สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 712 ขูดรีดบิดาเต็มกำลัง (1)
บทที่ 712 ขูดรีดบิดาเต็มกำลัง (1)
ยามไฮ่[1] ณ หอหลิงหลง สำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน
เสี่ยวจิ้งคงนั่งอาบน้ำในอ่างใบน้อย เขาอาบน้ำไปพลาง ร้องเพลงสบายอุราไปพลาง ซ้ำมือน้อยๆ ยังตีละอองน้ำ ให้กระเซ็นขึ้นมาเป็นระลอกๆ
“ไปเถิด~ ไปเถิด~ ดูเถิดว่าความรักของน้องชายสูญเปล่าหรือไม่~”
“ไปเถิด~ ไปเถิด~ เถาดอกขาว~ ข้าฉีกหูขาดกระจุย~”
เซียวเหิงที่นั่งอ่านตำราอยู่หลังโต๊ะหนังสือฟังเสียงเพลงปีศาจแล้วมุมปากกระตุกยิกๆ เจียวเจียวร้องแบบนี้รึ
“ไปเถิด~ ลาล้าลา~”
“เย้เฮ~”
“ไปเถิด~ ไปเถิด~ ยู้ฮู~ เล้ทโก้!”
ปั้นหน้าไม่ยินดียินร้ายพลางร้องท่อนสุดท้ายจบ เสี่ยวจิ้งคงก็ยืนท่าเดิมอยู่กับที่สามวินาที แล้วจบการแสดงลง ใบหน้าน้อยอันเคร่งขรึมเอ่ย “ข้าอาบเสร็จแล้ว”
เจ้าร้องเพลงจบมากกว่ากระมัง
เซียวเหิงวางตำราลงแล้วเดินมาหา
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มลองอาบน้ำเองตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว เพียงแต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเล็กอยู่ จึงอาบได้ไม่สะอาดเท่าใดนัก ปกติแล้วเซียวเหิงจะมาอาบให้เขาอีกที
“เหตุใดจึงยังดำอยู่เลยเล่า” เซียวเหิงเช็ดตัวให้เขาพลางเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอว “เฮอะ! ที่ข้าดำเพียงนี้ก็เพราะว่าระหว่างทางมานี้ ตะวันขึ้นปุ๊บเจ้าก็เอาข้าเป็นร่มบังแดด พอฝนตกลงมาเจ้าก็เอาข้ามาเป็นร่มบังฝน! ชูข้าสูงเหนือหัวทุกวัน!”
เซียวเหิงกระแอมเบาๆ ก่อนวางมาดจริงจังเอ่ย “ใช่ที่ไหนกัน”
เสี่ยวจิ้งคงหันหน้าหนี “เฮอะ!”
อันที่จริงเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ดำเพียงนั้น เขาขาวขึ้นไม่น้อยแล้ว แต่ว่าชีวิตในสำนักบัณฑิตมันน่าเบื่อถึงเพียงนั้น หยอกเด็กผู้หญิงให้โมโหก็เป็นชีวิตประจำวันอย่างหนึ่งเหมือนกันนี่นา
หลังจากเสี่ยวจิ้งคงเช็ดตัวแห้งแล้ว เซียวเหิงก็เปลี่ยนผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้เขา
เซียวเหิงทอดถอนใจเอ่ย “ตอนเจ้าเป็นหัวโล้นน้อยก็ยังน่ารักกว่าอยู่ดี”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยแทงใจดำ “เจ้าก็แค่คร้านจะเช็ดผมให้ข้าเท่านั้นแหละ!”
เจ้ามีความตระหนักรู้ด้วยตัวเองได้ด้วยหรือนี่
นี่เป็นสามเณรน้อยที่ก่อกวนทั้งวัดให้โกลาหลด้วยกำลังตัวเองล้วนๆ เชียวนะ เซียวเหิงพาเขามาอยู่ข้างกายด้วยตัวคนเดียวได้ เลี้ยงให้ขาวจั๊วะ…เอ่อไม่ใช่ เลี้ยงให้อวบอ้วนดำปี๋ได้ อดทนกับความซุกซนทั้งหมดของเขาได้ โดยไม่คิดจะส่งเขากลับไป
พูดตรงๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
แม้แต่อาจารย์แท้ๆ ของเขายังทำได้ไม่ถึงขั้นนี้
กำลังวังชาของเสี่ยวจิ้งคงล้นเปี่ยมยิ่ง ตอนอาบน้ำก็กระปรี้กระเปร่าเหลือล้น พอขึ้นเตียงก็แรงดีขึ้นมาอีกยก
ครู่ก่อนเซียวเหิงยังได้ยินเสียงหัวเราะยาวเหยียดฮ่าๆๆ ของเขาอยู่เลย ครู่ต่อมาในมุ้งก็เงียบงันไร้เสียงแล้ว
เซียวเหิงเดินไปหา เลิกม่านขึ้นดู เด็กบางคนนอนหลับกางแข้งกางขาอ้าซ่าไปแล้ว
โชคดีที่พวกเขาพักอยู่ที่ห้องสุดทางเดินของหอหลิงหลง สองห้องตรงข้ามไม่มีคนพัก ไม่เช่นนั้นเจ้าหนูน้อยนี่โหวกเหวกโวยวายทุกคืน พวกเขาคงโดนไล่ออกมาตั้งนานแล้ว
เซียวเหิงอุ้มเสี่ยวจิ้งคงมานอนดีๆ ให้ศีรษะน้อยของเขาหนุนบนหมอนใบน้อยของเขาโดยเฉพาะ แต่เสี่ยวจิ้งคงชอบนอนๆ ไปแล้วไปหลับอยู่ที่อื่น
เซียวเหิงกางมุ้งเรียบร้อย ก็กลับมาที่โต๊ะก้มหน้าก้มตาอ่านตำราบ้านเมืองแคว้นเยี่ยนที่เกี่ยวกับทฤษฎีต่อ
ตำราเล่มนี้น่าทึ่งจริงๆ มิน่าถึงถูกยกย่องเป็นหนึ่งในตำราแห่งหกแคว้นใหญ่ เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าหากตัวเองทำความเข้าใจมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว นำทฤษฎีมาใช้กับแคว้นเจา ก็คงจะเกิดการพัฒนาอย่างไรต่อแคว้นเจาบ้าง
ทฤษฎีของหนึ่งในหกตำราน่าทึ่งถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าอีกห้าตำราที่เหลือจะเป็นอย่างไร
เซียวเหิงอ่านจนลืมเวลา
ไม่รู้เลยสักนิดว่าท่ามกลางรัตติกาลนั้น ได้มีเงาร่างทะมึนเร้นกายเข้ามาในสำนักบัณฑิตอย่างเงียบๆ
การลอบสังหารในครานี้มีหันเย่เป็นคนกระทำด้วยตัวเอง หันเย่สวมชุดสีดำยามวิกาล คลุมหน้า เผยแค่ดวงตาดุจอินทรีย์ออกมาเท่านั้น
เขาสะพายกระบี่ประกายเย็นเยียบที่ออกจากฝักย่อมได้ดื่มโลหิตไว้บนหลัง
จัดการกับบัณฑิตอ่อนแอคนเดียว การเตรียมตัวของตนค่อนข้างเกินไปหน่อย
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ ‘เซียวลิ่วหลัง’ ตัวปลอมคนนั้น
ทว่าชาติกำเนิดของอีกฝ่ายคู่ควรกับเกียรตินี้ เขาจะใช้กระบี่ล้ำค่าของตัวเองส่งอีกฝ่ายจากไปเอง
ทหารลาดตระเวนกองหนึ่งผ่านมา หันเย่แตะปลายเท้าบนหลังคา
เมื่อทหารผ่านไปไกลแล้ว เขาถึงค่อยโปรยตัวลงมา ทะลุผ่านราตรีสีมืดมายังหน้าหอหลิงหลง
เขาส่งคนมาจับตาดูคนงามอันดับหนึ่งคนใหม่ของสำนักบัณฑิตเอาไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะปลอมตัวเป็นหญิง ซ้ำยังมีตัวตนที่น่าตกใจเช่นนี้ด้วย
ดูท่าแล้ว หมิงจวิ้นอ๋องช่างตามืดบอดจริงๆ ถูกใจใครไม่ถูกใจ มาถูกใจคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้
หันเย่ทะยานตัวขึ้นไปบนกำแพงของหอหลิงหลง
หญิงเฝ้าประตูสองคนกำลังร่ำสุราด้วยกันอยู่ เป็นสุราผลไม้ที่เหล่านักเรียนมอบให้ ซึ่งไม่ทำให้เมามาย
หันเย่เดินมาจากบนกำแพง หยุดลงบนต้นไม้ต้นหนึ่ง
ทัศนวิสัยของต้นไม้ต้นนี้ยอดเยี่ยมมาก เห็นห้องของเซียวเหิงได้พอดี
ภายในห้องของเซียวเหิงสว่างไสว เงาร่างเขาถูกแสงเทียนส่องกระทบหน้าต่างกระดาษ
“มีแค่เขากับเด็กอีกคน ฟังจากเสียงหายใจแล้ว เด็กคนนั้นหลับไปแล้ว เหลือแค่เขาคนเดียว”
หันเย่ค่อยๆ ยกมือขึ้น กำด้ามกระบี่ด้านหลังเอาไว้
“โอ้ก~”
นกยักษ์ตัวหนึ่งบินร่อนลงบนกิ่งไม้เดียวกันกับที่เขายืนอยู่
หันเย่จ้องมองดู
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอินทรีย์ไห่ตงชิงตัวหนึ่ง
อินทรีย์ไห่ตงชิงงดงามยิ่งนัก!
อินทรีย์ไห่ตงชิงคล้ายมีประสาทสัมผัสได้ มันเดินอาดๆ มาแทบเท้าเขา
หันเย่ “…”
ไยจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าเจ้าเป็นไก่เลยเล่า
ไก่ตัวนั้น…ไม่ใช่สิ อินทรีย์ไห่ตงชิงตัวนั้นหยุดลงแทบเท้าเขา ก่อนจะใช้หัวถูไถขากางเกงเขาไปมา
หันเย่ชะงักไปเล็กน้อย
อินทรีย์ไห่ตงชิงตัวนี้เป็นมิตรกับคนเพียงนี้เชียวรึ
หันเย่เคยได้รับอินทรีย์ไห่ตงชิงมาหลายตัวเช่นกัน เขาคิดจะฝึกพวกมันให้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเอง จนด้วยเกล้าที่พวกมันนิสัยดุร้าย ฝึกยากฝึกเย็นเสียยิ่งกว่าม้าเฮยเฟิงเสียอีก สุดท้ายจึงจบลงด้วยความล้มเหลว
ทว่าอินทรีย์ไห่ตงชิงตรงหน้าตัวนี้อาจจะทำได้ก็ได้
หันเย่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังยิ่ง ไม่ได้รีบร้อนลูบหัวมันในทันที
อินทรีย์ไห่ตงชิงโคลงศีรษะ มองเขาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไร้เจตนาโจมตีแต่อย่างใด
ในที่สุดความกล้าของหันเย่ก็เพิ่มมากขึ้น เขาลูบหัวมัน
อินทรีย์ไห่ตงชิงปล่อยให้เขาลูบหัวแต่โดยดี
เขาหัวเราะขึ้นด้วยความพอใจ
ดูท่าตนจะมีวาสนาต่ออินทรีย์ไห่ตงชิงตัวนี้ ช่างเถิด วันหน้าเจ้าก็จะเป็นของข้าแล้ว
หันเย่ลูบหัวเจ้านกจนหนำใจ
ในขณะนั้นเอง เหตุพลิกผันก็เกิดขึ้น ไห่ตงชิงที่เชื่องตัวนั้นจู่ๆ ก็อ้าปากกว้าง แล้วจิกลงข้อมือเขาอย่างแรง!
หากมิใช่เพราะหันเย่ดึงมือกลับไว คงโดนมันกัดเส้นเอ็นขาดแน่แล้ว!
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังทำสำเร็จ กระชากเนื้อตรงข้อมือของเขาออกมาได้ทั้งเป็น!
หันเย่ตื่นตะลึง!
เกิดอะไรขึ้น ยามนี้แม้แต่นกตัวหนึ่งก็เจ้าเล่ห์ได้ถึงเพียงนี้แล้วรึ
หันเย่ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าตนที่เป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของรุ่นแห่งเซิ่งตูจะมีวันที่ได้รับบาดเจ็บเพราะปากนกด้วย
บอกไปใครเขาจะเชื่อ
หันเย่ฟาดฝ่ามือใส่
จนใจที่มันสายไปเสียแล้ว เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินหนีไปแล้ว มันบินไปพลาง ร้องไปพลาง “กะต๊าก กะต๊าก”
หันเย่เกือบจะร่วงลงมาจากต้นไม้
เจ้าเป็นนกอินทรีย์ที่มีไก่เลี้ยงมาจนโตหรือไร
[1] ยามไฮ่ 21.00-23.00 น.