สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 705 พ่อลูกเซวียนหยวน (1)
บทที่ 705 พ่อลูกเซวียนหยวน (1)
ยามบ่ายอันเงียบสงัด
ทั้งคนทั้งม้าต่างได้มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจอย่างสงบสุข
กู้เจียวเดินไปที่บ่อน้ำเพื่อเอาผ้าไปซัก
อากาศฤดูร้อนของแคว้นเยี่ยนชื้นกว่าแคว้นเจา ทำให้กู้เจียวผู้ซึ่งอยู่ในสภาพรัดหน้าอกยิ่งรู้สึกร้อนกว่าเดิมจนอยากจะเป็นลมให้ได้
กู้เจียวแขวนเสื้อผ้าที่ซักแล้วทีละชิ้นไว้บนเชือกเพื่อตากให้แห้ง ขณะกำลังตากผ้าได้ครึ่งทาง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากด้านนอกประตู
ตอนแรกกู้เจียวไม่คิดจะสนใจ ทว่าเสียงกีบม้าเจ้ากรรมดันหยุดลงที่หน้าประตูเรือนพอดิบพอดี
แวบแรกกู้เจียวคิดว่าเป็นกู้เฉิงเฟิง
สวีเฟิ่งเซียนจากหอเทียนเซียงคุมเขาไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะกู้เฉิงเฟิงเป็นคนที่ชอบเดินทางอย่างอิสระมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเหตุใดกู้เจียวถึงไม่คิดว่าคนที่มาเป็นเซียวเหิง นั่นก็เพราะช่วงนี้เขาต้องระวังตัวเป็นพิเศษ
แม้เซียวเหิงจะไม่พูดอะไร แต่กู้เจียวก็พอเดาภาพรวมทุกอย่างได้ วันนั้นเขาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจหมิงจวิ้นอ๋องเพื่อให้กู้เจียวจับตัวท่านชายใหญ่หันเข้าถุงกระสอบ แน่นอนว่าท่านชายใหญ่หันจะต้องคิดได้และสงสัยการกระทำของเซียวเหิง
แต่ในเมื่อเขาไม่มีหลักฐานอะไร และไม่อาจปรักปรำหมิงจวิ้นอ๋องโดยพละการได้ จึงได้แต่ส่งคนไปจับตาดูเซียวเหิงเท่านั้น
แต่ไม่นาน กู้เจียวก็ได้ยินเสียงเกือกม้าที่มากกว่าหนึ่งตัว
ไม่ใช่กู้เฉิงเฟิงอย่างแน่นอน
นี่มันเสียงของทหารม้าชัดๆ
อาจารย์แม่หนานตื่นขึ้นพอดีและได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก จึงสวมผ้าคลุมหน้าแล้วเดินไปเปิดประตู “นั่นใครรึ”
ทันทีที่เอ่ยจบ อาจารย์แม่หนานเป็นอันต้องตกใจกับภาพตรงหน้า
รถม้าหรูหราพร้อมทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งปรากฏหน้าเรือน พอประตูรถม้าถูกเปิดออก ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ แต่งกายหรูหราพร้อมทั้งอาวุธที่ทรงพลังก็ก้าวลงจากรถม้า
ชายหนุ่มเต็มไปด้วยรังสีแห่งความเย็นชาและอำมหิต พวกเขาไม่ได้มาดีแน่นอน
อาจารย์แม่หนานเพ่งมองอย่างสงบนิ่ง “พวกเจ้าเป็นใครกัน”
ท่านชายใหญ่หันแลมองสตรีในหน้ากากผ้าเล็กน้อย ตอนแรกเขาไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับนางด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงของนางดึงความสนใจของเขา
“แน่ใจนะว่าเป็นที่นี่” เขาเอ่ยถามทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้วขอรับท่านชายใหญ่ วันนั้นพวกข้าเดินทางไปที่ศาลากลางเพื่อตามหาราชาม้าเฮยเฟิง ทว่าได้พบกับโจรหนุ่มสองสามคนที่ถูกควบคุมตัว พวกเขาบอกว่าพบม้าสีดำที่ทรงพลังมากในเรือนหลังนี้”
ม้าสีดำที่ทรงพลัง
อย่าบอกนะว่า…
ดวงตาของอาจารย์แม่หนานฉายแววประหลาดใจ หรือว่าชายผู้นี้จะเป็นเจ้าของราชาม้าเฮยเฟิง
ท่านชายใหญ่หันหันมามองอาจารย์แม่หนาน พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุขุม “ที่นี่มีม้าอย่างที่เข่าไหม”
อาจารย์แม่หนานชะงักงัน
จากนั้นท่านชายใหญ่หันเดินเข้ามาในอาณาเขตเรือนอย่างไม่เกรงใจ
อาจารย์แม่หนานยกมือห้ามไว้ในทันที “ใครอนุญาตมิทราบ”
“สามหาว! เอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากท่านชายใหญ่เดี๋ยวนี้!” ทหารองครักษ์พุ่งตัวเข้าหาอาจารย์แม่หนานทันที
จากนั้นทหารองครักษ์ก็ง้างมือเตรียมจะตบอาจารย์แม่หนาน ด้วยความที่อาจารย์แม่หนานไร้วิทยายุทธ์จึงไม่อาจหลบได้ทัน
แม้นางจะเก่งเรื่องยาพิษและอาวุธลับ ทว่าการถูกจู่โจมกะทันหันในระยะประชิดแบบนี้ช่างยากต่อการรับมือ
วินาทีที่ฝ่ามือของทหารองครักษ์กำลังลอยกลางอากาศและกำลังจะพุ่งเข้าไปที่พวงแก้มของอาจารย์อาจารย์แม่หนาน จู่ๆ ก็เกิดลู่ลมดังขึ้นกลางอากาศ รู้ตัวอีกทีหัวไหล่ของทหารยามก็ปักด้วยลูกธนูก่อนที่ร่างของเขาจะเซล้มลงไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน!
ท่านชายใหญ่หันย่นคิ้วลงทันที คาดไม่ถึงว่าจะมีคนยิงธนูอย่างอุกอาจในที่แบบนี้
แถมยังไวมากเสียด้วย!
ทหารองครักษ์คนอื่นๆ รีบชักกระบี่ออกมา
ท่านชายใหญ่หันหันหน้าไปทางห้องโถงพร้อมกับนัยน์ตาฉงนสนเท่ห์
ก็เจอกับกู้เจียวในอาภรณ์ชายหนุ่มพร้อมกับคันธนูในมือที่เดินปรากฏตัวออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใคร
“เจ้าเองรึ” ท่านชายใหญ่หันเอ่ย
กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น ต่างฝ่ายต่างจำกันได้ในทันที
แม้พวกเขาจะไม่เคยพบเจอกันซึ่งๆ หน้า ทว่าท่านชายใหญ่หันเคยดูการแข่งของกู้เจียว ส่วนกู้เจียวเองก็เคยจับเขายัดลงถุงกระสอบ พวกเขาจึงจำใบหน้าของกันและกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต่างมีคดีที่ค้างต่อกันเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องที่พวกตระกูลหันทำร้ายกู้เฉิงเฟิง เรื่องหันเช่อบุกมาที่เรือนเพื่อจะมาขโมยม้าของนาง ไหนจะเรื่องที่ท่านชายใหญ่หันสั่งให้พระวัดเส้าหลินทำร้ายเพื่อนของนาง ขณะที่กู้เจียวเคยทำร้ายร่างกายพี่น้องตระกูลหัน
เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ควรอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน
นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววเย็นชาทันที
“เซียวลิ่วหลัง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง!” ท่านชายใหญ่หันเอ่ย
กู้เจียวยกมือลูบคาง
อ๋อ รู้แล้วสินะว่าเป็นฝีมือของนาง ทั้งเรื่องถุงกระสอบ และเรื่องของหนานกงลี่
ท่านชายใหญ่หันเพ่งมองสีหน้าของกู้เจียวและรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาหมายถึง ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีเกรงกลัว แต่ไม่เลย
ท่าทีเฉยเมยแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
ท่านชายใหญ่หันเริ่มสับสน!
“มาที่เรือนของข้าทำไม” กู้เจียวถาม
กู้เจียวเริ่มคุ้นชินกับการใช้เสียงทุ้มต่ำของเด็กชาย
ท่านชายใหญ่หันขมวดคิ้วจนเป็นปม พลางนึกในใจ เจ้าเด็กบ้านี่กวนประสาทเขาเสียจนเกือบลืมธุระหลักของเขาไปเลย
ท่านชายใหญ่หันเอ่ยอย่างเย็นชา “ก็ว่าใครที่ไหนบังอาจกล้าขโมยม้าของตระกูลหันไปได้ พอรู้ว่าเป็นเจ้า ข้าไม่แปลกใจเลย เอาละ ส่งม้าของข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“ม้าของเจ้ารึ” กู้เจียวยกคันธนูขึ้นพิงบนหัวไหล่ “ที่นี่ไม่มีม้าของเจ้า!”
ท่านชายใหญ่หันตะเบ็งเสียงแข็งตอบกลับ “แล้วข้าต้องเชื่อคนอย่างเจ้าหรือไร”
กู้เจียว “ก็ใช่น่ะสิ”
ท่านชายใหญ่หัน “…”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้ากล้าให้ข้าค้นเรือนของเจ้าไหมล่ะ”
กู้เจียว “ไยข้าต้องปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นด้วย เจ้ามีตราอาญาสิทธิ์ของทางการหรืออย่างไร”
ตระกูลหันเสียอย่าง มีหรือต้องพึ่งตราอาญาสิทธิ์
“ถ้าไม่มีตรา ข้าก็ไม่ให้ค้น” กู้เจียวเอ่ย
ท่านชายใหญ่หันหรี่ตาลง “ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็งสินะ ดี เช่นนั้นวันนี้ก็ชำระแค้นเก้าแค้นใหม่มันที่นี่เลยก็แล้วกัน!”
“ทำอะไรน่ะ!” ปรมาจารย์หลู่ถูกปลุกให้ตื่น และเดินเข้ามาพร้อมกับขวานในมือ
ทว่ากู้เจียวเดินเข้ามาห้ามเขาไว้ ก่อนจะส่งสายตาอำมหิตให้ท่านชายใหญ่หัน “ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง เสี่ยวซุ่น ไปหยิบทวนมาให้ข้าที”
“เอ่อ อ้อ ได้สิ!” กู้เสี่ยวซุ่นขานรับขณะที่กำลังเอามือขยี้ตา
เขาวิ่งไปที่ลานหลังเรือน ดึงทวนพู่แดงที่ถูกปักอยู่บนพื้นขึ้นมา โชคดีที่เขาฝึกทุกวัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางยกทวนนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เพราะมันหนักมาก
“ลิ่วหลัง อะนี่!” กู้เซี่ยวซุ่นอดกลั้นปั้นหน้าแล้วยื่นทวนพู่แดงให้ผู้เป็นพี่
ท่านชายใหญ่หันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทวนพู่ใหญ่สีแดงสดด้ามนี้เคยเป็นอาวุธเซียนของตระกูลเซวียนหยวนมาก่อน
เขามองแค่เพียงว่ามันเป็นอาวุธที่หน้าตาน่าเกลียดและไม่น่ามองเลยแม้แต่นิด
ถึงขนาดที่มีทหารบางนายโพล่งเสียงหัวเราะล้อเลียนอาวุธเล่มนี้ “อาวุธบ้าอะไรกัน นี่เล่นตลกอยู่รึ!”
ปรมาจารย์หลู่รีบดึงร่างของอาจารย์แม่หนานมาไว้ด้านหลัง “เจ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
อาจารย์แม่หนานส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นไร”
“ข้าไม่ต้องใช้อาวุธเพื่อกำจัดคนอย่างเจ้าหรอก มาสิ!” ท่านชายใหญ่หันเอ่ยเบาๆ
ขณะที่เขาเอ่ย พลังภายในของเขาก็เริ่มแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง
อาจารย์แม่หนานสัมผัสได้ถึงพลังนั้นในทันที สีหน้าของนางเริ่มไม่สู้ดีนัก “นี่มัน…วิชาของสำนักนี่นา! แย่แล้ว กู้เจียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
เจียวเจียวเพิ่งจะฝึกกระบวนท่าได้ไม่กี่วันเอง…
กู้เจียวเล็งทวนไปที่ท่านชายใหญ่หัน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางสามารถจัดการหนานกงหลี่ได้ กระบวนท่าของกู้เจียวทั้งรวดเร็วและรุนแรงมาก
แต่กระนั้น นางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี!
ท่านชายใหญ่หันหลบทวนของกู้เจียวได้ในพริบตาเดียว
ดวงตากู้เจียวเบิกกว้าง หลบได้งั้นรึ!
“ชิ แค่นี้เองรึ…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ กลายเป็นว่าการโจมตีของอีกฝ่ายที่เขาหลบได้กลับกลายเป็นเพียงการโจมตีหลอก กู้เจียวรีบเปลี่ยนทิศของอย่างรวดเร็ว และแทงไปที่เอวและหน้าท้องของเขา
ให้หลบคงไม่ทันการ ท่านชายใหญ่หันจำต้องรีบคว้ากริชขึ้นมาป้องปลายทวนของกู้เจียวอย่างรวดเร็ว
แรงมหาศาลนี้แม้ไม่แกร่งพอที่ทำให้แขนของเขามีอาการชา ทว่าอย่างน้อยก็ทำให้เส้นเลือดที่แขนถึงกับปูดบวมขึ้นอย่างน่าตกใจ!
“เพลงทวนของเจ้าไม่เลวเลย น่าเสียดายที่เจ้ายังอ่อนหัดนัก!”
แม้ปากจะเอ่ยออกไปแบบนั้น แต่อันที่จริงในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดระแวง ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยลองฝึกเพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เรียนไม่รอด เขาไม่สามารถควบคุมพลังภายในได้ทั้งหมด จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเรียนรู้ท่าได้แต่ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งจากข้างใน
อาจเพราะทุกคนประเมินค่ามันสูงไปก็เป็นได้
กระบวนท่าของตระกูลเซวียนหยวนมีตั้งมากมาย พวกเขาคงมิได้ชนะศัตรูได้ด้วยกระบวนท่านี้อย่างเดียวหรอก
แต่ตอนนี้ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนเสียแล้ว
กระบวนทวนนี้ทรงงพลังอย่างที่ใครเขาว่าไว้จริงๆ
ที่ตอนนี้เขาชนะอีกฝ่ายได้เป็นเพราะบุญเก่าและประสบการณ์ แต่หากในอีกสามหรือห้าปีข้างหน้า เจ้าเด็กนี่สามารถฝึกกระบวนท่าได้จนบรรลุแล้วละก็!
ดังนั้น เขาต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม กำจัดเด็กนี่ทิ้งเสีย!