สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 143
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 143 เซิ่งเจ๋อเฉิงออกหน้าช่วยเหลือ
เป็นเพราะเสียงประโยคที่ดังออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อนถึงได้หยุดลงทันที
สภาพอากาศวันนี้ไม่ถือว่าดีนัก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทำให้ดูเหมือนฝนกำลังจะตก ด้านหลังของวิลล่าดูงดงามและลึกลับ แสงสลัวนั่นทำให้สีหน้าของทุกคนแสดงความอึมครึมออกมาแทน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถอยไปด้านข้างอย่างเงียบๆและหลีกทางให้เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ด้านหลัง เขาสวมเสื้อสูทสีดำทั้งตัว สันกรามขบแน่น มองออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมาก
เสิ่นอีเวยเกิดประหม่าอยู่ในใจ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะออกหน้าให้เธอ
ด้านเสิ่นเหยียนชิ่งเห็นว่าผู้ที่เดินออกมาคือเซิ่งเจ๋อเฉิง สีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกอย่าง เขาอ้าปากเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินตรงไปยืนข้างๆเสิ่นอีเวยแล้วหันศีรษะไปมองหล่อนอย่างเย็นชา สายตาที่ทอประกายออกมาจากดวงตานั่นทำให้เสิ่นอีเวยไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ ราวกับว่าเธอเป็นคนริเริ่มเรื่องนี้ก่อนอย่างนั้นแหละ
ตอนนี้เสิ่นอีเวยอ่านสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงออก เขากำลังกล่าวโทษเธออยู่
แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดอะไรกับเธอ เขาเพียงหันศีรษะไปมองเสิ่นเหยียนชิ่ง ตอนที่เสิ่นเหยียนชิ่งสบตากับเซิ่งเจ๋อเฉิง ในใจของเขาก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ผมไม่สนใจว่าที่คุณมาหาเสิ่นอีเวยวันนี้มีจุดประสงค์อะไร ที่นี่เป็นถิ่นของผม…เซิ่งเจ๋อเฉิง ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาที หายไปจากตรงหน้าผมซะ ไม่งั้น–”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดถึงตรงนี้ก็หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย เสิ่นอีเวยเกิดอาการกลัวขึ้นมาในใจ จริงๆแล้วตั้งแต่ผู้ชายคนนี้เดินออกมา ตอนนั้นเขาก็หดหัวหดหายด้วยความกลัวไปแล้ว ที่เขามาวันนี้ เป้าหมายก็คือการมาเอาเงินจากเสิ่นอีเวย เขาแทบไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าคนที่อยู่ในวิลล่านี้ที่แท้จะเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิง
อีกทั้งคนข้างนอกต่างนินทากันว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขาสองคนแย่มากไม่ใช่หรอ? ทำไมอยู่ดีเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงได้ออกหน้าแทนเสิ่นอีเวยได้ล่ะ?
“หรือว่าคุณไม่อยากออกจากที่นี่ไปตลอดกาล”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดครึ่งประโยคที่เหลือออกมา บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปเป็นการกดดันขึ้นมาทันที เสิ่นอีเวยยืนอยู่ระหว่างคนสองคน ร่างกายของเซิ่งเจ๋อเฉิงแผ่รังสีของความกดดันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครที่คิดจะขัดขวางความหมายของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
คิ้วของเสิ่นเหยียนชิ่งขยับขึ้นลงไปมา ท้ายที่สุดก็หยุดการกระทำนั้นลง ลูกชายคนโตของบริษัทเซิ่งซื่อคนนี้พูดไปแล้วก็นับเป็นหลานของตนได้ทีเดียว ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่ว เสิ่นเหยียนชิ่งไม่มีทางที่จะไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขายิ้มอย่างสุภาพ กล่าวว่า “งั้นวันนี้ผมต้องขออภัยด้วย ผมไม่รู้ว่าคุณเซิ่งก็อยู่ที่นี่ด้วย ตอนแรกผมก็แค่หาอีเวยเพื่อจัดการปัญหานิดหน่อยเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมารบกวนคุณเซิ่งได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็คงต้องขอตัวก่อน”
หลังพูดจบ เสิ่นเหยียนชิ่งก็หันกลับมามองเสิ่นอีเวย แม้ใบหน้าของเขาจะยิ้มแต่สายตากลับแฝงความหมายอยู่ในนั้นเอาไว้ เขาไม่ได้ดึงดันให้ตัวเองอยู่ต่อแล้วเดินตรงไปที่รถของตนโดยไม่ได้หันกลับมาอีกเลย
คล้อยหลังเสิ่นเหยียนชิ่งกลับไปไม่นาน ผู้คนโดยรอบต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่เซิ่งเจ๋อเฉิงกับเสิ่นอีเวยอยู่สองคน
“เสิ่นอีเวย ผมขอเตือนคุณให้คุณเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไว้เลยนะ ครั้งหน้าถ้ายังพาคนประเภทนี้เข้ามาที่นี่อีก ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของเขาแสดงอารมณ์ว่าไม่ได้ใจดีดั่งเดิม เสิ่นอีเวยได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก ได้แต่โต้กลับด้วยความหมายอย่างเย็นชา : “ฉันคิดว่าฉันต้องอธิบายอะไรสักหน่อยแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจพาเสิ่น
เหยียนชิ่งมาที่นี่ เขาแค่สะกดรอยตามฉันมา…”
“เอาเถอะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับฉันอยู่แล้ว เธอคิดเอาเองแล้วกันว่าจะจัดการอย่างไรก็พอ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงตัดบทเสิ่นอีเวยขึ้นมากลางคัน
เสิ่นอีเวยชะงักไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้คาดหวังว่าในเวลานี้เซิ่งเจ๋อเฉิงจะอดทนกับเธอได้จนถึงขั้นนี้ไปแล้ว
นึกถึงการกระทำทุกอย่างของเสิ่นเหยียนชิ่งแล้ว เสิ่นอีเวยรู้ว่าเขาจะต้องไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆแน่นอน การถอยห่างในวันนี้ก็เป็นแค่การถอยชั่วคราว หากเป็นคนฉลาดก็ต้องดูออกว่าตอนนี้เขาทำได้แต่พึ่งพาตนเองแล้ว เรื่องที่ผ่านมาเมื่อครู่ก็เป็นเพราะว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เป็นคนทำให้เขายอมถอยกลับไป
เธอคิดว่าต่อแต่นี้ต่อไปคงจะถูกขนมงาตัดชิ้นนี้เหนียวเกาะหนึบติดตัวเธอแน่นไม่ยอมปล่อยแน่ๆ ในใจเสิ่นอีเวยก็รู้สึกหมดหนทางขึ้นมา เธอมองเงาด้านหลังของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังห่างออกไป ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าเรียกเขาให้หยุดไว้ก่อน
“คุณมีวิธีอะไรที่จะสามารถควบคุมเสิ่นเหยียนชิ่งได้ไหม?”
คนตรงหน้าเธอนั้นเป็นคนที่มากด้วยความสามารถ น่าจะมีวิธีจัดการกับคนประเภทเสิ่นเหยียนชิ่งได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเสิ่นอีเวยถูกเสิ่นเหยียนชิ่งมาเกาะติดอยู่แบบนี้จนหาทางออกไม่ได้ เธอก็คงไม่ต้องมาขอร้องให้คนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงมาช่วยเธอหรอก
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหยุดลง เขาหันศีรษะกลับมามองเสิ่นอีเวย
ผ่านไปสักพัก เขาก็เปิดปาก : “รอจนถึงตอนที่เธอมีอำนาจแบบฉันในตอนนี้ คนอย่างเสิ่นเหยียนชิ่งก็จะกลัวเธอขึ้นมาเอง”
ประโยคนั่นของเซิ่งเจ๋อเฉิงช่างหยิ่งยโสโอหังซะเหลือเกิน เสิ่นอีเวยถึงกับสำลักจนพูดไม่ออก แต่อันที่จริงพอลองคิดดูแล้ว ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิดเลย คนหน้าเลือดแบบเสิ่นเหยียนก็แค่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้นเองเขาเห็นความใจอ่อนของตนก็เลยมาคอยเซ้าซี้อยู่เรื่อยๆ เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นเรียกตัวรวจมาจับตัวเขาได้จริงๆ เขาถึงได้มาก่อกวนเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นเหยียนชิ่งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นคนที่เลือดเย็นคนหนึ่ง เขาถึงได้หวาดกลัว เซิ่งเจ๋อเฉิงก็แค่พูดขู่ประโยคเดียว เขารีบหนีกลับหางจุกตูดอย่างไว
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอำนาจ
เธอมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปอย่างหยิ่งทะนงของเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยเหมือนถูกผีเจาะปากให้ถามคำถามที่ตัวเธอเองยังคาดไม่ถึงออกไป
“สีปีก่อนที่วิลล่าของตระกูลเซิ่งจัดงานเลี้ยงขึ้นแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักเสียงฝีเท้าลง เซิ่งเจ๋อเฉิงหยุดยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งก่อนหันศีรษะมามองเสิ่นอีเวยด้วยสายตาเหมือนคนแปลกหน้า
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร?”
เสิ่นอีเวยจ้องมองลึกเข้าไปในตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง พยายามค้นหาคำตอบจากดวงตาคู่นั้น แต่ก็ไม่ได้อะไรจากดวงตาคู่นั้น ผู้ชายตรงหน้าเธอปกปิดตัวเองได้ดีเกินไป ตราบใดที่เขาไม่อยากให้คนอื่นล่วงรู้ต่อให้เธอใช้ความพยายามที่มีอยู่ให้เต็มที่ก็ไม่มีทางรู้อยู่ดี
เสิ่นอีเวยตัดสินใจแล้วที่จะทลายกำแพงนี้ไปให้ได้ เธอขยับเข้าไปใกล้เซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วถามเขาต่อ: “เรื่องในงานเลี้ยงนั่น คุณคงไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรสักนิดเลยหรอกมั้ง?”
เธอนึกถึงวันนั้นตอนเย็นที่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้องนอนของเขา เธอมีลางสังหรณ์ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามเธอแต่อย่างใด เพียงแค่เหลือบมองเธออย่างเย็นชาก่อนเดินเข้าไปในวิลล่า
ตลอดทางที่เสิ่นอีเวยกำลังขับรถกลับบริษัท เธอก็เอาแต่ใจลอยเกือบตลอดทาง เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนคนที่กำลังขับรถอยู่บนทางตัน
ชีวิตที่เธอเหลืออยู่ เธออยากจะหยุดการแต่งงานที่ไม่มีความสุขนี้เอาไว้ แต่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ยินดีที่จะหย่ากับเธอ แม้กระทั่งงานการออกแบบชุดงานแต่งที่เธอชอบที่สุด ตอนนี้บริษัทเซิ่งซื่อก็ยึดอำนาจของเธอคืนไปทั้งหมด
ยิ่งขับรถความเร็วของรถก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นอีเวยขาดสติโดยสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นรถบรรทุกคันใหญ่ข้างหน้า จึงเหยียบเบรกกะทันหัน
การหยุดรถอย่างเร็วทำให้ร่างกายของเสิ่นอีเวยกระแทกกับเบาะที่นั่งอย่างรุนแรง ตอนนี้เองที่สติของเธอก็กลับคืนมาในที่สุด
เธอมองผ่านกระจกรถ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนขับรถบรรทุกกำลังตะโกนด่าทอเธอยกใหญ่ แต่เธอไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดว่าอะไร
ทำไมเธอจะต้องเอาชะตาชีวิตตัวเองมาให้คนอื่นมาบังคับชีวิตของตนเองด้วย ลองคิดว่าคนๆ นั้นคือเซิ่งเจ๋อเฉิงจะเป็นยังไง? เขาไม่ยินยอมหย่ากับตัวเธอ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองกันแน่ที่ไร้หนทางที่จะทำอะไรเขาได้เลยหรอ?
ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่ เสิ่นอีเวยก็ได้คำตอบอยู่ในใจแล้ว