สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 129
บทที่ 129 เงื่อนไขสองข้อคุณต้องเลือกมาหนึ่งข้อ
“เข้ามา”
เสิ่นอีเวยได้หยุดหน้าประตูอยู่สักครู่แล้วค่อยผลักประตูเข้ามา เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังอ่านเอกสารอยู่ เขาได้เงยหน้าขึ้นมาจากใบหน้าที่เป็นปกติแต่วินาทีนั้นกลับกลายเป็นสีหน้าที่เยือกเย็น เธอจึงได้ละสายตาไป เพราะไม่อยากใส่ใจตั้งแต่แรกแล้ว
“ประธานเซิ่ง ชั้นมีเรื่องจะคุยกับคุณน่ะ” เธอใช้น้ำเสียงที่เป็นจริงเป็นจัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นได้วางปากกาลง แล้วเอนตัวไปพิงกับผนังพิง ทั้งสองมือนั้นได้วางอยู่ประสานกันเสมือนกับวางมาด
“พูดมา มีเรื่องอะไร”
เสิ่นอีเวยเงียบ ๆ ไปสักครู่แล้วเงยหน้าขึ้นมามองตาเขาแล้วพูดว่า “เซิ่งเจ๋อเฉิง พวกเราหย่ากันเถอะ”
พอพูดออกไป เธอเห็นคิ้วของเขานั้นได้กระตุก
“คุณพูดอีกครั้งซิ” น้ำเสียงของชายคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธที่ซ่อนอยู่ข้างในอย่างอดทนไม่ไหว
เสิ่นอีเวยพยายามที่จะบังคับอารมณ์ของตน เธอได้กำชับตัวเองไว้ว่าวันนี้เขาจะนำความจริงใจมาพูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงจริง ๆ ดังนั้นปัญหาแรกก็ไม่ควรที่จะไปสร้างความรำคาญใจให้เขา ไม่งั้นปัญหาอีกข้อหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะพูดได้อีกต่อไป
“วันนี้ชั้นไม่ได้มาจะทะเลาะกับคุณนะ ชั้นรู้ว่า…….แต่งงานมาสองปี ความจริงแล้วชีวิตที่ผ่านช่างไม่มีความสุขจริง ๆ จนมาถึงสถานการณ์ตอนนี้ ชั้นขอพูดประโยคหนึ่งซึ่งไม่ได้กลัวว่าคุณจะดูถูกในตัวชั้น ชั้นรู้ว่าในใจคุณน่ะมีแต่เสิ่นหุ้ย และไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตอนเวลาที่แต่งงานตอนนั้นชั้นคิดจริง ๆ ว่าคนที่จะอยู่ชั้นไปตลอดชีวิตก็คือคุณ ไม่วันใดก็วันหนึ่งคุณจะมีใจให้ชั้น ตอนนั้นไม่แน่ว่าคุณจะลืมเสิ่นหุ้ยไปแล้วก็ได้ แล้วให้ชั้นเข้าไปในใจคุณ……”
เสิ่นอีเวยพอพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป แต่สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สับสน และไม่สามารถมีใครคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นอีเวยก็ได้สงบอารมณ์ของตนเองลง และพูดต่อไปว่า “แต่ในภายหลัง ไม่ว่าชั้นจะทำอะไรคุณก็ไม่เห็นใจ นอกจากเวลาที่คุณอารมณ์ดีเท่านั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงชั้นพูดความจริง……”
เหมือนกับการตัดสินใจครั้งใหญ่
“ชั้นไม่อยากมีความรักที่ต่ำต้อยเช่นนี้แล้ว ชั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มีเลือดมีเนื้อ ชั้นเจ็บเป็น……จนถึงตอนนี้ ชั้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองเรานั้นมาถึงขั้นที่แย่ที่สุดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ว่าพวกเราวางเรื่องราวพวกนี้ลงไปเสียเถิด !”
พอพูดถึงสุดท้ายน้ำเสียงของเสิ่นอีเวยก็ได้ดังนั้นและมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับพูดให้เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ฟังแต่ว่าความจริงแล้วกลับพูดในตัวเองฟัง
มีเพียงแต่การไม่เหลือเยื่อใยในการตัดสินใจว่าตัวเองจะทำอย่างไรดี หรือบางทีอาจจะเป็นการเตือนตนเองว่าในก้าวที่แสนยากลำบากนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร
ห้องทำงานขนาดใหญ่เงียบเหมือนกับห้องน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ได้ยินเพียงแต่เสียงของแอร์ที่ดังออกมา
เสิ่นอีเวยได้เพียงแต่มองเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างสงบ และรอคำตอบจากเขา เธอคิดว่าคำพูดวันนี้จะมีน้ำหนักพอที่จะสามารถทำให้มีข้ออ้างอิงได้ และไม่มีจุดผิดพลาดใด ๆ ในการทำผิดต่อเขา ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่เซ็นชื่อลงไป
เสิ่นอีเวยจึงได้นำเอกสารการหย่าร้างวางบนโต๊ะอย่างเบา ๆ และได้ยื่นต่อหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง “นี้คือเอกสารการหย่าร้าง ชั้นลงชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงได้มองอย่างรวดเร็ว และมองด้วยความเฉยเมยกับกระดาษที่ขาวแผ่นนั้น และได้มองอยู่ในกรอบสายตา
“ดังนนั้นความหมายของคุณคือ จะหย่ากับผม แล้วไปหาสามีของคุณเซียวหันถิง ? ”
ในใจเธอสั่นไปหมด ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ เพราะว่าในความเข้าใจของเธอนั่นคือเพียงแต่การโกหกของเขาแค่นั้น เป็นเพราะความคิดของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่คิดง่ายเกินไปเลยคิดว่าจริง
ความรู้สึกในใจเขาเหมือนกับหมัดที่ต่อยบนสำลี อึดอัดไม่สบายเป็นอย่างมาก
เสิ่นอีเวยสูดหายใจลึก ๆ แล้วพูดว่า “หากชั้นพูดว่า เด็กคนนั้เป็นของคุณ คุณจะเชื่อไหม ? ในคืนนั้นที่ชั้นพูดโกหกไปเพราะว่าชั้นไม่สามารถระงับไว้ได้ ดังนั้นชั้นจึงจงใจให้คุณโกรธ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มอยากเยือกเย็นเย็นชา
“คุณคิดว่าผมเชื่อคุณไหม ? ”
ในใจของเสิ่นอีเวยกลับเต็มไปด้วยความไร้เรี่ยวแรง “คุณดูนะ ไม่ว่าชั้นจะพูดอะไรคุณก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วทำไมยังไม่ยินยอมที่จะหย่ากับชั้นล่ะ ? ”
“เอาหลักฐานออกมา” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอย่างเนิบ ๆ
เสิ่นอีเวยไม่ได้รู้สึกตัว “หลักฐานอะไร ? ”
“เรื่องราวผ่านไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้คุณจะบอกผมว่าเด็กคนนั้นเป็นของผมไม่ใช่ของคนอื่น หากอยากจะให้ผมเชื่อ ทางที่ดีที่สุดก็เอาหลักฐานออกมา หรือว่า……”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้หยุดไปชั่วครู่ สายที่หรี่ลงมา และเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“คุณได้รับการปฏิบัติไม่ได้จากเซียวหันถิง ดังนั้นตอนนี้ก็เลยอยากกลับมาหาผมน่ะหรือ ? ”
เสิ่นอีเวยได้หายใจแล้วหยุด “เซิ่งเจ๋อเฉิง……ทำไมคุณถึงคิดว่าชั้นเป็นผู้หญิงแบบนี้ล่ะ” น้ำเสียงของเธอที่เต็มไปด้วยหัวใจสลายและผิดหวัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้นั่งลงไปอีกครั้ง เห็นสายตาที่เธอที่เต็มไปด้วยความเร่าร้าง “เสิ่นอีเวย คุณอย่าไปโทษใครเลย ทั้งหมดนี้คุณสร้างมันมาเอง”
เสิ่นอีเวยเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าเขาแล้วไร้เรี่ยวแรง ซึ่งความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งว่าการแท้งลูกที่ภูเขาหวินมู่ เธอได้พูดถึงขนาดนี้แล้ว แต่ว่าผู้ชายที่อยู่ต่อหน้ากลับไม่ยินยอม
โชคดีที่ว่าเธอได้เตรียมไว้สองแผน
“ดี คุณไม่ยอมรับการหย่าร้าง แต่ชั้นได้มีแผนสองแผนด้วยกัน คุณจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ชั้นจะลาออก”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ทำไม รองประธานบริษัทเซิ่งซื่มันไม่ดีอย่างไร ? ”
วันนี้เธอได้ใส่ชุดสีดำประจำตำแหน่ง สีผิวของเธอเดิมสีก็ขาว ใบหน้าเป็นรูปไข่เล็กๆ แผ่นหลังก็ได้มัดผูกโบว์เอาไว้ แต่ทว่าความอ่อนโยนที่มีของวันนี้กลับหายไป แต่กลับมาสายตาที่จิก
เขาได้เห็นเธอในสภาพแบบนี้รู้สึกถึงระลานตามาก เขาชอบผู้หญิงคนนี้ที่ถูกตัวเองกลั่นแกล้งแล้วเชื่อว่า เหมือนเช่นกันกับวันนี้ที่มาคุยกับเขา
เขาไม่ชอบ
เสิ่นอีเวยพูดอย่างสุขุม “เซิ่งเจ๋อเฉิง ชั้นไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่ใช่มาขู่แบบนี้ หลังจากที่คุณได้เลื่อนตำแหน่งชั้นเป็นรองประธาน ชั้นมีอำนาจขนาดไหนในใจคุณไม่ชัดเจนหรือไม่ ความจริงแล้วแบบนี้ช่างไม่มีความหมายเอาเสียเลย จริงสิ อย่างไรคุณก็เกลียดชั้น ชั้นขอรับรองว่าหลังจากนี้ก็จะไม่ออกมาให้คุณเห็นหน้าอีก พวกเราสองคนต่างอยู่ต่างใช้ชีวิตเสียจะดีกว่า แบบนี้ไม่ดีหรือ ? ”
เขาได้เดินเข้าใกล้มาหาเธอ มีน้ำเสียงที่เหมือนกับหยกที่ตกลงบนพื้นเข้าไปในหูเขาว่า “เสิ่นอีเวย อยู่ที่นี่คุณไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรทั้งนั้น หย่าร้างและลาออก ผมไม่ยินยอมสักอย่าง”
เสิ่นอีเวยกำลังจะพูดต่อ แต่กลับโดยเขาพูดต่ออกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ผมตั้งใจจะเอาคุณอยู่ข้าง ๆ ผมไม่งั้นหากคุณว่างขึ้นมาแล้วยังจะทำอะไร ? ใส่ร้ายเสิ่นหุ้ยหรอ ? ”
เสิ่นหุ่ย ชื่อนี้อยู่ดีก็เข้ามาในหัวข้อนี้เลยทำให้เสิ่นอีเวยหยุดหายใจไปหนึ่งรอบ
ความคิดเขาตาลปัตรไปหมดแล้วค่อย ๆ กลับมาได้สติ ใช่แล้ว…….ในช่วงระยะเวลานี้ เธอลืมไปเสียสนิทว่าต้นเหตุที่ตัวเองและเขามีปัญหาเพราะอะไร คือคนที่นอนอยู่บนเตียงที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมาคือเสิ่นหุ้ย
แต่ว่าจุดประสงค์ของตัวเองจะต้องทำให้สำเร็จ! เธอไม่อยากจะใช้ชีวิตที่ไม่มีความหมายแบบนี้อีกต่อไป
“เซิ่งเจ๋อเฉิง ชั้นมีสองเงื่อนไขจำเป็นที่เธอจะต้องเลือกหนึ่งข้อ ไม่มีข้ออะไรทั้งสิ้น”
เสิ่นอีเวยพูดอย่างหนักแน่น เหมือนกับชีวิตนั้นถูกกำหนดไว้ด้วยอะไรสักอย่าง
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้เปิดประตูออก ได้ฟังคำที่เสิ่นอีเวยพูดออกมา และไม่ได้หันตัวกลับมานานอยู่ขณะหนึ่ง และรอคอยเวลาที่คิดว่าเธอจะไม่สนใจเขาแล้ว เขาก็เลยเปิดปาก
“ความต้องการของคุณ อยากให้ผมเลือกมาหนึ่งข้อก็ย่อมได้ แต่ว่าคุณจะต้องรับปากผมหนึ่งเรื่อง”
เสิ่นอีเวยได้เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาแล้ว ในใจก็เริ่มมีความหวังเล็ก ๆ ขึ้น “เงื่อนไขอะไร ? ”
“วันมะรืนจะมีแขกที่เข้ามาทำสัญญา พอถึงเวลาคุณจะต้องไปพบเขากับผม