สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 224
บทที่ 224 ลำคอของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
เซิ่งเจ๋อเฉิงเทน้ำแล้วยื่นให้เสิ่นอีเวย แต่ยังไม่มีการแสดงออกบนใบหน้าของเขา เสิ่นอีเวยยื่นมือออกไปรับน้ำแก้วนั้นและไม่มีทีท่าว่าจะพูดจา
ทั้งสองคนปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ อย่างเงียบงัน
บรรยากาศที่อึดอัดหมุนเวียนอยู่ระหว่างคนสองคน เสิ่นอีเวยเอาแต่ก้มหน้าดื่มน้ำอย่างเงียบๆ ด้วยความเร็วที่ช้าที่สุดในชีวิตของเธอ
ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้กับบรรยากาศที่กดดันนั้น เริ่มเอ่ยปากทำลายความเงียบลง “ขอบคุณ”
น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยนั้นเบาบาง ฟังดูไม่เหมือนขอบคุณ และไม่เหมือนยั่วเย้า
แน่นอนว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่ค่อยพอใจกับคำขอบคุณอันล่องลอยของเธอมากนัก
ชายคนนั้นยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ขอบคุณเหรอ? ขอบคุณผมทำไม? จะว่าไปแล้วผมสิต้องขอบคุณคุณก่อน”
เสิ่นอีเวยตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นจากแก้วน้ำแล้วถามว่า “คุณหมายว่ายังไง?”
“ความหมายตามตัวอักษร ขอบคุณที่ไปหาเขาตามลำพัง ถูกขังและข่มขู่อยู่ในบ้านสีดำเล็กๆ แล้วยังถูกบังคับให้ดื่ม BlackLabel ทั้งขวด เพื่อให้เจิ้งอวี๋นชวนไม่ยกเลิกความร่วมมือกับบริษัทเซิ่งซื่อ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบในคราวเดียว แม้ว่าเขาจะพูดเร็วเกินไปแต่ก็ไม่สามารถปิดบังน้ำเสียงเหน็บแนมที่เด่นชัดของเขาได้
เสิ่นอีเวยไม่สนใจเขา ไม่คิดจะต่อความยาวกับเขา ผ่านไปพักใหญ่ก็เพียงพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างเหนื่อยหน่าย “เขาไม่ได้บังคับฉัน เหล้าขวดนั้นฉันดื่มด้วยความเต็มใจ”
เสียงยิ้มเยาะของเซิ่งเจ๋อเฉิงชัดเจนยิ่งขึ้น “ไม่ได้บังคับคุณเหรอ? เสิ่นอีเวย คุณอย่าบอกผมนะว่า ในความเข้าใจของคุณมีเพียงการที่ถูกคนอื่นใช้มีดจี้ที่คอของคุณให้ทำอะไรถึงจะเรียกว่าถูกบังคับน่ะ ตอนนั้นเจิ้งอวี๋นชวนบอกให้คุณดื่มเหล้าขวดนั้นหรือเปล่า เขาไม่คิดถือสาเรื่องราวทั้งหมด และตอบตกลงร่วมงานกับบริษัทเซิ่งซื่ออย่างสบายใจงั้นเหรอ?”
เสิ่นอีเวยมองไปที่ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงซึ่งมีสีดำราวกับน้ำหมึกแล้วพยักหน้าอย่างเรียบเฉย
“…”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเสิ่นอีเวยมีท่าทางฉลาดเฉลียวเช่นนี้เขาก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสิ่นอีเวยบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เจิ้งอวี๋นชวนทำที่อังกฤษเมื่อห้าปีก่อน เขาก็เชยตาขึ้นแล้วพูดว่า “หลังจากผ่านประสบการณ์ห้าปีระหว่างเขากับคุณที่อังกฤษมาแล้ว คุณก็น่าจะรู้ว่าเจิ้งอวี๋นชวนเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาก แล้วคุณยังเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมาจากปากอีกเหรอ?”
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าความรู้สึกของเธอผิดไปหรือเปล่า แม้ว่าคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงจะยังคงคาดคั้นถามเธออยู่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาพูดกับเธอเมื่อครู่ เธอยังพอฟังออกว่าในประโยคนั้นไม่แฝงความยิ้มเยาะเอาไว้แล้ว
เธอกัดริมฝีปากของเธอเบาๆ ลดสายตาลงมองแก้วน้ำที่ว่างเปล่าในมือ เธอคิดว่าจะตอบคำถามของเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างไรดีเธอลังเลก็เพราะเธอบอกเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้ว่าเธอต้องการช่วยเหลือเขาด้วยกำลังของเธอเอง ต้องการคลี่คลายปัญหาเรื่องเจิ้งอวี๋นชวนซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โดยเร็วที่สุด ให้เจิ้งอวี๋นชวนอย่าสร้างความลำบากให้กับเซิ่งเจ๋อเฉิงในการร่วมมือกับบริษัทเซิ่งซื่อ
ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะอธิบายเหตุผล เพียงแค่เปิดปากพูดสองสามคำ แต่เสิ่นอีเวยไม่ต้องการให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรับรู้อารมณ์ของเธอในเวลานั้น
เพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นในห้อง มันก็ชัดเจนว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ความพยายามทั้งหมดที่ตนเองทำมานั้นไร้ประโยชน์ จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนที่เธอจะสลบไปเพราะฤทธิ์เหล้า เธอก็ไม่ได้ยินคำพูดของเจิ้งอวี๋นชวนที่จะไม่เอาเรื่องเอาราวอดีตที่ผ่านมา ไม่วิตกกังวลในเรื่องความร่วมมือกัน
เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นว่าเสิ่นอีเวยไม่พูดอะไร ก็ไม่คิดที่จะยุ่งกับปัญหานี้อีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งแล้วถามว่า “เจิ้งอวี๋นชวนบอกว่าคุณมีอาการกลัวที่แคบ มันเรื่องอะไรกัน?”
พอเสียงของเขาเบาลง เสิ่นอีเวยก็หยุดมือที่กำลังลูบแก้วและเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิง ในที่สุดเธอก็ตอบว่า “สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง”
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
เสิ่นอีเวยไม่ได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงที่เย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดังก้องขึ้นในหูของเธอ “เจิ้งอวี๋นชวนรู้ได้ยังไง?”
เสิ่นอีเวยครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในลิฟต์ของบริษัทเมื่อตอนกลางวันและสาเหตุที่เจิ้งอวี๋นชวนต้องการถามเธอเกี่ยวกับที่มาที่ไปของอาหารที่เธอกินให้ได้
แต่ตลอดการเล่าเรื่องเธอไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่อาการกลัวที่แคบของเธอเลย
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ดังนั้นเจิ้งอวี๋นชวนยังตั้งใจขังคุณไว้ในห้องใต้ดินของบาร์ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณมีอาการกลัวที่แคบงั้นเหรอ?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินเซิ่งเจ๋อเฉิงถามคำถามนี้ ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมวันนี้เธอถึงได้โง่เขลาและถูกเจิ้งอวี๋นชวนปั่นหัวถึงเพียงนี้
ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นถามตนเองว่าทำไมถึงมาสาย หาเหตุผลอะไรง่ายๆ บอกเขาไปก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องบอกเขาว่าลิฟต์มีปัญหาจนลากยาวไปถึงอาการกลัวที่แคบของตนเอง?
ดังนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงรู้แล้วว่าเสิ่นอีเวยนั้นเสียใจแค่ไหน
“อาการเจ็บป่วยของคุณมันมีสาเหตุมาจากอะไร?”
แม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับโรคชนิดนี้ แต่เขาก็ยังรู้ว่าเกือบ 90% ของปัญหานี้นั้นมีสาเหตุ
เสิ่นอีเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและบอกกับเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในห้องใต้ดินเมื่อเธออายุได้ 13 ปี
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงได้เงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเสิ่นอีเวยและมองลึกลงไปในดวงตาของเธอ “ตอนที่เจิ้งอวี๋นชวนพาคุณเข้าไปในโกดังเก็บเหล้า ตอนนั้นเขาอยู่ที่นั่นด้วยไหม?”
เสิ่นอีเวยพยักหน้าเล็กน้อย
ทันใดนั้นดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ลึกลงและเสียงของเขาก็เบาลง “เขาทำอะไรกับคุณหรือเปล่า?”
เสิ่นอีเวยชะงักไปเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอรู้ว่าเขาต้องคิดไปถึงสถานที่อื่นแล้ว
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “ไม่มี เขาแค่พูดอะไรบางอย่างที่โหดร้ายกับฉัน แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
เซิ่งเจ๋อเฉิงรับฟังคำตอบของเสิ่นอีเวย และนิ่งเงียบไม่พูดจาไปครู่หนึ่ง เมื่อเสิ่นอีเวยเห็นว่านานแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบจากเขาจึงถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไป?”
ถ้าเธอมองไม่ผิด สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงดูน่าเกลียดขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เธอพูดประโยคนั้นออกไป เสิ่นอีเวยไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม
วินาทีต่อมาเซิ่งเจ๋อเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “คุณแน่ใจเหรอ?”
เสิ่นอีเวยชะงักไป ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงถามขึ้นมาเช่นนี้
ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยๆ ขยับลงมาจากใบหน้าของเสิ่นอีเวยมาหยุดอยู่ที่ลำคอของเธอ ผิวของเสิ่นอีเวยนั้นขาว ทันทีที่มีร่องรอยเล็กน้อยก็จะเห็นอย่างชัดเจนทันที
ในขณะนี้มีรอยสีแดงเล็กๆ ปรากฏอยู่บนคอสีขาวบริสุทธิ์ของเสิ่นอีเวย ดูเหมือนรอยจูบ
และเพราะเหตุนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงรู้สึกว่าตรงนั้นมันช่างสะดุดตาเหลือเกิน สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
จากรอยแดงนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับบอกว่าเจิ้งอวี๋นชวนไม่ได้ทำอะไรเธอเลย
เสิ่นอีเวยมองเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เอาแต่เงียบไม่พูดจา เอาแต่จ้องมองมาที่ลำคอ ในใจก็เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงแค่รู้สึกว่ามีดวงไฟขนาดใหญ่สุมอยู่ภายในหน้าอกของเขา ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ถ้าเจิ้งอวี๋นชวนไม่ได้ทำอะไรคุณ แล้วที่ลำคอของคุณมันหมายความว่ายังไง?”
เสิ่นอีเวยชะงักไปเล็กน้อย เธอยกมือขึ้นแตะที่ลำคอของตนเองอย่างไม่รู้ตัว และถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “ลำคอ? ลำคอของฉันเป็นอะไรเหรอ?”