สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 706 ความจริงในตอนนั้น (1)
บทที่ 706 ความจริงในตอนนั้น (1)
ฝนพรำยามบ่าย ชายคาทั้งสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเก็บแผงลอย คนเดินถนนต่างพากันหาที่กำบังหลบฝน บ้างก็กางร่มเดินถนน แต่ไม่นานก็รีบหุบร่มและเข้าไปหลบฝนในร้านค้าใกล้เคียงเนื่องจากฝนที่ตกหนักขึ้น
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวช้าๆ ท่ามกลางสายฝนและแอ่งน้ำบนถนน
สารถีรถม้าต้องขับรถด้วยความระมัดระวังเนื่องจากฝนตกถนนลื่นอีกทั้งวิสัยทัศน์เบื้องหน้าที่ขมุกขมัว
ทันใดนั้น เสียงกีบม้าดังขึ้นจากด้านหลัง และภาพต่อมาคือม้าที่ใจร้อนตัวหนึ่งกำลังวิ่งโฉบผ่านรถม้าของเขาไป!
ใต้เท้ารองจิ่งเปิดม่านออกมาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าม้าบ้านไหนวิ่งเร็วขนาดนี้ จังหวะที่เขาเปิดม่านออก ก็ถูกน้ำขังจากกีบเท้าม้าเจ้ากรรมสาดเข้าให้
ใต้เท้ารองจิ่ง “…”
เขาเช็ดหน้าของตัวเองด้วยความโกรธ ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่เจ้าม้าตัวนั้น เขาจดจำรูปลักษณ์ของมันได้ในทันที
“เอ๊ะ ดูสิพี่ใหญ่ นั่นมันม้าของสำนักบัณฑิตเทียนฉงมิใช่รึ ตัวที่พยศน่ะ!”
การต่อสู้ของราชาม้ากับราชาม้าเฮยเฟิงนั้นเป็นตำนานในแวดวงการแข่งมายาวนาน คนในจะรู้ดีว่าสำนักบัณฑิตเทียนฉงมีม้าพยศที่แข็งแกร่งอยู่ตัวหนึ่งที่สามารถเอาชนะม้าศึกได้
อันกั๋วกงที่นั่งอยู่ข้างๆ ใต้เท้ารองพอได้ยินดังนั้นก็รีบมองตามเจ้าม้าตัวนั้นไป แต่ไม่นานมันก็วิ่งลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว
เขายกปลายนิ้วขึ้นช้าๆ และเคาะบนที่วางแขนของรถเข็นหนึ่งครั้ง
เคาะหนึ่งครั้งแปลว่าใช่
แต่ถ้าเคาะสองครั้ง แปลว่าไม่ใช่
“แปลกแฮะ เจ้าม้าตัวนั้นมาแถวนี้ได้อย่างไร” ใต้เท้ารองเปิดม่านรถอีกครั้งแล้วหันมองซ้ายขวา แต่ไม่ยักกะเห็นรถม้าของสำนักบัณฑิตเทียนฉงแต่อย่างใด และยิ่งเพิ่มความน่าสงสัยขึ้นไปอีก
อันกั๋วกงยกมือแล้วใช้นิ้วแตะลงไปบนชาดแดงพร้อมกับเขียนคำว่า ‘ตามมันไป’
…
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าม้าของกั๋วกงจะเป็นม้าชั้นยอด แต่ก็ยังยากมากที่จะตามความเร็วของเจ้าเสี่ยวสืออีให้ทัน
โชคดีของพวเขาที่ดูเหมือนว่าเจ้าเสี่ยวสืออีวิ่งเร็วสลับช้าบ้าง ราวกับว่ามันกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
เจ้าเสี่ยวสืออีเริ่มวิ่งออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงถนนร้างเส้นหนึ่ง
“น่ะ นี่มัน…” ใบหน้าของใต้เท้ารองเริ่มถอดสี
ถนนเส้นนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งรวมความเจริญของเมืองเซิ่งตู ผู้คนมากหน้าหลั่งไหลมาที่นี่ราวกับปลาจี้ข้ามแม่น้ำ
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ตึง!
ตึง!
ตึง!
เสียงกระทบนั้นดังขึ้นมาจากเบื้องหน้าท่ามกลางสายฝนที่ปกคลุม
ใต้เท้ารองจิ่งเปิดม่านออก “ตรงนั้นมันทางไป…”
ราชาม้าเฮยเฟิงเอาหัวโหม่งประตูจนช้ำเลือดช้ำหนอง
เจ้าเสี่ยวสืออีพอเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปเข้าไปหาราชาม้าเฮยเฟิง
มันมองอีกฝ่ายที่กำลังเอาแต่โหม่งหัวชนประตูด้วยสายตางุนงง
ก่อนจะเข้าไปร่วมด้วยช่วยกันโหม่งอีกแรง
เจ้าม้าสืออีไม่รู้ว่าจวนที่ทรุดโทรมนี้มีความหมายต่อเฮยเฟิงอย่างไร มันจึงยกเท้าหน้าพร้อมกับเล็งไปตรงบริเวณที่ถูกลงกลอนด้วยโซ่
กลับกลายเป็นว่าสืออีถูกเฮยเฟิงผลักออกไป
เสี่ยวสืออีเอียงหัวด้วยความสงสัย ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ราชาม้าเฮยเฟิงยังคงโหม่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
รถม้าของกั๋วกงจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกมัน
ใต้เท้ารองจิ่งเปิดม่านรถออก เม็ดฝนสาดเข้ามาภายในรถจนพวกเขาเปียกปอนทั้งตัว
อันกั๋วกงเฝ้าดูพวกมันอย่างตั้งใจ
ขณะที่ใต้เท้ารองจิ่งได้แต่ย่นคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นกับม้าตัวนั้น มันบ้าไปแล้วหรือ”
ราชาม้าเฮยเฟิงอยู่ในสภาพเจ็บหนัก ขณะเดียวกันเจ้าเสี่ยวสืออีก็เข้าไปห้ามแต่ราชาม้าเฮยเฟิงไม่ยอม และเจ้าม้าทั้งสองก็ทะเลาะกัน
ทันใดนั้นสารถีก็ตะโกนขึ้น “ท่านกั๋วกง ท่านใต้เท้ารอง! ดูนั่นสิขอรับ มีใครบางคนปรากฏกายขึ้นมาจากอีกฝั่งขอรับ!”
ใครบางคนที่ว่ากำลังขี่ม้าเข้ามาใกล้ๆ มือข้างหนึ่งจับบังเหียนไว้แน่นโดยที่มืออีกข้างถือทวนพู่สีแดง ร่างของเขาเปียกโชก ผมของเขายุ่งเหยิง ทว่าใบหน้าและแววตาของเขากลับดูสงบ
เขาควบมุ่งหน้าไปยังจวนของตระกูลเซวียนหยวน
ใต้เท้าถึงกับตกอยู่ในภวังค์
คงเพราะฝนตกหนักเกินจนเขาเห็นภาพหลอนสินะ
เหมือนว่าเขากำลังมองดูพี่เขยใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหาร สีหน้าและท่าทางที่สงบนิ่งแบบนี้
รวมถึงถนนเส้นนี้ ที่หน้าจวนแห่งนี้
พี่เขยใหญ่ลงจากหลังม้า เดินขึ้นบันได และเปิดประตูจวนเหมือนเคย
ใต้เท้ารองจิ่งเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปในวันเก่าๆ ทุกอย่างแลดูสงบสุข ไม่มีโศกนาฏกรรมใดๆ เกิดขึ้น คนที่อยู่ในจวนต่างเดินออกมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม
ชายคนนั้นเข้าไปห้ามม้าทั้งสองไม่ให้ทะเลาะกัน
และแล้วใต้เท้ารองจิ่งก็ฟื้นจากภวังค์
เขาไม่ใช่พี่เขยใหญ่
ไม่ใช่เลย
พี่เขยใหญ่จากพวกเราไปตั้งนานแล้ว เขาเป็นคนเชิญศพของพี่เขยใหญ่ด้วยตัวเอง
เขาเป็นคนแบกร่างพี่เขยใหญ่ลงมาจากำแพง เขาจำความรู้สึกมือของเขาที่สั่นเทาขณะดึงด้ามทวนพู่แดงออกจากร่างของพี่เขยใหญ่ได้
ใต้เท้ารองพยายามเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้พี่ใหญ่เห็นว่าเขากำลังร้องไห้
อันกั๋วกงไม่ร้องไห้
น้ำตาของเขาแห้งเหือดไปนานแล้ว
หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนถูกทำลาย หลังจากที่เขาสูญเสียภรรยาสุดที่รักที่กำลังตั้งครรภ์ และหลังจากที่ยินยินหลับตาในอ้อมแขนของเขา เขาก็ไม่มีน้ำตาให้เสียอีกต่อไป
ใต้เท้ารองจิ่งยกมือปาดน้ำตาตัวเองและระงับเสียงสะอื้นในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติของเขาว่า “นั่นเซียวลิ่วหลังนี่”
อันกั๋วกงเองก็เห็นเหมือนกับเขาเช่นกัน
สายตาของเขาจับจ้องไปที่กู้เจียว
กู้เจียวถือทวนพู่แดงพร้อมกับใช้มืออีกข้างสำรวจรอยแผลของราชาม้าเฮยเฟิง
จากนั้นเฮยเฟิงก็เริ่มสงบนิ่งลง
ไม่รู้ว่ามันจะรู้หรือไม่ว่าเจ้านายที่มันรอคอยมาเกือบทั้งชีวิตไม่กลับมาอีก มันเงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าที่มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ แล้วส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
กู้เจียวยืนเงียบๆ อยู่ข้างมัน
ปกติแล้วกู้เจียวไม่ใช่คนที่เจ้าอารมณ์นัก
ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้กู้เจียวยกมือขึ้นมากุมที่อกพร้อมกับเบือนหน้าลงอย่างอดไม่ได้
“นั่นใครน่ะ!”
ทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งปรากฏกายขึ้น พวกเขาได้รับรายงานจากชาวบ้านใกล้เคียงว่ามีคนต้องสงสัยเข้ามาในอาณาเขตของจวนตระกูลเซวียนหยวน
แม้ตระกูลเซวียนหยวนจะถูกล้างโคตรแล้ว และแม้ถนนสายนี้จะกลายเป็นถนนร้าง แต่ชาวบ้านทุกคนยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ฝังใจ
พวกทหารองครักษ์ไม่มีใครกล้าทำอะไรอุกอาจ แค่เข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั้น