้นี้จะเลือกเองเสมอ
เซียวเหิงไปซื้อเนื้อแดดเดียวให้กู้เจียว รสชาติเนื้อแดดเดียวของร้านนี้ถูกปากกู้เจียวนัก
ช่วงนี้คนเข้าร้านไม่มากนัก เซียวเหิงเลยสั่งทั้งสองรสชาติ
เนื้อรสเผ็ดขายหมดแล้ว และเจ้าของร้านก็กลับไปด้านหลัง “ท่านชายกรุณารอสักครู่! ไม่นานก็เสร็จแล้วขอรับ!”
เซียวเหิงรออย่างอดทน หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนเดินเข้ามารอซื้อเนื้อแดดเดียว
บัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย “นี่ เจ้าได้ยินข่าวหรือไม่ องค์หญิงกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ถาม “กลับมาแล้วหรือ ทำไมข้าไม่รู้”
ชายวัยกลางคนเดินเข้ามายิ้มพลางเอ่ย “พวกเขาไม่ได้จัดพิธีแห่ต้อนรับองค์หญิง ดังนั้นถูกแล้วที่เจ้าไม่รู้ ว่าแต่… นางเป็นองค์หญิงไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้ทรงปลดนางไปนานแล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังออกพระราชโองการด้วย”
บัณฑิตหนุ่มลดเสียงลงเล็กน้อย “แต่ข้าได้ยินมาว่าคำสั่งดั้งเดิมของฮ่องเต้คือให้นำองค์หญิงกลับมา”
“ปาก… แค่ก” ชายวัยกลางคนปิดปาก
สิ่งที่เขาอยากจะพูดก็คือ ฮ่องเต้คงจะพลั้งปากไปกระมัง องค์หญิงถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว และบัดนี้แคว้นเยี่ยนก็ไม่มีองค์หญิง มีแต่องค์ชายเท่านั้น
ขณะที่หลายคนกำลังเอ่ยคุยกัน จู่ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจากถนนสายยาวด้านหลังพวกเขาอย่างช้าๆ
รถม้าคันใหญ่โต ลากด้วยม้าหกตัว มีองครักษ์สี่นายคุ้มกันรอบทิศ
ว่ากันตามตรงจำนวนองครักษ์ไม่นับว่าเยอะ แต่ม้านี้หกตัว เป็นกฎของราชวงศ์
เซียวเหิงได้ยินเสียงชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ อ้าปากค้าง “นั่นองค์หญิงนี่!”
อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งเอ่ยถึงจะปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงตื่นตระหนก ทุกคนจึงได้ยินคำร้องอุทานว่าองค์หญิงเมื่อครู่
ทุกคนรีบหันไปทางรถม้า
เพราะคนเยอะเกินไป เซียวเหิงไม่สนใจที่จะเข้าร่วมมุงดู เขาได้รับเนื้อแดดเดียวจากเจ้าของร้าน ก่อนหันหลังเดินจากไป
ทว่าเหล่าผู้คนที่อยากจะยลโฉมองค์หญิงนั้นจนตื่นเต้นเกินเหตุ เบียดผลักจนกระแทกเขาเข้าอย่างจัง!
เขาไม่ทันได้ระวังตัวจึงสะดุดล้มลงตรงหน้ารถม้า