สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 176
บทที่ 176 ความคิดทัศนคติของเสิ่นอีเวยที่”เปลี่ยนแปลง”ไป
ด้วยนิสัยคนอย่างเสิ่นอีเวยไม่ต้องให้คนขี้โมโหอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงมาพูดหรอก แต่ครั้งนี้หล่อนเองยังไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แค่ตัวเองรู้สึกว่าระหว่างเธอและเขาควรจะเจอกันน้อยลง
หรือแค่หลีกเลี่ยงความโหโหของเซิ่งเจ๋อเฉิงหรอ? เสิ่นอีเวยก็พูดถูก
สิ่งเดียวที่หล่อนรู้ก็คือคำตอบที่สถิตอยู่ในใจนั่นคือหล่อนไม่อยากหักหลังความรู้สึกของตัวเอง
“แต่ว่า”
เสียงปลายสายของฉินโม่ยังคงรบเร้าตัวเองไม่เลิก เขายังไม่ทันพูดจบหล่อนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ฉันมีเรื่องที่จะต้องทำต่อ วันนี้ไม่มีเวลาจริงๆ ฉันขอไม่คุยต่อแล้ว ขอให้คุณและคุณหมอลู่พูดคุยกันให้สนุก ขอตัวก่อน”
เสิ่นอีเวยใช้คำพูดปกติแล้วก็ตัดสายทิ้ง
หน้าจอโทรศัพท์ดับลงแล้วเสิ่นอีเวยถึงกับถอนหายใจโล่งอกไปที
อีกฝั่งหนึ่ง มือขวาของฉินโม่ที่หยิบโทรศัพท์อยู่ถึงกับหยุดนิ่งตอนที่เขาเอาโทรศัพท์ออกจากหู สีหน้าของเขากับไร้ซึ่งความรู้สึก
หมอลู่เห็นสีหน้าฉินโม่ในใจคงเข้าใจอะไรขึ้นมา ฉินโม่ยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา พลางเอ่ยว่า : “อี
เวยบอกว่าวันนี้เธอยุ่งไม่มีเวลาปลีกตัวมา เดี๋ยวค่อยมาวันหลัง”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากับไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ว่าสีหน้าดูปกติดี
คุณหมอลู่อยู่ดีอยู่แก่ใจได้แต่หยิบโทรศัพท์กลับคืนมาแล้วมองสีหน้าเพื่อนของตนเองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาสักคำ
ฉินโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับหมอลู่ สีหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ คุณหมอลู่โบกมือไปมาตรงหน้าเขา แล้วถามต่อ : “คิดอะไรอยู่หรอ?”
ฉินโม่เงยศีรษะขึ้นแล้วแกล้งยิ้มให้ : “ไม่มีอะไร”
คุณหมอลู่ถึงกับอดยิ้มไม่ได้ เขารีบจัดการงานที่อยู่ในมือและพูดต่อไปพร้อมกัน : “ปัญหาใหญ่ของแกก็คือแกถลำลึกกับความรู้สึกมากไป คนที่แกกพูดด้วย แกน่าจะชอบมาหลายปีแล้วใช่ไหม?”
ฉินโม่ยิ้มตอบให้คุณหมอลู่ แล้วเอ่ยตอบกลับ : “ตั้งแต่มหาวิทยาลัย”
คุณหมอลู่ถึงกับตกใจและพยักหน้าไปคิดไปด้วย แล้วเอ่ยขึ้น : “ฉันไม่เข้าใจแล้วว่าแกชอบเขามาตั้งแต่มหาวิทยาลัยแล้วทำไมตอนนี้หล่อนแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วหล่ะ?”
สายตาของฉินโม่ช่างหมดหวัง เขาถอนหายใจเบาๆ : “เฮ้อ แกก็รู้ว่าฉันพลาดไปแล้ว ตอนนี้ยังมาหัวเราะเยาะฉันอีก”
คุณหมอลู่พยักหน้าตอบแล้วค่อยๆวางปากกาที่อยู่ในมือลง เหมือนมีเรื่องอะไรที่อยากคุยกับฉินโม่
ที่จริงแล้วคุณหมอลู่ไม่ได้รู้จักกับฉินโม่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉินโม่เรียนจบก็ขอทุนบินไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเลยทำให้รู้จักกันที่นั่น จากนั้นคุณหมอลู่ก็บินกลับประเทศมาทำงานต่อทั้งคู่ก็ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา
ฉินโม่เป็นคนเงียบๆเพื่อนเลยน้อยไปด้วย หลังจากกลับมาจากต่างประเทศก็ติดต่อคุณหมอลู่ทันที ด้วยอายุที่ใกล้เคียงกัน ต่างทำงานในด้านที่ตัวเองถนัดเลยทำให้คุยกันถูกปากถูกคอ
จนวันนี้มาเห็นเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับความรักจนเปลี่ยนไปจนถึงขนาดนี้ คุณหมอลู่ถึงกับตกใจเลยได้แต่ถามเขาอยู่หลายประโยค
คุณหมอลู่เห็นสีหน้าฉินโม่ดูเคร่งเครียดขึ้น เขาเลยพูดตามปกติ : “ฉินโม่ เราก็เป็นเพื่อนกันมาหลายปี ฉันมีเรื่องอยากเตือนแก คุณเสิ่นถึงยังไงก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แกน่าจะเข้าใจความหมายของฉันดี ฉันรู้ว่าแกจริงใจกับหล่อน แต่ว่าสามีของเขาคือเซิ่งเจ๋อเฉิง ฉันแค่เป็นห่วงว่าแกกับเขาจะมีเรื่องบาดหมางกัน แกเข้าใจความหมายของฉันไหม?”
ฉินโม่ได้ยินที่หมอลู่พูดว่า “เซิ๋งเจ๋อเฉิง” ในสมองกลับปรากฏเป็นภาพขึ้นมาที่คราวก่อนที่เขากับเสิ่นอีเวยอยู่ในห้องโถงนิทรรศการการออกแบบชุดแต่งงานนั่น
พื้นฐานชีวิตของฉินโม่เป็นคนปกติธรรมดาที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ที่จริงตั้งแต่เจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาก็รู้ดีว่า พื้นฐานของตัวเองกับผู้ชายคนนั้นมันช่างแตกต่างกัน เขาเป็นคนธรรมดาเรียบง่ายไป
นอกจากความภาคภูมิใจที่ติดตัวมาและหัวใจของเขาที่มอบให้เสิ่นอีเวยตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉินโม่รู้ดีว่าตัวเองไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบกับเซิ่งเจ๋อเฉิงได้เลย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เสิ่นอีเวยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาแต่งงานกันแล้วนี่คือความจริงที่สุดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ และเรื่องนี้ก็ยังคงถูกเก็บงำไว้ในใจของฉินโม่ตลอดเวลาและไม่ยินยอมจะคิดถึงความเป็นจริงของเรื่องนี้อีก
เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ฉินโม่คิดกับตัวเองมาโดยตลอดว่าไม่ได้ประพฤติผิดอะไรกับเสิ่นอีเวย เขามีติความจริงใจส่งไปให้ก็ได้รับความจริงใจกลับมา แต่ว่าสิ่งของบางอย่างที่ไม่สามารถซึมเข้าไปได้ก็ไม่บังคับให้มันซึมเข้าไป
ถ้ารักใครสักคนสิ่งแรกที่ควรมีคือจริยธรรม
ยิ่งเมื่อครู่ได้คุยกับหล่อนทางโทรศัพท์ เขาเองก็รับรู้ได้ว่าความรู้สึกของเสิ่นอีเวยที่มีกับตัวเองนั้นมันเปลี่ยนไปมาก คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคนั่นชี้ชัดแล้วว่ารู้สึกห่างเหินไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
ที่จริงฉินโม่ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้จริงๆ แต่ไม่มีทางความจริงมันก็คือความจริง หล่อนถึงได้ปฏิเสธเขาซึ่งๆหน้า
แต่ว่าเขายังไม่ถอดใจตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนถึงวันนี้เวลาล่วงเลยมาเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ในใจฉินโม่ได้แค่แกล้งทำเหมือนว่าเสิ่นอีเวยไม่ได้มีคนอื่น
คราวที่แล้วที่บินกลับมายังประเทศ ครั้งแรกที่เขาได้เจอหน้าเสิ่นอีเวยหลังจากนั้นเขาก็รู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว นาทีนั้นเขาโศกเศร้าและผิดหวังจนมันยึดติดกับชีวิตอยู่นาน
ยิ่งตอนที่ฉินโม่รู้ว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเสิ่นอีเวยและเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ดีเท่าที่ควร เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขามีความสุขและสบายใจอยู่
ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเธอมาตั้งหลายปี เขาไม่มีวันเชื่อหรอกว่าหล่อนจะมองไม่ออก เพราะฉะนั้นคราวที่แล้วที่เจอกันฉินโม่เลยได้สาบานว่าหากเซิ่งเจ๋อเฉิงทำเธอบาดเจ็บ เขายินดีที่จะไปรับเธอกลับมา
แต่ตอนนี้เห็นสิ่งที่เสิ่นอีเวยทำกับเขาแล้ว ฉินโม่ถึงกับปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์ในใจของเขากลับมาคิดมากมายอีกครั้ง
ทางฝั่งคนที่ตัดสายทิ้ง หล่อนมองงานที่หล่อนทำเสร็จวางกองอยู่ตรงหน้าแทบไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นเลยนอกจากจัดการเรื่องพวกนี้ต่อ
สักพัก เสิ่นอีเวยก็ยกแขนขึ้นเพื่อดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ตั้งแต่คุยกับฉินโม่เสร็จเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ใจในหล่อนคิดว่า : เขาคงกลับไปจากห้องหมอลู่แล้วแหละมั้ง?
หล่อนเงียบอยู่นานจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิ้วขาวเรียวยาวค่อยๆเลื่อนหน้าจอให้ขยับเบาๆแล้วกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาคุณหมอลู่
เสียงสัญญาณดังอยู่สามครั้งปลายสายก็รับสาย
“ฮัลโหล คุณเสิ่น”
เสิ่นอีเวยสางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วลุกเดินไปคุยโทรศัทพ์ข้างหน้าต่างแทน
“ฮัลโหล คุณหมอลู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณหมอยุ่งอยู่ไหม?”
“ไม่ยุ่ง มีอะไรหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?