สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 235
บทที่ 235 เซิ่งเจ๋อเฉิงอารมณ์แปรปรวนรวนเร
รถยนต์วิ่งเข้าสู่ถนนสายหลักภาพโดยรอบรถเริ่มวิ่งผ่านอย่างรวดเร็ว
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณ”
เสิ่นอีเวยเห็นถนนกว้างขวางที่อยู่ด้านหน้ามากขึ้น อยู่ดีๆก็เริ่มเปิดปากพูดคุย
เซิ่งเจ๋อเฉิงขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจไม่ได้หันกลับมามองหล่อนเลย : “เธอถามมาสิ”
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจเข้าก่อนถามเขา : “คนที่คอยดูแลเสิ่นหุ้ย พวกนั้นเขาไปไหนกันหมด? คุณให้พวกเขาห่างออกมาหรอ?”
ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ ทำให้เสิ่นอีเวยคิดขึ้นมาได้ว่าคำถามพวกนั้นหล่อนถามเขายกใหญ่จนไม่ได้หยุดหายใจเลย
ดูจากการแสดงออกทางใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้ว ดูเหมือนไม่ได้โกรธอะไร แต่มันมีด้านที่
เสิ่นอีเวยมองไม่เห็น ในดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับมีแสงแห่งความแตกสลายเป็นผุยผงผุดออกมา
ในความหมายที่แท้จริงจากดวงตานั่น นอกจากเขาแล้วคงไม่มีใครเข้าใจ
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรมันผิดแปลกไป ผ่านไปนานกว่าจะได้ยินเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆดังขึ้นมา
“ใช่”
คำตอบตรงๆมันก็คือคำตอบของตัวเองที่ชัดเจนที่สุด จากนี้ก็คงเงียบอยู่สักพักเหมือนว่าไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มันชัดเจน
เสิ่นอีเวยเงียบแล้วก้มหน้าทอดสายตาลงไปจับจ้องมองมือที่ทับกันบนเสื้อโค้ทสีเทาสนิทตัวใหญ่นั่น : “ทำไม?”
คำถามนี้มันเหมือนกับก้อนหินธรรมดาที่ไม่ได้เล็กมากหรือใหญ่มากอะไร ประมาณว่าเมื่อถูกคนโยนลงในน้ำผิวน้ำก็ไม่ได้กระเพื่อมตามน้ำหนักของก้อนหิน ตอนที่เอ่ยขึ้นมาก็เหมือนกับก้อนหินนั้นมันจมดิ่งลึกลงไป ไม่ได้มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นตามมา
ในรถกลับมาเงียบสนิทดั่งเดิมอีกครั้ง เสิ่นอีเวยเอาแต่ก้มศีรษะตลอด ผู้ชายคนนั่นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หล่อนคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคงไม่ตอบคำถามนี้กับหล่อนอีกแน่
ก็ใช่อีก ตั้งแต่ถามมาในใจหล่อนก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบคำถามนี้อยู่ดี
ฉะนั้นที่เขาทำเหมือนไม่สนใจในคำถามของหล่อน เสิ่นอีเวยก็พอเดาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ความเร็วของรถเริ่มทะยานขึ้นเรื่อย เสิ่นอีเวยเวยกมือจับแน่นแล้วพิงศีรษะกับเก้าอี้นั่งด้านหลัง เหมือนว่าากำลังหาตัวช่วยของตัวเอง หล่อนหันศีรษะมองกระจกที่สะอาดเหมือนไปล้างมาจนสะอาดเอี่ยมอ่อง ถึงตอนนี้จะดึกดื่นมืดค่ำก็เต็มทีแต่สายตาของหล่อนก็ยังถือว่าดีมากที่ยังเห็นแสงสว่างไสวบนยอดเขาอันห่างไกลเป็นระยะๆ
ราวกับภาพวาดที่ถูกคนจัดการเติมแต่งท้องฟ้าในยามค่ำคืน
“เพราะมันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงดังอยู่ข้างหู เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจ มือที่กำลังกุมไว้แน่นถึงกับสั่นไม่หยุด หล่อนหันศีรษะกลับมา กลับเห็นสีหน้าด้านข้างของเขามั่นคงหนักแน่น เส้นกรามที่นูนขึ้นมานั้นกลับดูดีจนไม่น่าเชื่อ
แสงที่สาดส่องเข้ามาในรถจากด้านนอกนั้น แสงสลัวๆนั่นเป็นแสงที่สาดเข้ามาในรถสักพักก็หายไปตามระยะห่างของไฟ สีหน้าของเขามันช่างซ่อนความชัดเจนเอาไว้ ช่างทำให้คนดูไม่ออกจริงๆว่าเขาอารมณ์ไหน
ในใจเสิ่นอีเวยนั้นมันเหมือนถูกมือข้างหนึ่งกำลังบีบหัวใจมันไว้แน่น เพราะหล่อนมัวแต่สนอกสนใจกับคำพูดที่ออกมาจากปากของเซิ่งเจ๋อเฉิง “ไม่มีความหมาย”นั่นแหละ
ที่เขาพูดออกมามันหมายความว่ายังไงกัน? ในหัวสมองเธอกับผุดเรื่องที่น่ากลัวขึ้นมาแทน
“คุณหมายความว่าไง? ไม่มีความหมายอะไร? หรือเพราะว่าเสิ่นหุ้ยจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่ไหม?”
ในตอนนี้ ความสนใจของเสิ่นอีเวยกลับพุ่งประเด็นไปที่ซ่งเจ๋อเฉิง หล่อนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของตัวเองในตอนนี้กำลังสั่นอยู่
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งเงียบอยู่สักพัก ยิ่งตอนที่ได้ยินอารมณ์ที่แสดงออกมาจากน้ำเสียงของเสิ่นอีเวยเลยตอบตรงๆไป : “ที่ฉันบอกว่าไม่มีความหมายนั่นไม่ใช่หมายถึงเรื่องนี้ หมอก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า เสิ่นหุ้ยไม่ใช่ว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก แต่กลับกัน การใช้ยาในแต่ละวันเป็นยาที่สรรพคุณดีมาก ยิ่งร่างกายของเสิ่นหุ้ยเองก็ฟื้นตัวได้เร็ว หมอบอกว่าเปอร์เซนต์ที่หล่อนจะฟื้นขึ้นมานั้นเยอะมากกว่าเดิม”
เสิ่นอีเวยได้ยินสิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอธิบายมาทั้งหมด หล่อนก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจลึกๆของหล่อนนั้นมันความรู้สึกแบบไหน
“งั้น แล้วยังไงต่อล่ะ? ที่คุณบอกว่าไม่มีความหมายนั่นมันหมายถึงอะไร?”
น้ำเสียงของหล่อนเหมือนถามซักไซ้ไล่เรียงอย่างรู้ไส้รู้พุงแบบนั้น
พวงมาลัยในมือของเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังเลี้ยวไปอีกทาง รถก็เริ่มเปลี่ยนไปถนนเส้นอื่นแทน
“ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ฉันเริ่มจำไม่ได้ว่าต้องไปดูเสิ่นหุ้ยที่กำลังนอนป่วยอยู่ให้เหมือนเมื่อก่อน ถึงตอนนี้–”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดพูดต่อ
เสิ่นอีเวยที่กำลังตั้งอกตั้งใจรอฟังอยู่ด้านข้างคิดว่าเขากำลังคิดอยู่เดี๋ยวก็คงพูดต่อเอง แต่เวลาก็ผ่านมานานก็ไม่ได้ยินเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดขึ้นมาอีก
เสิ่นอีเวยรู้สึกสงสัยเลยหันไปมองแต่กลับทั้งตกใจและประหลาดใจมากที่เห็นสีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ตึงเครียดหนักกว่าเมื่อครู่อีก
“มีอะไรหรือเปล่า?” หล่อนถามเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบอยู่นานแล้วหัวเราะแห้งๆออกมา : “คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเปลี่ยนไปเป็นคนห่วงใยคนอื่น เริ่มห่วงใยเรื่องเสิ่นหุ้ยขึ้นมาบ้าง”
เสิ่นอีเวยเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเดินก้าวเท้าลงบันไดแล้วก้าวพลาดในอากาศขึ้นมา ยิ่งคำพูดประโยคนั้นของเขามันทำให้ใจของเธอยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข แปบเดียว เธอได้แต่หัวเราะตัวเองอยู่ในใจ
ก็ใช่อีกแหละ เซิ่งเจ๋อเฉิงเขาเป็นถึงใคร? คนอย่างเขาสันดานจะแก้ก็ไม่มีวันเปลี่ยน คิดว่ามันคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ยังไงก็คงไม่รับรู้หรือคิดถึงว่าหล่อนจะคิดยังไงอยู่ดี
ทว่า ในใจเธอคิดแบบนี้ แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความอ่อนแอให้เห็น
“เช่นนั้น คุณเซิ่งไม่อยากให้ฉันเข้าไปยุ่งเรื่องที่คุณเป็นห่วงเป็นใยเรื่องของเสิ่นหุ้ย งั้นรบกวนคุณเองก็เคารพสิทธิกันหน่อย อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน” ระดับของน้ำเสียงนั้นช่างเยือกเย็น
ความจริงแล้วบางเวลาเสิ่นอีเวยก็ยังรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย หล่อนอยู่กับเซิ่งเจ๋อเฉิงมาตั้งนมนาน บางครั้งหล่อนเองก็โง่งมที่ไปเรียนด้านที่เขาชอบยั่วทำให้โมโห เรียนเอาซะเหมือนกันเด๊ะ
อารมณ์เยือกเย็นเมื่อครู่นั้นก็เรียนมาจากเซิ่งเจ๋อเฉิงทั้งหมด เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองถูกผู้ชายคนนี้ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปจากปกติ
แท้จริงแล้วหรือว่าเหมือนที่ใครๆเขามาบอกกันมาว่า ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนนานวันเข้าจะเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนกับอีกคนหรอ? เรื่องนี้ เสิ่นอีเวยยอมรับนะว่าพูดได้ถูกต้องตามหลักการ แต่ว่าหล่อนก็คิดไม่ออก
บางเวลาเซิ่งเจ๋อเฉิงคนนี้ก็ขี้โมโห พูดก็ไม่เข้าหูคน แต่หล่อนก็ยอมรับว่าเขามีข้อดีต่างๆมากมาย แต่สิ่งที่หล่อนเรียนมาจากเขาก็คือเป็นสิ่งที่หล่อนเกลียดเขาทั้งนั้น?
เสิ่นอีเวยคิดไม่ออกจริงๆ
เสิ่นอีเวยมองริมฝีปากบางเซิ่งเจ๋อเฉิง สีหน้าเขาดูแทบไม่ได้ ยิ่งข้างทางมีโรงงานที่กำลังก่อสร้างอยู่มันเสียงดังรบกวนมาก แต่คำพูดของเสิ่นอีเวยเมื่อครู่เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู
ไม่มีทางที่เขาจะไม่สนใจ
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันมาด้านข้างจ้องมองหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมแพ้ยังคงจ้องมองตอบกลับอยู่ ดูจากสายตาที่กำลังฟาดฟันกันอยู่เหมือนว่าใกล้จะระเบิดเข้าเต็มที
ยิ่งตอนนี้กำลังขับรถอยู่ด้วย เซิ่งเจ๋อเฉิงได้แต่จ้องมองหน้าหล่อนแปบเดียว
เขาถามกลับอย่างเยือกเย็น : “ที่เธอพูดฉันไม่เข้าใจ ฉันไปยุ่งกับเธอเรื่องไหนกัน?”
เสิ่นอีเวยได้ยินที่เขาพูด ในใจหล่อนกลับตลกขบขันแทน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันไม่เคยแก้ไขไปในทางที่ดีเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นหล่อนไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะไปกระตุกต่อมทำให้เขาโกรธ
“ความจริงของคุณนี่ไม่ดีเอาซะเลยนะ ฉันอยู่ห้องพักผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยอยู่ดีๆก็ไม่ได้ร้องขอให้คุณมารับฉันสักหน่อยเลย คุณเองที่ขับรถมาแล้วให้ฉันกลับบ้านกับคุณเนี่ยนะ มันหมายความว่ายังไง?