สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 694 กั๋วซือกลับมา (1)
บทที่ 694 กั๋วซือกลับมา (1)
“ไม่ใช่”
กู้เจียวปฏิเสธ
มู่ชิงเฉินมองนางอย่างเย็นชา พยายามหาช่องโหว่และพิรุธที่อาจมีเพียงน้อยนิดจากแววตานาง ทว่ากลับทำมู่ชิงเฉินต้องผิดหวังเสียแล้ว
หากให้กู้เจียวแสดงบทรักแรงเกลียดแรงอะไรเทือกนั้น คนดูคงได้ตาบอดเสียก่อน แต่ให้นางแสดงบทไม่เผยพิรุธนั้น บทนี้นางแสดงได้แนบเนียนนัก
ช่องโห่วรึ
ไม่มีทาง
เพียงแต่ว่า กู้เจียวจะมีพิรุธหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกันกับที่มู่ชิงเฉินจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มู่ชิงเฉินไม่ใช่คนหลอกง่ายอย่างหลี่ซานเต๋อ ไม่มีจุดบอดเชิงตรรกะในแนวคิดของเขาเลย
เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีทางได้รับผลกระทบจากกู้เจียวได้
เขากำด้ามกระบี่ในมือแน่น สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เจ้าไม่มีทางช่วยหนานกงลี่หรอก ในที่เกิดเหตุเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือเจ้าฆ่าเขา!”
มู่ชิงเฉินคบหากับเพื่อนร่วมชั้นของตนมานานนมเพียงนี้ รู้จักอีกฝ่ายดุจฝ่ามือตัวเองยังไม่ต้องพูดถึง กลับสามารถมองออกว่าเขาไม่ใช่คนใช้ความเมตตาตอบแทนความแค้นอยู่แล้ว
เขาทั้งมีปัญหากันกับหนานกงลี่แต่แรก จะเสี่ยงโดนจับเป็นมือสังหารไปช่วยชีวิตหนานกงลี่ได้อย่างไร
ไม่แทงหนานกงลี่ซ้ำอีกดาบก็นับเป็นความเมตตาของสหายร่วมชั้นคนนี้แล้ว
กู้เจียวแบมือ “เจ้าว่าใช่ก็ใช่”
มู่ชิงเฉินกำด้ามกระบี่ในมือแน่นไม่หยุด โทสะของเขาพวยพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด อันที่จริงเขาอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังโมโหอะไร โมโหที่เขาทำชั่วในเซิ่งตู สังหารแม่ทัพมีชื่อของแคว้นเยี่ยน หรือว่าโมโหที่เขาปิดบังอะไรตนมากมายมาโดยตลอด ไม่เคยจริงใจสัตย์ซื่อเลย
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามาแคว้นเยี่ยนเพื่อการใด”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร
มู่ชิงเฉินยิ่งโมโห เมื่อเทียบกับการทะเลาะใหญ่โตกับตน ซักถามตนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อกันนั้น ท่าทีที่อีกฝ่ายไม่อยากพูดอะไรสักอย่างแบบนี้มันชวนคลั่งมากกว่าอีก
มู่ชิงเฉินกัดฟันกรอดเอ่ย “เหตุใดเจ้าจึงไม่พูด เจ้ายอมรับหรือไร”
กู้เจียวมองเขา ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “หากไม่มีอะไร ข้าขอตัวเข้าไปก่อน ถ้าจะทะเลาะเอาไว้วันหลัง ข้าไม่อยากลงมือหน้าบ้าน”
เอ่ยจบ กู้เจียวก็หันหลังยกมือดันประตูเรือนโดยไม่สนใจมองกระบี่ยาวที่พาดบนคอตัวเองแม้แต่น้อย
มู่ชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นนะ! วันนี้เจ้าไม่พูดให้รู้ความ ก็อย่ามาโทษว่าข้าลงมือกับเจ้าแล้วกัน!”
กู้เจียวไม่สนใจเขา นางผลักประตูเปิดแล้ว
เมื่อเห็นว่ากู้เจียวเหมือนไม่แยแสกับคำข่มขู่และเพลิงโทสะของตัวเอง ในใจของมู่ชิงเฉินก็เกิดเดือดดาลขึ้นมาอย่างประหลาด เขายกกระบี่ยาวในมือขึ้น แทงไปที่แผ่นหลังของกู้เจียว
กู้เจียวไม่อยากสู้กับมู่ชิงเฉิน จึงทำเพียงเบี่ยงกายหลบ
มู่ชิงเฉินกลับมุ่งมั่นจะบีบให้กู้เจียวลงมือ เพียงไม่นานเขาก็ออกท่ากระบวนที่สอง
บังเอิญในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าน้อยๆ เร่งเร้าก็ลอยมาจากในเรือน วิ่งตึงตังมาหน้าประตู
“เจียวเจียว เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
แอ๊ดดด
ประตูเรือนถูกเปิด ศีรษะน้อยของเสี่ยวจิ้งคงเยี่ยมออกมา!
มู่ชิงเฉินแววตาสั่นไหว รีบเก็บกระบี่ทันที!
แต่ยังคงมีปราณกระบี่ที่ยังเก็บไม่ทัน
ประตูเรือนแง้มเป็นช่องเล็กๆ หากคว้าตัวคนออกมา คนก็จะบาดเจ็บ หากผลักคนเข้าไป ก็จะล้มอีก
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว กู้เจียวเร้นกายเดินขึ้นหน้า โน้มตัวลงบังเสี่ยวจิ้งคง ขวางปราณกระบี่สายนั้นเอาไว้
มู่ชิงเฉินเดิมทีไม่ได้คิดจะสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังเก็บไปกว่าครึ่งแล้ว นี่เป็นเพียงปราณกระบี่ที่เหลือสายหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น แผ่นหลังกู้เจียวก็ยังโดนฟันเป็นแผลอยู่ดี
เสื้อผ้าฉีกขาด เผยให้เห็นผิวเนียนบริสุทธิผุดผ่อง และผ้ารัดทรวงอกของนางอันแน่นหนา
มู่ชิงเฉินตกตะลึงไปเล็กน้อย เขารู้สึกเพียงว่าผิวพรรณเนียนละเอียดนั่นสว่างจนตาพร่ามัว นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีเวลามาพินิจอย่างละเอียดว่าผ้าที่พันบนตัวนางนั้นคืออะไร
เขาหันหลังกลับ สมองอื้ออึงโดยไม่ทราบสาเหตุ
เสี่ยวจิ้งคงไม่เห็นมู่ชิงเฉินที่อยู่นอกประตู เขานึกว่ามีแค่กู้เจียวคนเดียว จึงคิดจะเรียกเจียวเจียวอีกหน แต่โดนกู้เจียวยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากน้อยๆ ของเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา
มู่ชิงเฉินอยากจะหันหลังมา แต่ก็ข่มไว้อย่างน่าประหลาด เขากำกระบี่ยาวไว้ในมือ เอ่ยเสียงเบา “ข้าต้องสืบหาความจริงให้ได้ หากเจอหลักฐานแล้ว ถ้าเป็นเจ้าจริงๆ ข้าไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”
เอ่ยจบ เขาก็ถือกระบี่สาวเท้าเข้าสู่รัตติกาลมืดดำด้วยแววตาลุ่มลึก
กู้เจียวปิดประตูเรือน ไม่ให้เสี่ยวจิ้งคงเห็นแผ่นหลังของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กน้อยได้เป็นห่วงอีกแน่
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะเอ่ย “เจียวเจียว เมื่อครู่นี้ข้างนอกนั่นเป็นใครหรือ เขาพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ”
“ไม่มีอะไรหรอก สหายร่วมชั้นที่มาส่งข้าน่ะ” กู้เจียวลูบหัวน้อยๆ ของเขา “เจ้ามาได้อย่างไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “สำนักบัณฑิตหยุด พี่เขยเลยมาส่งข้า!”
กู้เจียวถาม “พี่เขยเจ้าก็อยู่รึ”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า แบมือเอ่ย “ตอนกลางวันเขาอยู่ ยามนี้ออกไปแล้ว เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับข้า หรือไม่พี่เฉิงเฟิงก็จะมารับข้า!”
เซียวเหิงมาส่งเสี่ยวจิ้งคงไว้ที่นี่โดยเฉพาะ คงมีธุระสำคัญต้องจัดการเป็นแน่
กู้เจียวเดาได้ถูกต้องนัก เซียวเหิงไปจัดการธุระจริงๆ
กู้เฉิงเฟิงก็อยู่ด้วย
เซียวเหิงไปส่งเสี่ยวจิ้งคงไว้กับทางกู้เจียวเป็นอย่างแรก ส่งมอบถึงมืออาจารย์แม่หนานกับอาจารย์หลู่แล้ว ก็ไปยังสำนักบัณฑิตเทียนเซียง กลับเมืองชั้นในด้วยกันกับกู้เฉิงเฟิง
อันที่จริงกู้เจียวก็ไม่ได้บอกแผนการลอบสังหารในวังหลวงกับใคร แต่เซียวเหิงเดาเองได้
สองคนที่รู้จักกู้เจียวดีที่สุดในโลกนี้ คนหนึ่งคือกู้เหยี่ยน อีกคนก็เซียวเหิงนี่ล่ะ
ตั้งแต่วินาทีที่หนานกงลี่ออกจากเมืองไปหากู้เจียว ทั้งคู่ก็จับตาดูเขาเอาไว้แล้ว
กู้เฉิงเฟิงแอบติดตามรถม้าของเขาอยู่ห่างๆ มาตลอดทาง ส่วนเซียวเหิงมาส่งเสี่ยวจิ้งคงไว้กับอาจารย์แม่หนานและอาจารย์หลู่ก่อน
หลังจากที่หนานกงลี่ออกจากสำนักบัณฑิตเทียนฉง ก็มุ่งตรงไปวังหลวงทันที
กู้เฉิงเฟิงกับเซียวเหิงไม่กล้าไล่ตามไปใกล้เกิน โชคดีที่หนานกงลี่กลัวจะโดนคนจับได้จึงไม่กล้าจอดรถม้าไว้ใกล้วังหลวงมากเกินไป
หนานกงลี่ติดต่อกับขันทีของวังหลวงคนหนึ่ง ซ่อนอยู่ในกล่องวัตถุดิบที่จับจ่ายซื้อมาเพื่อลักลอบเข้าไปในวัง
ส่วนทหารองครักษ์คนสนิทของหนานกงลี่รั้งรออยู่บนรถม้า
ข่าวการเสียชีวิตของหนานกงลี่ไม่ได้แพร่ออกไปเร็วเท่าใดนัก จนกระทั่งย่ำสนธยา ทหารองครักษ์คนสนิทจึงได้ฟังจากปากคนเดินถนนผ่านไปมาบอกว่าแม่ทัพหนานกงถูกคนสังหารที่วังหลวง
คนอื่นไม่รู้เส้นสนกลใน แต่ทหารองครักษ์คนสนิทจะไม่รู้ได้หรือ
หนานกงลี่จะไปสังหารบัณฑิตสำนักบัณฑิตเทียนฉงคนนั้น หากบอกว่าเกิดเรื่องกับหนานกงลี่ เช่นนั้นคงถูกบัณฑิตคนนั้นสังหารตายแน่แล้ว!
ทหารองครักษ์คนสนิทรีบขับรถม้าหมายจะไปแจ้งข่าวให้กับคนตระกูลหนานกง
บนถนนใหญ่ลงมือลำบาก
เซียวเหิงกางแผนที่ของเมืองชั้นในออก พลางเอ่ยกับกู้เฉิงเฟิง “ไปทางตะวันออก”
กู้เฉิงเฟิงขับรถม้าเอ่ย “เจ้าอย่าดูพลาดเชียวนะ!”
เซียวเหิงเอ่ย “ไม่ผิดหรอก”
พวกเขาทะลุตรอกแห่งหนึ่งไปทางตะวันออก บังเอิญรถม้าของทหารคุ้มกันคนสนิทวิ่งสวนมาพอดี ทหารองครักษ์คนสนิทคล้ายสังเกตเห็นว่าตัวเองโดนจ้องอยู่ จึงหันกลับไปใช้อีกตรอกแทน
เซียวเหิงทอดมองทิศทางของตรอกนั้นพลางเอ่ย “กลับรถไปทางถนนหนานอวี้”
ในที่สุดทั้งสองก็ขวางหน้าทหารองครักษ์คนสนิทไว้ได้ตรงหัวมุมถนนหนานอวี้
จัดการเขาเรียบร้อย ก็จะไม่มีใครรู้ว่าหนานกงลี่เข้าวังมาในวันนี้เพื่อการใดแล้ว