สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 120
ตอนที่ 120 เรื่องของฉันไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามายุ่ง
หลังจากเกิดเรื่องที่บนเขาหวินมู่ เสิ่นอีเวยและเซิ่งเจ๋อเฉิงแทบจะไม่ได้คุยกันเลยเมื่ออยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง แต่ทว่าสถานการณ์ในคืนนี้เปลี่ยนไป พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยากที่จะกลับมาเยี่ยม และยังมีภรรยาตอนนี้ของเขามาด้วย เธอชื่อ เซิ่งเจิ้นอวี๋น และยังเป็นแม่เลี้ยงของเซิ่งเจ๋อเฉิงและหัวหรง
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ สุขภาพของพ่อเซิ่งเจ๋อเฉิงนับวันยิ่งไม่ดีมากขึ้น ดังนั้นเซิ่งเจิ้นอวี๋นจึงซื้อคฤหาสน์ที่หวายหลี่ให้กับเขา เพื่อจะเอาไว้ใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ที่นั่นสภาพแวดล้อมสวยและเงียบสงบ และมีหมอผู้ชำนาญดูแลเป็นการส่วนตัว แต่พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงมักจะเป็นห่วงและคิดถึงลูกชายคนโตของตนเองนั่นก็คือเซิ่งเจ๋อเฉิง เป็นห่วงว่าเขาจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นท่านจึงกลับมาที่คฤหาสน์เซิ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนของหนุ่มสาวทั้งสอง
ในช่วงบ่าย ป้าเฉินได้รับโทรศัพท์ว่าพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงจะมาถึงในเวลาประมาณสองทุ่ม เซิ่งเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวยทั้งสองคนได้จัดการสิ่งต่างๆไว้ต้อนรับพ่อ
บนโต๊ะอาหารที่ใหญ่โต ได้เผชิญหน้ากับพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิง ถึงแม้ว่าท่านจะแก่จนผมขาวไปทั้งหัวแต่ก็ยังมีอำนาจที่น่าเกรงขาม เซิ่งเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวยจำเป็นที่จะต้องแสร้งทำตัวเป็นปกติ ในการทานอาหารค่ำคืนนี้ทั้งสองคนคุยกันอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาแม้แต่น้อย
ต่างฝ่ายต่างรู้ซึ่งกันก็เท่านั้นเอง
พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงไอออกมาเล็กน้อย สีหน้าเริ่มที่จะไม่ค่อยดี เขามองมาที่เซิ่งเจ๋อเฉิง “สำหรับเรื่องที่เสิ่นอีเวยแท้งลูก ฉันเห็นเห็นในข่าวแล้ว”
เมื่อพูดออกมาก็ทำให้ทั้งสองคนตกใจ เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากที่ถูกสื่อมวลชนเปิดเผยเรื่องที่เสิ่นอีเวยแท้งลูก เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ทำทุกวิธีทางเพื่อปกปิดทุกช่องทางที่จะสามารถเผยแพร่ข่าวออกไป และสื่อมวลชนพวกนั้นในเมื่อรับเงินมาแล้วก็ไม่กล้าที่จะหักหลังประธานบริษัทเซิ่งซื่อ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ที่หวายหลี่ตลอด ทำไมถึงได้รับรู้เรื่องนี้?
เซิ่งเจ๋อเฉิงท่าทางเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่โดยไม่สนใจพ่อของเขาเลย มือของเซิ่งสวินตีไปที่บนโต๊ะอย่างแรง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจยกเว้นเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ยังคงทำหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม
“เซิ่งเจ๋อเฉิง นายเป็นสามียังไงกันกัน? พวกเธอแต่งงานกันมาสองปี เสิ่นอีเวยไม่ง่ายเลยที่จะตั้งครรภ์ แต่ว่าอยู่ดีๆก็แท้งลูกไปอย่างไม่คาดคิด นายลองพูดมาสิว่าในฐานะสามีนายได้ทำหน้าที่แบบไหนกัน?”
พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงโมโหโกรธจนไอออกมา หัวหรงที่อยู่ข้างๆลูบไปที่หลังของเขาเบาๆเพื่อให้เขาใจเย็นลง
แววตาเฉียบแหลมเช่นนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงชะงัก เสิ่นอีเวยที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้าเริ่มที่จะไม่ดี จึงฉุดคิดขึ้นมาว่า ถึงแม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ชอบเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ว่าพ่อของเขาก็ยังดีกับเธอมาก มากจนกระทั่งตั้งแต่ที่ตนเองแต่งงานกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาก็ได้ปฏิบัติกับเธอเหมือนกับเป็นลูกสาวแท้ๆคนหนึ่ง
เสิ่นอีเวยกังวลว่าถ้าหากบรรยากาศยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สภาพร่างกายของพ่อเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยิ่งไม่ดีมากยิ่งขึ้น ถ้าถึงเวลานั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นก็จะทำให้วุ่นวายไปกันใหญ่
เสิ่นอีเวยคิดไตร่ตรองอยู่ในใจซักพัก จึงพูดออกมาว่า
“คุณพ่อคะ อย่าโกรธไปเลยค่ะ ฉัน…กับเจ๋อเฉิงยังอายุน้อยกันอยู่ จากนี้ไปก็ยังมีโอกาสท้องอีก และการแท้งลูกในครั้งนี้ก็ไม่สามารถโทษเขาคนเดียวว่าไม่มีความรับผิดชอบ แต่มันเป็นเพราะว่าฉันก็ไม่ค่อยระวังเท่าไหร่ ไม่ได้สนใจเรื่องที่ตนเองท้องให้มาก”
น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยอ่อนโยน พูดอย่างระมัดระวังรอบคอบ เซิ่งเจ๋อเฉิงชำเลืองมองไปที่ตาของเธอ และเมื่อมองไปที่พ่อ ก็พบว่าสีหน้าได้ผ่อนคลายลงมากแล้ว ในใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เย็นลงมาเล็กน้อย
เซิ่งสวินพยักหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้เห็นด้วยกับคำพูดของเสิ่นอีเวยที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ แต่ว่าน้ำเสียงก็ยังแฝงไปด้วยคำตำหนิ “การแท้งลูกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้พวกเธอทั้งสองคนผิดทั้งคู่ ครั้งหน้า อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก ได้ยินแล้วใช่ไหม?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้ายิ้มอย่างฝืนใจ
เมื่อไม่ได้ได้ยินลูกชายคนโตตอบรับ พ่อของเขาจึงมองไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้นว่า “แล้วนายหล่ะ?”
ในแววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆออกมาแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ครับ”
ท่าทางที่แข็งทื่อเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้พ่อของเขาไม่พอใจ “ช่วงนี้ที่บริษัทคงจะมีเรื่องให้นายได้รับแรงกดดันมากสินะ ในส่วนหุ้นส่วนเก่าของบริษัทเซิ่งซื่อ ฉันรู้ว่านิสัยนายหยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร นายน่าจะไม่อยากให้กลุ่มหุ้นส่วนเก่ามาเป็นอุปสรรคขัดขวางในระยะยาวหรอกใช่มั้ย ฉันยังยืนยันคำเดิมที่พูดไปครั้งที่แล้วว่า ขอเพียงแค่นายมีหลานอ้วนๆให้ฉัน ฉันจะให้สิทธิของผู้ถือหุ้นทั้งหมดแก่นายทันที”
เสิ่นอีเวยชะงัก อยากที่จะหันไปดูแววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงแต่กลับควบคุมตนเองไว้ เมื่อก่อนตนเองคุ้นชินกับการที่เพียงแค่มีคนพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอมักจะเข้าไปให้สนใจอย่างไม่ลังเล
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ เธอมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปให้ความสนใจเขาอีก?
เสิ่นอีเวยไม่อยากเหมือนกับแผลหายแล้วลืมเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้น แผลบนตัวเธอนั้นยังไม่หายดี คงจะไม่หายตลอดไป
ในตอนนี้ หัวหรง คนที่ไม่ค่อยพูดอะไรมาตลอด จู่จู่ก็พูดขึ้นมาว่า
“เจ๋อเฉิง อีเวย ฉันเชื่อว่าวัยรุ่นอย่างพวกเธอสองคนต่างก็มีเหตุผล ไม่กี่ปีมานี้ร่างกายของคุณพ่อนับวันก็ยิ่งแย่ลง ความฝันในตอนนี้ของท่านก็คือหวังจะให้พวกเธอทั้งสองคนมีลูก ดังนั้นต้องอย่าทำให้ผิดเป็นอันขาด”
พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงไอออกมาอีกครั้ง ผมที่ขาวทั้งหัวเมื่ออยู่ใต้แสงไฟที่ส่องแสงยิ่งทำให้แก่และดูไม่แข็งแรง
เมื่อหัวหรงพูดจบลง เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงพูดกับเธอด้วยสายตาที่เย็นชาขึ้นว่า “เรื่องของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับป้า”
แม้ว่าปีนี้หัวหรงอายุใกล้จะห้าสิบแล้ว แต่ก็ยังบำรุงรักษารูปร่างและผิวพรรณเป็นอย่างดี ทำให้ดูแล้วท่าทางแข็งแรงและจิตใจเบิกบาน ลูกบุญธรรมที่นั่งตรงข้ามเยื้องๆกับตนท่านนี้ เธอและเขาเดิมทีแทบจะไม่เคยพูดคุยใดๆกันเลย แต่ว่าแม่แท้ๆของเขาได้จากโลกนี้ไปเจ็ดปีแล้ว ตอนนี้ตนเองก็คือลูกของเซิ้งเจิ้นอวี๋น
หัวหรงคิดว่าเรื่องในคืนวันนี้ ตนเองควรที่จะพูดอะไรสักหน่อย
แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่ไว้หน้าเธอแม้แต่นิดเดียว
ใจของหัวหรงเจ็บจนรู้สึกโกรธ แต่เนื่องจากรู้จักกาลเทศะจึงต้องอดทนไม่ให้เกิดเรื่องใดๆ แต่พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับทุบโต๊ะเสียงดังขึ้นมาก่อน
“คนเลว ทำไมพูดกับน้าของนายอย่างนี้”
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวยก็ชะงักลง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงหันไปมองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ข้างๆอย่างไม่รู้ตัว
สองมือของเขาตั้งประสานกันวางไว้ที่ริมฝีปาก ซึ่งดูแล้วนิ่งเงียบไปหมดแต่ในความนิ่งนั้นกลับแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง เสิ่นอีเวยพอที่จะเข้าใจเขา เวลาที่เซิ่งเจ๋อเฉิงโมโหโกรธอย่างสุดขีดมักจะกระทำอยู่สองอย่าง อย่างที่หนึ่งคือสูบบุหรี่ และอีกอย่างก็คือที่เป็นอยู่ในตอนนี้
เธอกลั้นหายใจลง
เซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยๆเอามือวางลง สายตาที่มองไปที่หัวหรงเหมือนดั่งใบมีดรองสเก็ตน้ำแข็งที่เจาะเข้าไปที่ใจอย่างรุนแรง “พ่อก็พูดแล้วหนิว่าเธอคือน้า สำหรับผมเธอก็เป็นคนนอกคนหนึ่ง ผมจะพูดครั้งนี้เพียงครั้งเดียว เรื่องของผมไม่จำเป็นที่ต้องให้คนนอกเข้ามายุ่ง”
เมื่อพูดจบ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เอาตัวลุกออกจากเก้าอี้และกำลังจะเดินขึ้นไปข้างบน
เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง เสียงของพ่อเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดังขึ้นทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ แม่ของนายตายไปเจ็ดปีแล้ว!
ทันใดนั้นทั้งห้องก็เงียบสงัด แม้แต่เสียงของเข็มที่ตกพื้นก็ยังสามารถที่จะได้ยิน
เท้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงพึ่งก้าวเหยียบไปที่บันไดขั้นแรก ด้านหลังที่สูงใหญ่ของเขาก็ได้หยุดลงทันที เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตนเองมองผิดไปหรือไม่ เธอรู้สึกว่าด้านหลังของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีความอ่อนไหวออกมาเล็กน้อยในชั่วพริบตาเดียว
เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เดินตรงขึ้นไปข้างบน