สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 109
ตอนที่ 109 ดูแล้วเธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น
สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงยิ่งโกรธหนักมากขึ้น มากจนกระทั่งเสิ่นอีเวยคิดว่าเธอคงจะถูกเขาฆ่าให้ตายซะตรงนี้
“เธอพูดอีกครั้งซิ?”
เสิ่นอีเวยยิ้ม น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด “เซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ไหนแต่ไรมาคุณคงคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าสินะ? แต่ฉันคิดว่าจริงๆแล้วคุณน่าสงสารมากกว่า คุณมักจะเป็นเหมือนเม่นตัวหนึ่งที่คุ้นชินกับการใช้อาวุธของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้คุณแม้แต่ก้าวเดียวคุณก็มักจะคิดว่าคนคนนั้นมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่และคิดที่จะทำร้ายคุณ แต่ฉันกลับคิดว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้นเลย สำหรับฉันแล้ว คุณเป็นคนที่เข้าใกล้ฉันแม้แต่ก้าวเดียวก็จะทำร้ายให้ฉันเจ็บปวด ฉัน..เจ็บมากแล้วจริงๆ ฉันขอร้องปล่อยฉันเถอะ”
เสิ่นอีเวยเอนไปที่บนโต๊ะละทิ้งความคิดที่จะต่อต้านทุกอย่างลง เธอคิดว่าตนเองได้หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว เหมือนกับว่าเพียงแค่ได้พูดคำพูดเมื่อสักครู่นี้ออกไปแรงกำลังของเธอก็ได้ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มตัวเข้าไปใกล้ที่ข้างหูของเสิ่นอีเวยเล็กน้อย ในความเป็นจริงแล้วเสียงของเขาอบอุ่นละมุนละไมดั่งอัญมณีหยก แต่ตอนนี้เสิ่นอีเวยฟังดูแล้วกลับเหมือนคำสาปแช่งของพวกผีปีศาจ “เธอลืมไปแล้วหรือ? ฉันเคยพูดกับเธอเมื่อนานมาแล้วในคืนวันนั้น ฉันอยากจะเก็บเธอไว้ข้างกายฉันแล้วค่อยๆทรมานทีละน้อย หย่างั้นหรอ เธอเลิกคิดได้เลย?”
ความหวังเล็กๆในใจที่ยังเหลืออยู่ของเสิ่นอีเวยได้แตกดับไม่อย่างสิ้นเชิง เธออ้าปากอย่างไม่มีเสียง สุดท้ายก็พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เหมือนกับคิดอะไรขึ้นได้ มุมปากของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลสนัยเล็กน้อย เขาเริ่มพูดต่อไป “อ้อ ใช่แล้ว ฉันลืมบอกเธอไป เมื่อไม่นานมานี้ฉันพึ่งรู้ว่าจริงๆแล้วบริษัทที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้นั้นมีหุ้นของเธออยู่30% แต่ตอนนี้บริษัทนั้นได้กลับมาอยู่ในมือของฉันแล้ว”
เสิ่นอีเวยเบิกตาของตนเองกว้างด้วยความเหลือเชื่อ “คุณพูดว่าอะไรนะ”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เธอฟังไม่ออกหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดให้ชัดขึ้นอีกหน่อย บริษัทออกแบบจัดงานแต่งงานกู้ซื่อตอนนี้เป็นชื่อของฉันแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าเธออยากที่จะเอามันกลับมาหรือคาดหวังที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นนับจากนี้ เช่นนั้นแล้วเธอก็จำเป็นที่จะทำเพื่อมันอย่างเต็มที่ พูดสั้นๆก็คือเธอต้องทำเพื่อฉัน”
ในเวลานั้นเสิ่นอีเวยโกรธอย่างรุนแรง “คุณทำให้บริษัทของแม่ฉันกลายเป็นอะไรไปแล้ว! ของเล่นหรอ? อยากที่ให้คนอื่นอย่างโดยดีก็ให้? อยากที่จะเอากลับมาก็เอากลับมาอย่างนั้นหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงขยับมุมปาก “หรือว่าเธอคิดจริงๆว่าเซียวหันถิงจะสนใจในตัวเธอมาก ฉันจะบอกเธอให้นะ ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่สวยหรือมีเสน่ห์น่าหลงไหลมากแค่ไหน นักธุรกิจอย่างเขายังไงก็ไม่เปลี่ยน สิ่งที่เซียวหันถิงให้ความสำคัญตลอดไปก็คือผลประโยชน์ ฉันให้เงินเยอะขนาดนี้ เขาก็รีบคว้าไว้ในมือไม่ปล่อยแล้ว”
เมื่อคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงจบลง ใบหน้าของเสิ่นอีเวยก็ร้อนผ่าว แล้วคิดถึงสิ่งที่เขาได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ บางที…อาจจะจริงที่ตนเองวางฐานะของเซียวหันถิงไว้ผิดไป คาดไม่ถึงว่าตนเองจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่คิดอย่างไร้เดียงสาว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับเขาได้กลายมาเป็นผู้ร่วมมือกันแล้ว แต่ว่าเธอมองข้ามสถานะเดิมของเซียวหันถิง นักธุรกิจที่มีอุบายคนหนึ่งยังไงก็ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น พวกเขารู้จักแต่ผลประโยชน์
ทำไมถึงได้เลือดเย็นไร้ความเมตตาขนาดนี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ความหวังในใจของเสิ่นอีเวยได้สูญสิ้นหมด เธอหวนกลับไปคิดอย่างเร็วถึงต้นสายปลายเหตุในช่วงเวลานี้ต่อไป และในสมองก็เหมือนมีแสงสว่างแวบเข้ามา คล้ายกับว่ามีสองเส้นพ่วงเข้าด้วยกัน
ดังนั้นคุณส่งฉันไปเมืองc ทั้งหมดก็เพื่อจะกีดกันฉันออกไปใช่มั้ย แบบนี้คุณถึงจะได้ดำเนินแผนการของคุณให้สะดวกมากขึ้น เสียงของเธอเครือสั่นเครือไปหมด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหมดหนทางและความเจ็บปวด
สุดท้ายเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ปล่อยมือออกจากคางที่บีบเสิ่นอีเวยไว้แล้วพูดขึ้นว่า “ดูแล้วเธอก็ไม่ได้โง่อย่างที่ฉันคิดไว้นะ”
เสิ่นอีเวยหมดแรงล้มลงนั่งที่พื้น จริงๆแล้วก็เป็นแบบนี้นี่เอง…..มิน่าละหลังจากที่เธอกลับมาจากเมืองcถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ การที่ไปนั่งฟังการบรรยายเพื่อเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องเล็กจนไม่รู้จะเล็กยังไง แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงทำเป็นเรื่องเอิกเกริกยิ่งใหญ่โดยการส่งผู้อำนวยการออกแบบคนหนึ่งไป ทำไมตอนนั้นตนเองไม่ถามให้เยอะกว่านี้หน่อย? ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ สถานการณ์คงจะไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้เฉกเช่นตอนนี้
เรื่องที่ตนเองมีหุ้น30%ในบริษัทกู้ซื่อนั้น แม่ไม่เคยบอกกล่าวกับเธอมาก่อน หรือบางทีอาจจะต้องการบอกเธอ แต่อุบัติเหตุในตอนนี้นเกิดขึ้นเร็วไป แม่ไม่ทันที่จะ..
เมื่อเสิ่นอีเวยคิดมาถึงตรงนี้ ในใจเธอก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองกราดลงมาดูเสิ่นอีเวยที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงออกอารมณ์ใดๆ “ต่อจากนี้เป็นต้นไป เธอก็มองตนเองให้เป็นพนักงานของฉัน หรือสามารถมองตนเองให้เป็นหุ้นส่วนของฉัน แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ยังไงบริษัทกู้ซื่อก็อยู่ในมือของฉัน เธอคงจะไม่ยืนดูให้มันเกิดปัญหาอะไรต่อหน้าใช่ไหม?”
ในคำพูดมีความหมายของการใช้อำนาจคุกคามแฝงอยู่ ถ้าอยากให้บริษัทกู้ซื่อพัฒนาอย่างดีต่อไป ตนเองจำเป็นที่ต้องทำงานให้กับเซิ่งเจ๋อเฉิงให้ดีที่สุดต่อไป
เสิ่นอีเวยกัดฟันแน่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นเครือจนควบคุมไม่ได้
เสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างๆดังขึ้น เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินอ้อมตัวเสิ่นอีเวยเดินขึ้นไปทางชั้นบน เมื่อก้าวขึ้นไปยังขี้นบันไดขั้นแรกแรก เขาก็หันหน้ามามองเสิ่นอีเวยแล้วพูดว่า “อ้อแล้วก็ อย่าพูดในสิ่งที่ผมไม่ชอบฟังอีก ครั้งหน้า ผมไม่รับรองว่าอารมณ์ของผมจะดีเหมือนครั้งนี้มั้ย”
เสิ่นอีเวยล้มนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงเงยหน้าขึ้นมองคฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้า มีรูปภาพที่มีพ่อแม่อยู่บนนั้นแวบเข้ามาในสมอง ในใจก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าทำไม ถึงแม้ว่าคืนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงจะทำกับเธอด้วยพฤติกรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ แต่เธอกลับคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังตั้งใจที่จะหลบหนีอะไรอยู่ พูดหลบไปหลบมาไม่เหมือนกับลักษณะที่เป็นของเซิ่งเจ๋อเฉิง เมฆหมอกแห่งความสงสัยที่อยู่ในใจของเสิ่นอีเวยยิ่งเพิ่มมากขึ้น เธออยากที่จะเอามือไปเขี่ยเมฆหมอกหนาทึบจำนวนมากพวกนั้นออกไป
“เมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่คฤหาสน์หลังนี้ พวกคุณตระกูลเซิ่งได้เคยจัดงานเลี้ยงงานตอนเย็นกันใช่ไหม?”
เสียงนิ่งๆของเสิ่นอีเวยดังขึ้นจากข้างหลัง ฝีเท้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังก้าวขึ้นบันไดก็หยุดลง เขาหันหลังหยุดเงียบอยู่ที่เดิมประมาณสองวินาที สุดท้ายเขาก็หันกลับมา คราบน้ำตาที่อยู่บนสองแก้มอันซีดเซียวของเสิ่นอีเวยยังไม่แห้งดี แต่ทว่าสีหน้าท่าทางที่ลนลานและหมดหนทางได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย เหลือเพียงใบหน้าที่นิ่งสงบเข้ามาแทนที่
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองที่เสิ่นอีเวยเป็นแบบนี้ จู่จู่ก็นึกถึงดอกไม้ชนิดหนึ่ง
ดอกตูมที่เห็นได้น้อยมากนักอยู่ที่ตะไคร้เขียวในกลางพงหญ้าอย่างลางๆ อยู่ตรงนั้นจนผ่านฤดูหนาวก็เจริญเติบโตเป็นดอกไม้ มองดูไม่เตะตาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตรงกลางดอกกลับแฝงไว้ด้วยพลังของชีวิตที่ยิ่งใหญ่
เซิ่งเจ๋อเฉิงใจสั่นอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงนึกคิดแบบนี้ออกมา วินาทีต่อมา เขาก็ได้สติกลับมาและมองไปที่แววตาอันใสวาวคู่นั้นของเสิ่นอีเวย เขาก็รู้สึกว่าขมับของตนเองนั้นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
เธอกำลังพูดว่าอะไร?
เสิ่นอีเวยคาดหวังปฏิกิริยาจากเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มากก็น้อย เธอค่อยๆลุกจากพื้นอย่างช้าๆ ในแววตาแน่วแน่และตัดเยื่อใย เธอเดินเข้าไปใกล้เซิ่งเจ๋อเฉิง เพราะว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงยืนอยู่ที่บนบันได ดังนั้นจึงสูงกว่าเธอไปประมาณครึ่งตัว
“คุณฟังไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าคุณตั้งใจแสร้งที่จะฟังไม่เข้าใจ?” ในคำพูดของเสิ่นอีเวยไม่เหลือการให้เกียรติและไมตรีจิตระหว่างกันแม้แต่นิดเดียว
ไม่ว่าบนรูปภาพพวกนั้นตกลงแล้วจะปิดบังความลับไว้มากเท่าไหร่ ไม่ว่าผู้ชายที่ตรงหน้าจะรู้หรือไม่รู้ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องในนั้น เสิ่นอีเวยคิดว่าตนเองควรที่จะถามเขา ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง คืออาณาเขตของเซิ่งเจ๋อเฉิง
เธอคิดว่า เขาไม่น่าที่จะไม่รู้อะไรเลย
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอย่างเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นคงทำให้เธอผิดหวังจริงๆแล้ว ฉันไม่เข้าใจจริงๆ”