สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 242
บทที่ 242 ตอนนี้ออกจากบริษัทเซิ่งซื่อได้แล้ว
จากประโยคของเซิ่งเจ๋อเฉิง ประโยคนั้น อุณหภูมิอากาศระหว่างคนทั้งสองดูเหมือนจะลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง
แววตาของเสิ่นอีเวยเย็นชาและมองตรงไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิง: “ประโยคที่คุณพูดออกมามันหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงไม่ให้ฉันไปทำงานที่เซิ่งซื่ออีก?”
เพราะความโกรธและคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิง ทำให้เธอตั้งตัวไม่ติด น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยมีความยั่วโมโหอย่างไม่พอใจปนออกมาในคำพูด เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังออก แต่เขากลับไม่อยากใส่ใจกับคำพูดยั่วโมโหของเธอ
“ถ้าเธอต้องการรู้เหตุผล ฉันบอกเธอให้ก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันต้องบอกเธอไว้ก่อนเลยคือ เสิ่นอีเวยเธอไม่มีทางที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้เลย”
เสิ่นอีเวยขมวดคิ้วแน่น เธอเกลียดน้ำเสียงแบบนี้ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงชอบพูดกับเธอ แต่ว่าตอนนี้เธออยากจะฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“ ตอนนี้เธอไม่สบายอยู่ ควรจะอยู่บ้านดูแลตัวเอง” เซิ่งเจ๋อเฉิงกล่าวอย่างกระชับ น้ำเสียงแกมบังคับฝ่ายตรงข้ามว่าห้ามปฏิเสธ
เสิ่นอีเวยยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า: “ฉันพูดชัดเจนแล้วว่า เรื่องที่ฉันป่วยมันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณสักนิดอีกอย่าง ตอนแรกคุณเป็นคนให้ฉันเข้าไปทำงานที่บริษัทเซิ่งซื่อเองไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เคยรู้สักนิด ในสายตาของคุณบริษัทใหญ่โตอย่างเซิ่งซื่อเป็นสถานที่ที่ใครอยากเข้าก็เข้า ใครอยากออกก็ออกง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ คุณเก่งเหลือเกินนะท่านประธานเซิ่ง ”
น้ำเสียงและคำพูดของเสิ่นอีเวยต้องการทำลายล้างทุกสิ่งที่เป็นอยู่ จุดประสงค์ก็คือเพื่อยั่วให้เซิ่งเจ๋อเฉิงโกรธ แต่คืนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้เขาชั่งมีน้ำอดน้ำทนกับเธอเหลือเกิน
เสิ่นอีเวยเองก็ยังรู้สึกงง
“ ไม่ เธอคิดผิดแล้ว ในสายตาฉันบริษัทเซิ่งซื่อไม่ใช้สถานที่ที่ใครอยากเข้าก็เข้า ใครอยากออกก็ออก แต่อำนาจที่จะตัดสินให้ใครจะอยู่หรือไปอยู่ในกำมือฉัน รวมถึงเธอด้วย ดังนั้น ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป ฉันประกาศว่า เธอไม่ใช้พนักงานของบริษัทเซิ่งซื่ออีกต่อไป”
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเธอโมโหจัดจนตัวร้อนแผ่ว เธอกำมือไว้แน่นซ่อนไว้ภายใต้แขนเสื้อ เธอพยายามควบคุมอารมณ์เพื่อไม่ให้กำปั้นของเธอพุ่งเข้าหาใบหน้าที่น่าต่อยของเซิ่งเจ๋อเฉิง
“แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด ตอนนี้ฉันเป็นถึงรองประธานของบริษัทเซิ่งซื่อไม่ใช่เหรอ? คุณจะมีอำนาจไล่ฉันออกได้ยังไง?” น้ำเสียงของ เสิ่นอีเวยเต็มไปด้วยความดื้อรั้นอย่างที่สุด
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มหัวลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลก เสิ่นอีเวยเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของ เซิ่งเจ๋อเฉิง แต่รอยยิ้มให้ความรู้สึกแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เสิ่นอีเวยรู้สึกอย่างชัดเจน
ตอนนี้รอยยิ้มของเซิ่งเจ๋อเฉิงแทบจะไม่แสดงถึงความดูถูกและเยาะเย้ย ซึ่งเมื่อก่อนเขาจะแสดงออกถึงการดูถูกและเยาะเย้ยเธอแทบทุกครั้งทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“อืม เธอพูดถูกแล้ว แต่ฉันก็จำได้ว่า ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะเป็นรองประธานของบริษัทเซิ่งซื่อหรือไม่ และไม่ว่าเธอจะดำรงตำแหน่งอะไรในบริษัท ฉันอยากจะบอกเธอว่าตำแหน่งใด ๆก็ตามเป็นสิ่งที่ฉันมอบให้กับเธอ ”
ความหมายของคำพูดนั้นช่างชัดเจนทุกประโยค ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด บางเรื่องไม่ต้องพูดออกมาอย่างชัดเจนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
เสิ่นอีเวยเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรได้แต่จ้องมองไปที่ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชาและความโกรธแค้น
“ถ้าอยากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดต่อไปว่า :”ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่เซิ่งซื่อ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเธอการตัดสินใจทุกอย่าง มันขึ้นอยู่กับฉันแค่คนเดียว พูดขนาดนี้ เธอน่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหม? ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงของผู้นำที่มั่นใจในความคิดของตน สองสิ่งนี้ในตัวเขาเป็นพลังที่ล้ำค่าในมนุษย์เดินดิน แต่สองสิ่งนี้ในตัวเขาเช่นกันที่เสิ่นอีเวยเกลียดเข้ากระดูกดำ
วินาทีต่อมา เสิ่นอีเวยยิ้มเยาะพูดว่า: “งั้นคุณก็หมายความว่าหากฉันเสิ่นอีเวยไม่มีคุณเซิ่งเจ๋อเฉิง ฉันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นใช่ไหม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งแต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา เขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังตีความคำพูดของเขาผิด
เขาตั้งใจให้เสิ่นอีเวยรู้ว่าเธอจะต้องออกจากบริษัทเซิ่งซื่อมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เธอไม่มีสิทธิ์เลือก เขาวางแผนจัดการเรื่องต่อจากนี้เรียบร้อยแล้ว
แต่ … ก็ถูก เขาควรจะรู้ล่วงหน้าว่านิสัยของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ดื้อรั้นเข้ากระดูก อาจจะไม่สามารถยอมรับในคำพูดน้ำเสียงและวิธีการสื่อสารของเขาก็ได้
เมื่อก่อน เขาคิดอยากเอาชนะเธอเพื่อความสะใจมาโดยตลอด ตอนแรกเป็นเพราะเขาเกลียดเธอ ดังนั้นจึงมักแสดงพฤติกรรมไม่ดีแบบนั้นออกไป แต่พอช่วงหลังจนถึงตอนนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในใจของเขา
เรื่องต่าง ๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เขารู้ว่านิสัยของเสิ่นอีเวยนั้นดื้อรั้นเพียงใด หากเป็นเรื่องที่เธอตัดสินใจแล้ว ถ้าถูกผู้อื่นคัดค้านโดยเฉพาะถูกเขาคัดค้าน เธอต้องต่อสู้จนสุดกำลัง ไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางยอมเป็นเด็ดขาด
ที่จริง เสิ่นอีเวยรู้ว่าเธอไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถแม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็ตาม
หรือว่า เขาดับความหวังของเธอมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ? เซิ่งเจ๋อเฉิงมองตาเสิ่นอีเวยอย่างเงียบสงบ เขาเม้มริมฝีปากบางๆแน่นไม่พูดอะไรต่อ
“ตอบฉันสิ ” เสิ่นอีเวยคะยั้นคะยอพลางเดินเข้าหาเซิ่งเจ๋อเฉิงอีกก้าว ท่าทางของเธอเหมือนจะบอกว่าถ้าเธอไม่ได้คำตอบคงไม่ให้เขาไปไหนแน่ ๆ
เธอยืนอยู่หน้าเขาอย่างหนักแน่นแล้วเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย แววตาที่ใสแจ๋วของเธอปนเปื้อนไปด้วยดวงใจที่แตกสลายและความสิ้นหวัง
ในเวลานั้นเอง เซิ่งเจ๋อเฉิงมองดูท่าทีของเสิ่นอีเวยหัวใจของเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา
นี่เขากำลังปวดใจเพราะผู้หญิงคนนี้หรือ?
เขาเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พูดออกมาสองคำ: “ไม่ใช่”
น้ำเสียงของชายหนุ่มจริงใจไม่เสแสร้งไม่มีการหลบสายตาใดๆทั้งสิ้น แต่มีบางเรื่องหากฝ่ายตรงข้ามรู้สึกได้ถึงความจริงใจก็ต้องเชื่อเขาอย่างแน่นอน
“หึ”
ในห้องที่เงียบสงัด เสียงหัวเราะเยาะของเสิ่นอีเวยดูจะเสียดแทงเป็นพิเศษ เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว
“เซิ่งเจ๋อเฉิง ฉันคงประเมินคุณต่ำไปหน่อยใช่ไหม? เรื่องโกหกที่น่าตลกขนาดนี้ คุณก็สามารถพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยน่านับถือจริง ๆ ”
คำพูดของเสิ่นอีเวยเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่โกรธง่ายเหมือนเคย
“ที่ฉันมาคุยเรื่องนี้กับเธอในคืนนี้ไม่ได้อยากทะเลาะกับเธอ เมื่อเธอไม่สบายก็ควรรักษาให้หายดี ต่อไปเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับเธอฉันจะจัดการอย่างละเอียดรอบคอบ เธอไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นและแน่นอนว่าถ้าเธอไม่สามารถยอมรับกับเรื่องที่ฉันให้เธอออกจากบริษัทเซิ่งซื่อก็ถือสะว่าเธอเปลี่ยนงานใหม่ก็ได้”
เสิ่นอีเวยไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของเขา หล่อนเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา
“เมื่อกี้ฉันพูดว่าให้เธอช่วยสอนฉันทำกับข้าว ไม่ใช่แค่ทำข้าวอบซี่โครงหมูอย่างเดียว ฉันรู้ว่าเธอทำกับข้าวเก่ง สอนทุกสิ่งที่เธอทำเป็นให้ฉัน ฉันให้ค่าจ้างกับเธอ คิดเสียว่า เธอเป็นครูสอนทำอาหารให้กับฉันแล้วกัน ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาลอย ๆ แต่เสิ่นอีเวยโมโหจนกัดฟัน ทำไมผู้ชายคนนี้รู้สึกแค่ว่าการที่เธอยืนกรานไม่ยอมออกจากบริษัทเซิ่งซื่อเพียงแค่จะไม่ได้เงินเดือนในแต่ละเดือนเท่านั้นหรือ?
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่เกิดมา ครูสอนทำอาหารอย่างนั้นเหรอ? เรื่องแบบนี้เขาก็คิดได้!
ขณะที่สมองของเธอกำลังครุ่นคิดหาคำพูดเพื่อจะมาโต้แย้งกับเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น ชายหนุ่มก็เก็บถ้วยกับตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะเดินไปที่ประตู
“พักผ่อนเถอะ” ชายผู้นั้นพูดโดยไม่หันกลับมามอง