สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 121
บทที่ 121 เคยเสียใจหรือไม่
หลังจากที่เซิ่งเจ๋อเฉิงขึ้นบนตึกไป บรรยากาศในห้องอาหารก็เริ่มมีความอึดอัดมากขึ้น
คุณท่านเซิ่งได้มองสภาพพื้นหลังที่กำลังหายไปในมุมของบันได จึงได้ถอนหายใจไปยกใหญ่ เมื่อเวลาได้มองไปยังเสิ่นอีเวยสีหน้าก็เริ่มที่จะผ่อนคลายลง เขาเลยหันตัวมาพูดกับหัวหรงว่า “เธอน่าจะเหนื่อยแล้ว พักอยู่ที่นี่ก่อนสักครู่เถอะ ฉันจะอยากให้เสิ่นอีเวยออกไปเดินเล่นกับฉันหน่อย”
หัวหรงก็ได้ยิ้มและพยักหัว ในจังหวะนั้นช่างเป็นกริยาท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก
เมื่อเสิ่นอีเวยจู่ๆ ก็ได้ยินตัวเองถูกเรียกชื่อ เลยนิ่งไปสักครู่หนึ่ง และสายตามองคุณท่านด้วยความสงสัย
มือขวาคุณท่านเซิ่งได้จับมือไม้เท้าแล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นถามเสิ่นอีเวยว่า “จะไปเดินในสวนดอกไม้กับปู่หรือไม่ ?”
ใบหน้าของคนแก่ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ซึ่งผ่านมรสุมชีวิตมานานหลายสิบปี ใบหน้าของคุณท่านเซิ่งที่ค่อยๆ มีรอยยิ้มออกมาราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ใจในของเสิ่นอีเวยเริ่มคิด ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงอยู่ดีดีก็เชิญเธอ แต่ว่าเวลาการตอบสนองของเธอนั้นกลับพยักหน้าตอบรับ
เพราะเวลามันเป็นเวลากลางคืนแล้ว ในสวนดอกไม้มีความหนาวและน้ำค้างเต็มไปหมด เมื่อเดินไปถึงสถานที่ทำงานกระเบื้อง เสิ่นอีเวยจึงได้นำเสื้อกันหนาวมาคลุมบนร่างกายของท่านผู้เฒ่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเรื่องความสัมพันธ์ของเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิงจะเลวร้ายแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องระหว่างของพวกเขา สำหรับคุณปู่แล้วท่านคือผู้อาวุโสคนหนึ่ง เธอเคารพให้ตัวเขานั่นคือสิ่งที่เหมาะสมยิ่งแล้ว
เสิ่นอีเวยค่อยๆ พยุงแขนของคุณปู่ จากนั้นสองคนก็ได้เดินไปรอบๆ ในสวนดอกไม้ ยามมีลมพัดเข้ามา เธอก็จะจับแน่นเสื้อกันหนาว
“อารมณ์ความรู้สึกตอนนี้ของเธอฟื้นคืนกลับมาหรือยัง ?” คุณปู่ได้ค่อยๆ เริ่มเปิดบทสนทนา
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสักครู่หนึ่ง จากนั้นก็จึงได้สติกลับมาในเรื่องที่ตัวเองแท้ง
การแท้งครั้งนี้คือความเจ็บปวดอันเป็นนิรันดิ์ของเธอ เสิ่นอีเวยรู้ว่าในระยะเวลาอันสั้นจะนำพาผลกระทบที่ไม่ดีซึ่งเป็นเรื่องที่ยากต่อการเลือนหายไป ดังนั้นเมื่อมีคนพูดถึงเรื่องนี้ ในใจเธอก็จะมาพร้อมกับความเจ็บปวดเสมอ
“ตอนนี้ก็ดีขึ้นมามากแล้ว ขอบพระคุณที่คุณปู่เป็นห่วงค่ะ” แต่ทว่าบนใบหน้าของเธอกลับไม่มีการเปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด
เซิ่งสวินหันหัวมาหาเสิ่นอีเวยหัวเราะแล้วพูดว่า “หลานสะใภ้ของฉันคนนี้ เป็นคนที่รอบรู้จริงๆ ฉันคิดอยู่เสมอว่า อารมณ์ของเจ๋อเฉิงเด็กน้อยคนนี้ช่างร้ายเสียจริงๆ พวกเธอแต่งงานมาสองปีแล้ว น่าจะต้องมีความเข้าใจในตัวเขาอยู่ไม่มากก็น้อย เธอแต่งให้เขา รู้สึกเคยเสียใจบ้างไหม? ”
คิ้วของเสิ่นอีเวยสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง แต่งให้กับเซิ่งเจ๋อเฉิง…….รู้สึกเคยเสียใจบ้างไหม ?
เธอแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถามถึงปัญหานี้ และทั้งยังไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำถามนี้เป็นคำถามแรก ซึ่งเป็นคำถามของคุณท่านเซิ่ง ในขณะนั้นเลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เซิ่งสวินได้มองเสิ่นอีเวยที่มีความรู้สึกเสียใจ เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
“อีเวย ความจริงแล้วฉันดูออกว่าความสัมพันธ์สามีภรรยาของเธอและเจ๋อเฉิงนั้นไม่ดี”
เสิ่นอีเวยได้มองไปยังคุณท่าน ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความตั้งใจและได้หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เพราะเกรงว่าคุณท่านนั้นจะมองอะไรออกมา
“เมื่อก่อนทุกครั้งที่ได้เจอพวกเธอนั้น จากที่สายตาและการพูดของพวกเธอนั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ใช่สามีภรรยาเลย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนศัตรูในที่มืดต่างหาก”
บริษัทเซิ่งซื่อเป็นบริษัทที่คุณท่านนั้นสร้างขึ้นมาเองกับมือ เขาเป็นคนที่เก่งและฉลาด พอพูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรแล้ว เขาจึงได้มองเสิ่นอีเวยครู่หนึ่ง แล้วได้หัวเราะพูดว่า “แน่นอนล่ะ คำพูดที่พูดไปเมื่อสักครู่ก็อย่าไปใส่จะอะไรนักเลย ฟังไปฟังไปก็พอแล้ว อาจคงเป็นเพราะว่าตัวฉันนั้นเลอะเลือนเลยพูดออกมา ฮ่า ๆ ”
คุณท่านได้ค่อยๆ เดินไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ทว่าเสิ่นอีเวยไหนเลยจะกล้าไม่ใส่ใจ คุณท่านสามารถไม่ต้องใช้เงินในการติดสินบนคนในบ้านตระกูลเซิ่งมาบอกข่าว เพียงแต่อาศัยการตรวจสอบจากสภาพภายนอกก็สามารถรู้แล้วว่าเสิ่นอีเวยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นมีปัญหา จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนว่าชายชราอายุกว่าเจ็ดสิบคนนี้ช่างมีความละเอียดในการตรวจสอบเหลือเกิน
แม้กระทั่งเรื่องของการแท้งลูกของเสิ่นอีเวย เรื่องของการขโมยของบนเขาหวินมู่ คุณท่านไม่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจไยดี เพียงแต่เขาไม่ถาม ก็เลยไม่มีใครกล้าถามขึ้นมา
หรือว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนเขารู้สึกว่าการมีปากเสียงของวัยรุ่นของสองคนนี้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเลยไม่ได้ยื่นมือเข้ามาจัดการ แต่ว่าในครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน ลูกคนแรกของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่มีเสียแล้ว คุณท่านก็เลยต้องออกมาจัดการเสียเอง
เสิ่นอีเวยกำลังแอบเดาในใจ แต่ทันทีทันใดนั้นกลับโดนคุณท่านเซิ่งตัดความคิดว่า “ความจริงแล้วมีเธออยู่ข้างๆ เจ๋อเฉิง ฉันนั้นก็วางใจมากๆ เพราะตลอดมาเธอเป็นคนที่เข้าใจในทุกอย่างดี”
เสิ่นอีเวยยิ้มออกมา ในใจนั้นกลับมีความรู้สึกที่ละอายใจออกมา คนวัยชราควรจะอยู่ในช่วงวัยที่จะต้องรักษาสุขภาพ แต่ทว่ากลับจะต้องมาเป็นห่วงเรื่องของชนรุ่นหลัง
ทำให้นึกถึงขณะที่คุณพ่อถังกั๋วเฟิงที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สนทนากับเธอที่กล่าวถึงเซิ่งสวิน เนื้อหาการพูดที่เต็มไปด้วยความเคารพ ก็ใช่อยู่ ผู้ชายคนหนึ่งที่ริเริ่มสร้างทุกอย่างมาจากสองมือ แต่ว่าภายหลังกลับสร้างบริษัทเซิ่งซือที่เป็นแนวหน้าในเมืองนี้
เมื่อมีมูลเหตุของพวกนี้แล้ว ดังนั้นเสิ่นอีเวยก็ให้ความเคารพเขาเสมือนกับที่คุณปู่ให้ความเคารพ และรู้ด้วยว่าเขาเป็นคนที่เก่งคนหนึ่ง
เสิ่นอีเวยเลยนึกถึงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเมื่อสักครู่ เซิ่งเจ๋อเฉิงกับหัวหรงก็มีแสดงท่าทีที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ในใจก็เลยเต็มไปด้วยความสงสัยอีกขั้นหนึ่ง เธอเพียงแต่รู้ว่าท่านนี้คือคุณนายม่อซึ่งเป็นภรรยาคนที่สองของม่อเจิ้นยวิ๋น แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกเขานั้นเกิดเรื่องอะไรมากก่อน และก็ไม่เคยเห็นว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเรียกเขาแบบเต็มยศ แม้แต่เรียกป้าก็ไม่เคยเรียกสักคำ
ใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย คำถามก็เลยพูดออกไป
“เรื่องราวระหว่างเซิ่งเจ๋อเฉิงกับ……คุณป้าหัวหรงคืออะไร ? ”
คุณท่านเซิ่งที่กำลังเดินอยู่นั้นก็หยุดชะงักลง หันหัวกลับไปหาเสิ่นอีเวย
เสิ่นอีเวยคิดว่าตัวเองไม่น่าถามคำถามนี้เลย ในใจก็รู้สึกในทันทีว่าตัวเองนั้นผิดพลาดไป เลยหัวเราะแล้วพูดว่า “ดิฉันช่างไม่มีมารยาทเลย ไม่ควรที่จะถามคำถามพวกนี้ คุณปู่อย่าถือสาเลยนะคะ”
คุณท่านเซิ่งเลยหยุดสายตาที่ชะงักไป กลับยังคงไม่พูดอะไรราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ขณะที่เสิ่นอีเวยประคองเขาอยู่ก็เลยไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งคุณท่านก็เลยถอนหายใจไปยกใหญ่ ความนึกคิดของเขาย้อนกลับไปในหลาย ๆ ปีก่อน เขาเลยใช้สำเนียงเสียงคนชราแล้วเริ่มค่อย ๆ บรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของชนรุ่นหลัง ณ เวลาตอนนั้น
เสิ่นอีเวยที่นั่งข้าง ๆ ก็ได้นั่งฟังอย่างเงียบๆ……
พอกลับไปถึงบ้าน ณ เวลานั้น เสิ่นอีเวยก็ได้มองนาฬิกาแขวนอยู่บนผนังบ้านขณะนั้นคือเวลาห้าทุ่มแล้ว คุณท่านเซิ่งร่างกายไม่ค่อยสู้ดีนัก ท้ายที่สุดก็ยังถูกหวายหลี่กับหัวหรงรับกลับไปด้วยกัน
เสิ่นอีเวยได้เทน้ำอยู่ในห้องครัว แล้วไปนั่งดื่มน้ำเงียบ ๆ บนโซฟา บ้านหลังใหญ่หลังนี้ไม่ได้เปิดไฟแต่อย่างได้ เธอจึงยืมแสงไฟที่ลอดผ่านหน้าต่าง ในใจของเธอก็กลับรู้สึกสับสนว่าแท้จริงแล้วสงบอยู่หรือวุ่นวายอยู่กันแน่
เธอนั่งอย่างเงียบ ๆ รอบ ๆ สี่ทิศก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่แห่งนี้เงียบเป็นที่สุด แต่ใจกลับไม่รู้ว่าความตื่นตระหนกนี้มาจากไหน เลยนึกถึงอาหารค่ำของวันนี้ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงได้เดินขึ้นบนบ้านไปอย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกของเสิ่นอีเวยเลยมีความสั่นคลอนขึ้นมาอีก
เธอก็ไม่อยากรู้ได้เลยว่าทำไมจู่ ๆ ก็คิดถึงเซิ่งเจ๋อเฉิงขึ้นมา แต่ก็รู้สึกถึงเรื่องราวที่ตนเองไม่ได้ทำมาก่อน เธอก็ยังคงค่อย ๆ นำแก้วน้ำวางไว้บนเครื่องชา แล้วค่อย ๆ เดินขึ้นไปยังบนบ้าน
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว……
เสิ่นอีเวยก้าวขึ้นจนถึงขั้นสุดท้ายของบันได แล้วเดินไปยังทางเดินจึงเริ่มได้กลิ่นเหล้าหึงอย่างเข้มข้น