สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 166
บทที่ 166 ทั้งหมดเป็นฝีมือของสีวี่อันฉิง
เสิ่นอีเวยจอดรถที่หน้าร้านกาแฟม่านอวี่ หล่อนล็อครถเสร็จ เงยหน้าขึ้นมามองผ่านประตูกระจกก็เห็นใบหน้าของฉินจื่อเฟิง
เสิ่นเวยเปิดประตูเข้าไป ฉินจื่อเฟิงกำลังก้มหน้ามองโต๊ะอยู่จึงไม่ทันสังเกตว่าหล่อนมาถึงแล้ว หล่อนนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วยื่นมือมาเคาะโต๊ะ
ฉินจื่อเฟิงเงยหน้ามองเสิ่นอีเวยมุมปากเกิดรอยยิ้มออกมา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ตอนนั้นเองพนักงานร้านกาแฟก็เดินเข้ามา
“คุณผู้หญิงจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ”
หล่อนเห็นฉินจื่อเฟิงสั่งเครื่องดื่มแล้ว เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วตอบว่า: ” เอสเพรสโซ คอน พาน่า(Espresso con Panna)แก้วนึงค่ะ”
ได้ยินเสิ่นอีเวยสั่งชื่อกาแฟนั้น ฉินจื่อเฟิงมองหน้าหล่อนแวบหนึ่ง แล้วชะงักไป พนักงานก้มศีรษะอย่างมีมารยาทพร้อมกล่าวว่า :”รอสักครู่นะคะ”แล้วเดินจากไป
วินาทีต่อมา ตอนที่เสิ่นอีเวยมองไปที่ฉินจื่อเฟิง สีหน้าหล่อนก็กลับมาสู่ปกติแล้ว
“จื่อเฟิง ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มือสองข้างที่อยู่บนโต๊ะของฉินจื่อเฟิงกำแก้วกาแฟตรงหน้าแน่น หล่อนหายใจเข้าลึกๆ เหมือนจะกำลังเตรียมตัวต่อสู้สุดชีวิต เสิ่นอีเวยมองเห็นท่าทางหล่อนจึงหัวเราะออกมา
เสิ่นอีเวยพูดว่า: “จื่อเฟิง ไม่ต้องกังวล ค่อยๆเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง พวกเราสองคนก็อายุต่างกันไม่มาก นอกความเป็นเจ้านายกับลูกน้องแล้วฉันก็เห็นเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ตั้งแต่งานนิทรรศการออกแบบครั้งก่อนที่เธอช่วยมาพยุงฉันในลานจอดรถชั้นใต้ดิน ฉันรู้สึกซึ้งใจมาก ดังนั้นครั้งนี้…”
เสิ่นอีเวยพูดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆก็หยุดเสียเฉยๆ ในเวลาเดียวกันนั้นเองฉินจื่อเฟิงเงยหน้ามองหล่อนอย่างวิตกกังวล
จริงๆแล้วตอนที่เสินอีเวยคุยโทรศัพท์กับฉินจื่อเฟิงนั้นก็พอจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่ผิดปกติได้ อาจจะเป็นเพราะฉินจื่อเฟิงรู้อะไรมา ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ลาออกหลังจากหล่อนเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงพอดี
ทุกอย่างมันบังเอิญเกินไป เสิ่นอีเวยได้แต่เข้าใจแบบนี้
“ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ฉันก็ไม่โทษเธอหรอก ขอแค่เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟัง”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเสิ่นอีเวย จากที่หล่อนตื่นกลัวหวาดวิตกอยู่ก็ค่อยๆทุเลาสงบลงบ้าง ฉินจื่อเฟิง
มองเสิ่นอีเวยและเชื่อว่าหล่อนพูดจริง หล่อนทำงานที่บริษัทเซิ่งซื่อมานาน หล่อนรู้ดีว่าเจ้านายของหล่อนคนนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน
ฉินจื่อเฟิงดื่มกาแฟไปหนึ่งอึก แล้วจึงเริ่มพูดว่า : “ประธานเสิ่น ครั้งก่อนที่คุณไปร่วมงานเลี้ยงนั้นเพราะประธานสวี่เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง
เสียงของฉินจื่อเฟิงช่างสงบเสงี่ยมเหลือเกิน ท่าทีเหมือนต้องการจะบอกทุกอย่างหมดเปลือก
เสิ่นอีเวยรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่จากท่าทีของหล่อนดูไม่ออกว่าหล่อนตกใจแต่อย่างใด หล่อนเองก็รู้ว่าสวี่อันฉิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
ตัวเองก็ต้องการสั่งสอนสวี่อันฉิงจึงอยากจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่หล่อนคิดไม่ถึงว่าคนที่ให้เบาะแสกับหล่อนจะเป็นฉินจื่อเฟิง
ทำไมเธอถึงรู้
“เล่าต่อเถอะ”น้ำเสียงเสิ่นอีเวยเรียบเฉย
ต่อมาฉินจื่อเฟิงได้ยินสวี่อันฉิงคุยโทรศัพท์กับนักธุรกิจคนหนึ่งในห้องน้ำ เนื้อหาทั้งหมดที่หล่อนพูดในโทรศัพท์ รวมถึงที่สวี่อันฉิงข่มขู่หล่อน ทุกอย่างเล่าให้เสิ่นอีเวยฟังอย่างละเอียด
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เสิ่นอีเวยตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
“ผู้หญิงคนนี้ ช่างกล้านัก”
เสิ่นอีเวยโกรธมาก หล่อนไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าสวี่อันฉิงจะกล้าโทรศัพท์คุยเรื่องแบบนี้ในบริษัทอย่างเปิดเผยขนาดนี้ ดูท่าแล้วหล่อนคงจะรอให้ตนเองไปถามหาเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้อยู่
เสิ่นอีเวยยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในคำบอกเล่าของฉินจื่อเฟิง :”ที่เธอบอกว่า เธอแอบได้ยินสวี่อันฉิงคุยโทรศัพท์ แล้วสวี่อันฉิงห้ามไม่ให้เธอพูด หลังจากนั้นเขาใช้อะไรมาข่มขู่เพื่อให้เธอเก็บความลับนี้เอาไว้ล่ะ”
เมื่อมาเจอคำถามจี้จุดของเสิ่นอีเวยแบบนี้ ทำให้หล่อนรู้สึกลังเล เสิ่นอีเวยเห็นท่าทีไม่ค่อยสู้ดีนัก เสิ่นอีเวยจึงเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่หล่อนไม่อยากบอกใคร
“ถ้าไม่อยากบอก ก็ไม่ต้องบอก เธอก็คิดซะว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน” เสิ่นอีเวยพูด
ฉินจื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นมามองหล่อน มองเห็นแววตาของเจ้านายที่เข้าอกเข้าใจหล่อน ในเมื่อหล่อนตัดสินใจจะเล่าทุกอย่างให้เสิ่นอีเวยฟัง หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้
ดังนั้นหล่อนจึงเล่าเรื่องที่หล่อนทำงานที่บริษัทแรกให้หล่อนฟัง
เวลาค่อยๆเดินผ่านไปเรื่อยๆ
เสิ่นอีเวยหลังจากได้รับฟังเรื่องทั้งหมด ก็อยากที่จะปิดบังความตื่นตระหนกตกใจได้ ฉินจื่อเฟิงในสายตาของหล่อนก็เหมือนเด็กคนหนี่ง หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบกว่าคนนี้ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย
ความรู้สึกตอนนี้ของเสิ่นอีเวย นอกจากตกใจแล้วก็ยังสงสารเห็นใจอีกด้วย
ฉินจื่อเฟิงหลังจากเปิดไพ่บอกความจริงทั้งหมดแล้วก็เกิดความรู้สึกแง่ลบขึ้นมา หล่อนพูดขึ้นเบาไปว่า: “ประธานเสิ่น เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ถ้าคุณจะโทษฉัน ต้องการให้ฉันได้รับการลงโทษฉันก็จะไม่คัดค้าน ก็อย่างที่ฉันบอกคุณทางโทรศัพท์เมื่อครู่ว่าฉันรู้ว่าฉันทำผิดไปแล้ว เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อชื่อเสียง ไม่บอกแผนร้ายของประธานสวี่กับคุณได้ทันเวลา ทำให้คุณต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายในคืนวันงานนั้น”
ฉินจื่อเฟิงพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ในใจเกิดรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา
ดูท่าทางของฉินจื่อเฟิงเหมือนต้องการจะพูดอะไรต่อ หล่อนจึงรีบยกมือขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน :”เมื่อกี้เธอพูดว่าในงานเลี้ยงฉันน้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น คือเรื่องอะไร แล้วเธอรู้ได้อย่างไร”
ฉินจื่อเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตาโพลงแล้วตอบว่า: “หลังจากที่คุณไปร่วมงานเลี้ยงวันนั้น ประธานสวี่ก็รีบป่าวประกาศว่าคุณถูกคู่ค้าฝ่ายตรงข้ามทำมิดีมิร้าย”
ฉินจื่อเฟิงเพิ่งอายุเพียงยี่สิบนิดๆเท่านั้น ยังเป็นหญิงสาวหน้าบางแน่นอนว่าเธอไม่เหมือนสวี่อันฉิงที่พูดจาโผงผางไร้ยางอาย จึงพูดแค่เพียงประโยคนั้น
แต่ว่าเสิ่นอีเวยรู้จักคนอย่างสวี่อันฉิงดี ต่อให้ฉินจื่อเฟิงไม่ได้เล่าโดยลงรายละเอียด แต่หล่อนก็พอจะเดาได้ว่าสวี่อันฉิงพูดนินทาว่าร้ายอะไรหล่อนไว้บ้าง
มิน่าล่ะวันที่ตอนที่หล่อนเข้าไปในบริษัททุกคนต่างมองหล่อนด้วยสายตาที่แปลกๆ ดูท่าสิ่งที่สวี่อันฉิงใส่ร้ายหล่อนจะได้ผลอยู่มากทีเดียว
ตอนนั้นเองเสียงของฉินจื่อเฟิงปนด้วยเสียงสะอื้นเล็กๆ: “ประธานเสิ่น ฉันขอโทษคุณจากใจจริง ฉันทำผิดเองที่ฉันหักหลังคุณที่ดีกับฉันมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันขี้ขลาด คุณคงไม่ต้องเจอเรื่องแย่ๆที่งานวันนั้น”
เสิ่นอีเวยคิดว่าหากปล่อยให้ฉินจื่อเฟิงคิดจินตนาการต่อไปแบบนี้คงจะไม่ดีแน่ เรื่องก็จะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่
หล่อนจึงหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ฉินจื่อเฟิงแล้วใช้น้ำเสียงเหมือนพี่สาวปลอบน้องสาวว่า: “ไม่ต้องร้องนะ เช็ดหน้าเช็ดตาซะ”
ฉินจื่อเฟิงรับกระดาษทิชชู่ไปอย่างว่าง่าย
เสิ่นอีเวยเปลี่ยนท่าทีกลับมาจริงจัง : “จื่อเฟิง ที่เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเจอในงานเลี้ยงวันนั้น ฉันอยากจะรู้ว่าสวี่อันฉิงบิดเบือนความจริงสร้างเรื่องไว้ว่ายังไงบ้างที่บริษัท แต่ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่หล่อนเที่ยวนินทาหรอกนะ คืนวันนั้นฉันเรื่องขึ้นจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เกิดเรื่องเลวร้ายอย่างว่านั้น ดังนั้นที่พวกเธอได้ยินมันก็แค่ข่าวลือเท่านั้น
ฉินจื่อเฟิงได้ยินเสิ่นอีเวยพูดอย่างนั้นจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา สีหน้าก็ค่อยๆดูดีขึ้น
นึกได้ว่าวันนี้ที่หล่อนนัดเสิ่นอีเวยมานั้นยังมีอีกเรื่องที่สำคัญกว่า หล่อนกุลีกุจอหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋ามาวางกลับหัวอยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวย
เสิ่นอีเวยก้มลงมาดู ก็พบว่าเป็นปากกาอัดเสียงแท่งหนึ่ง