สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 200
บทที่ 200 ให้ฉันได้ฟังว่าคุณพบเจอกับเรื่องอะไรมา
เสิ่นอีเวยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “รบกวนคุณช่วยพาฉันไปหาคุณเจิ้งหน่อยค่ะ”
บริกรยิ้มและผายมือออกไปทางด้านขวา “เชิญคุณเสิ่นครับ”
บาร์แห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกเป็นฟลอร์เต้นรำขนาดใหญ่ บริกรพาเสิ่นอีเวยเดินผ่านชายหนุ่มหญิงสาวในเสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปบนชั้นสาม
ฉนวนกั้นเสียงของที่นี่ดีมาก ประตูตั้งอยู่ระหว่างฟลอร์เต้นรำบนชั้นหนึ่งกับทางเดินที่ขึ้นไปสู่ชั้นบน เมื่อประตูถูกปิดลงเสียงอึกทึกเกือบทั้งหมดก็ถูกกั้นเอาไว้ข้างนอก ข้างในนั้นเงียบสงบและเสิ่นอีเวยก็มีอาการประหม่าเล็กน้อย
บริกรพาเธอไปที่ชั้นสาม เสิ่นอีเวยเดินตามอีกฝ่าย ในที่สุดก็อดไม่ได้ถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “คุณแน่ใจเหรอว่าคุณเจิ้งอยู่ที่นี่?”
บริกรหันกลับมา สีหน้ายังคงไว้ซึ่งความสุภาพ “ใช่ครับ คุณเสิ่นกรุณาตามผมมา”
เสิ่นอีเวยยอมรับว่าเธอประหม่าเล็กน้อยแต่เธอไม่ได้กลัว แม้ว่าเจิ้งอวี๋นชวนอยากจะแกล้งเธออีกและยังต้องพะว้าพะวังกับหน้าตาของหุ้นส่วนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเธอและเซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็สามารถพึ่งพาเซิ่งเจ๋อเฉิงในด้านจิตใจได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จิตใจของเธอก็สงบลงมาก เธอเอื้อมมือแปรงผมจากหน้าผากของเธอไปทางหลังหู แล้วก้าวตามบริกรไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ในที่สุดคนสองคนก็หยุดลงที่ประตูตรงปลายสุดของทางเดินยาว เสิ่นอีเวยที่เพิ่งเดินมาถึงได้มองสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน นอกจากฟลอร์เต้นรำในห้องโถงชั้นหนึ่ง ชั้นสองและชั้นสามก็ดูเหมือนจะเป็นที่นั่งพิเศษเกือบทั้งหมด เมื่อมองจากภายนอก การตกแต่งนั้นมีระดับและหรูหรามาก
เสิ่นอีเวยยิ้มเยาะอยู่ในใจ ฮ่า เป็นคุณชายเจิ้งจริงๆ ซึ่งเคยคลุกคลีอยู่ในสถานที่เหล่านี้
บริกรหันกลับมามองเสิ่นอีเวยสักครู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วเดินออกไปด้านข้าง ก่อนจะพูดขึ้นมา “เชิญครับ คุณเสิ่น”
เสิ่นอีเวยยืนอยู่ที่ประตู ตั้งแต่วินาทีที่ประตูเปิดออกเธอก็ได้กลิ่นควันและไวน์ เธอขมวดคิ้วอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อเสิ่นอีเวยเดินเข้าไปด้านใน สายตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะเมื่อเธอเดินเข้ามาจากประตู ทางเดินเล็กๆ ที่ไม่ยาวนักเหมือนทางเดินเข้าบ้านในที่อยู่อาศัย ยืนอยู่ที่หน้าประตูแทบมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมด้านใน
หลังจากที่เสิ่นอีเวยเดินเข้ามาก็พบว่าพื้นที่ของที่นั่งวีไอพีนั้นใหญ่มากและมีการออกแบบอย่างหรูหรา แสงสีของโคมระย้าคริสตัลบนเพดานค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของทุกคนในที่นั่งวีไอพี โซฟากว้างรูปครึ่งวงกลม มีโต๊ะกระจกสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตรงกลางและมีไวน์เต็มโต๊ะ
สายตาของเสิ่นอีเวยกวาดผ่านใบหน้าของทุกคนในนี้เพื่อค้นหาคนที่เธอกำลังตามหา แต่เนื่องจากแสงสว่างในห้องสลัวเกินไปเธอจึงรู้สึกค่อนข้างกินแรง
ในเวลานี้บริกรเดินไปที่มุมโซฟาซึ่งเป็นจุดที่แสงไฟมืดที่สุด เสิ่นอีเวยได้ยินบริกรพูดว่า “คุณเจิ้งครับ ผมพาคุณเสิ่นมาถึงแล้วครับ”
เสิ่นอีเวยมองไปทางนั้น มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่จริงๆ สิ้นเสียงของบริกรก็มีใครบางคนเปิดไฟในห้องขึ้นมา เสิ่นอีเวยจึงมองเห็นเจิ้งอวี๋นชวนแล้ว
ฝ่ายหลังกำลังนั่งพิงอยู่บนโซฟาอย่างเกียจคร้านพร้อมกับแสดงออกอย่างมีสมาธิแน่วแน่บนใบหน้า เจิ้งอวี๋นชวนกำลังคุยกับบริกร แต่ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นอีเวย
“โอเค แกไปหา Cecilia แล้วเธอจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสม” น้ำเสียงของเจิ้งอวี๋นชวนไม่อนาทรร้อนใจ
บริกรยิ้มอย่างสุขใจและคำนับให้เจิ้งอวี๋นชวน ในขณะที่เดินไปที่ประตูก็คิดกับตัวเองว่า แค่พาคนขึ้นมาจากชั้น 1 ให้คุณชายคนนี้เท่านั้นก็ได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ถ้าโชคดีแบบนี้ทุกวันก็คงดี
มีผู้หญิงรูปร่างดีคนหนึ่งนั่งซบอยู่ในอ้อมแขนของเจิ้งอวี๋นชวนและวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่ม มันช่างเป็นภาพที่ดูฟุ้งเฟ้อหรูหรายิ่งนัก เสิ่นอีเวยมองดูคนที่อยู่ตรงหน้า ในใจคิดประชดประชัน
“คุณเสิ่น คุณมาสายนะ” เจิ้งอวี๋นชวนเอ่ยปากเบาๆ มองเข้าไปในดวงตาของเสิ่นอีเวยแต่กลับมีรอยยิ้มครุ่นคิด
ในเวลานี้ภาพที่อยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวยเป็นเช่นนี้ ระหว่างเธอกับกลุ่มคนบนโซฟาฝั่งตรงข้ามมีโต๊ะสีดำขนาดใหญ่ขั้นอยู่ คนบนโซฟานอกจากเจิ้งอวี๋นชวนแล้วเธอก็ไม่มีรู้จักใครอีกเลย บางคนแค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายที่มีเงินมีอำนาจเช่นเดียวกับเจิ้งอวี๋นชวน เช่นเดียวกับผู้หญิงหลายคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นสาวนั่งดริงก์ในบาร์แห่งนี้
เสิ่นอีเวยไม่เคยรับมือกับสถานการณ์แบบมือตามลำพังมาก่อน ในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องที่เซิ่งเจ๋อเฉิงถูกชายตรงหน้าข่มขู่ว่าเขาอาจจะไม่ให้ความร่วมมือกับบริษัทเซิ่งซื่อ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา
คุณต้องการแค่คำขอโทษไม่ใช่เหรอ? วันนี้ฉันจะให้คุณ เสิ่นอีเวยพูดอยู่ในใจด้วยความโกรธ
เธอใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ของตน จากนั้นจึงฝืนยิ้มออกมาจากมุมปาก เสิ่นอีเวยกล่าวว่า “ต้องขอโทษเป็นอย่างมากค่ะคุณเจิ้ง ระหว่างทางฉันเกิดปัญหาบางอย่างจึงทำให้มาสาย หวังว่าคุณคงให้อภัย”
เจิ้งอวี๋นชวนยิ้มและปล่อยสาวสวยที่ซบอยู่ในอ้อมแขนของเขาออก จากนั้นก็โน้มลงมาข้างหน้าทันที ข้อศอกทั้งสองข้างวางลงบนหัวเข่า มองเสิ่นอีเวยด้วยความสนอกสนใจ “เอ๋? เกิดปัญหาระหว่างทางเหรอ? เรื่องอะไรกัน ไหนคุณเสิ่นลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
เสิ่นอีเวยขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เธอเกิดปัญหาอะไรขึ้นระหว่างทาง นี่ไม่ใช่คำถามที่มีคุณประโยชน์อะไรเลย เจิ้งอวี๋นชวนจะมาสนใจอะไรในเรื่องนี้? หรือว่าแค่ต้องการฟังความลำบากของเธอ?
เสิ่นอีเวยบุ้ยปากเล็กน้อย ไม่พูดจา มองเจิ้งอวี๋นชวนอย่างเงียบๆ
เจิ้งอวี๋นชวนมองผู้หญิงคนนี้ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตน รูปร่างของเธอไม่นับว่าสูง แต่ด้วยร่างกายที่ผอมเพรียว รูปร่างได้สัดส่วน เธอจึงมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอย่างชัดเจน
ตั้งแต่ตอนที่เธอเดินเข้าประตูมา เขาก็สังเกตเห็นว่ารูปลักษณ์ของเธอในวันนี้นั้นแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย เธอดูตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างเห็นได้ชัด เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอพบกับปัญหาบางอย่างระหว่างทางทำให้เธอมาสาย ทันทีที่เขาได้ยินก็รู้สึกสนใจมากขึ้น
ใบหน้าของเสิ่นอีเวยไม่มีการแสดงออกใดๆ มองไม่เห็นสีหน้าที่มีความสุข แต่ก็มองไม่เห็นความไม่ให้เกียรติใดๆ เธอกล่าวขึ้นเบาๆ “ฉันไม่คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรที่จะพูดถึงเรื่องนี้ วันนี้ฉันมาพบคุณเจิ้งด้วยเรื่องที่สำคัญกว่า”
น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยมีความเหมาะสมพอดี แฝงไปด้วยการโต้แย้ง ผู้คนที่นั่งรายล้อมเจิ้งอวี๋นชวนต่างสูดหายใจลึก พวกเขาไม่เคยพบใครที่กล้าเจรจากับคุณชายเจิ้งมาก่อน
บาร์แห่งนี้เปิดโดยเพื่อนของเจิ้งอวี๋นชวนที่อยู่ในประเทศจีน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นดีมาก และคนที่อยู่ข้างๆ ก็รู้จักซึ่งกันและกันมานาน ทุกคนต่างรู้จักหัวนอนปลายเท้าของคุณชายเจิ้งคนนี้ และรู้ว่านิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างไร
คนที่กล้าพูดเช่นนี้กับเขา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ต้องไม่ได้รับจุดจบที่ดีแน่ หลังจากสิ้นเสียงของเธอ เสิ่นอีเวยก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโดยรอบ
สีหน้าของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเฝ้ารอดูละครฉากใหญ่ ส่วนเจิ้งอวี๋นชวนกลับมองมาที่ตนเองด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
เจิ้งอวี๋นชวนมองดูเสิ่นอีเวยแล้วกลับคืนสู่ท่าเดิมตอนแรกเริ่มของเขา เอนตัวพิงโซฟาที่กว้างใหญ่และอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน
วินาทีต่อมาเขาตั้งใจกระแอมเสียงแล้วบอกว่า “เห็นแก่ที่เราต่างรู้จักสนิทสนมกัน ผมแนะนำให้คุณเสิ่นเชื่อฟังผม เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องที่พบเจอมา มิฉะนั้นเรื่องสำคัญกว่าที่คุณว่า ผมก็ไม่คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องคุยกันต่อไปแล้ว คุณเสิ่น คุณว่าไง?