สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 257
บทที่ 257 เจิ้งโป๋หงได้พูดความในใจ
เจิ้งโป๋หงและเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้มองหน้าต่อกัน แต่ว่าสายตาที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ทันใดนั้นกลับมีความเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นครั้งแรกที่เจิ้งโป๋หงรู้สึกถึง เพราะว่าตัวเองนั้นได้เห็นสายตาแบบนั้นของคนที่อายุน้อยกว่าตัวเองยี่สิบกว่าปี ในใจเลยไม่ค่อยจะสบายใจ
เพราะว่าในเวลาที่มองเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น มีสีหน้าที่เย็นเหมือนน้ำเย็น สายตาที่ดำเหมือนเหยี่ยว ทำให้คนที่มองได้เพียงแต่มองแบบเฉย ๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่
แต่ตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้พูดออกมากอย่างเย็นชาว่า “ประธานเจิ้ง ขอประทานโทษที่เสียมารยาท ท่านคงจะรู้ว่า เจิ้งอวิ๋นชวนทำผิดในฐานะอะไรใช่ไหมครับ ? ”
ในการพูดครั้งนี้แสดงให้ชัดเจนว่าใช้คำว่า “ท่าน” ฟังแล้วเหมือนกำลังจะขอคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แต่เป็นการเพิ่มความกดดันให้กับอีกฝ่ายมากมาย
เซิ่งเจ๋อเฉิงกับคำพูดที่ไม่มีความอ่อนโยนเลย เสิ่นอีเวยที่แอบฟังอยู่นั้นก็มีความรู้สึกถึงสงครามเย็น
เพราะว่าร่างกายของเธอนั้นแนบชิดกับประตูห้องทำงานเซิ่งเจ๋อเฉิง ดังนั้นเลยเห็นถึงสถานการณ์ตอนนั้นของห้องทำงาน
เพราะว่าเธอมีท่าทางที่แปลก ๆ เลยทำให้คนมองเธออยากงุนงง
สักพักหนึ่ง เสิ่นอีเวยก็รู้สึกถึงความไม่เป็นตัวของตัวเอง หากเป็นตอนธรรมดาแล้วล่ะก็ เสิ่นอีเวยก็จะใช้สายตากวาดไปรอบ ๆ แต่วันนี้สถานการณ์กลับไม่เหมือนกัน
เดิมที่แล้วเธอก็แค่แอบฟังคำพูดในห้องนั้น “แอบฟัง” ซึ่งคำนี้เดิมทีก็ไม่ได้มีดีอะไรนัก และตอนนี้ชัดเจนว่าคนที่อยู่ข้างนั้นก็ยังมีบทสนทนาอีกมากมาย เธออยากจะฟังแล้วจบก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องของตัวเอง
ไม่ฉะนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงจะต้องเห็นตัวเองอย่างแน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยก็เลยหยุดสายตาที่จะมุ่งไปยังห้องทำงาน แต่ในห้องทำงานไม่ทันจะรอคำตอบของเจิ้งโป๋หง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ตอบออกมาว่า “การกระทำของคุณชายเจิ้งหากพูดตามกฎหมายแล้วไม่สามารถที่จะให้อภัยได้ ผมเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดว่า ประธานเจิ้งเป็นผู้ที่มีบารมี คุณธรรมสูงสุด และได้มาในนามบริษัทเจิ้งซื่อ ได้รับฐานะทางสังคมที่สูงขนาดนี้ ตลอดการเดินทางของชีวิตก็ได้แบกรับอะไรมามากมาย”
พอพูดถึงตรงนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็มีน้ำเสียงที่ต่ำลง “ถ้าเช่นนั้น ผมมองว่า ประธานเจิ้งควรที่จะให้คุณธรรมของตนเองและกฎหมายในการจัดการถึงจะถูกต้อง”
คำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีเหตุมีผล เจิ้งโป๋หงไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตัวเองจะมีวันนี้ ที่ได้ฟังคำพูดของเด็กคนที่อายุสามสิบกว่าคนนี้พูดออกมาก
แต่ไม่อาจจะไม่ยอมรับได้เลยว่า เมื่อฟังคำพูดของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้ว ความหวังที่เจิ้งโป๋หงที่จะขอแทนเจิ้งอวิ๋นชวนก็ค่อย ๆ ลดลง
เพราะว่าในใจของเขานั้นชัดเจนมาก คำพูดแต่ละคำของเซิ่งเจ๋อเฉิง ทุกคำนั้นล้วนถูกต้อง
เวลาผ่านไปนานอยู่ เจิ้งโป๋หงได้มองไปยังเซิ่งเจ๋อเฉิง เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พูดความในใจว่า “ใช่แล้ว คุณพูดไม่ผิดเลย”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ประธานเจิ้งคงจะเข้าใจ ต่อให้การลงนามความร่วมมือจะหยุดลง ผมก็จะแจ้งความ ”
ซึ่งเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่ได้ให้ความหวังหรือโอกาสใด ๆ กับฝ่ายตรงข้ามเลย
“ความจริงแล้ว ผมก็ไม่ควรที่จะเป็นพ่อคน” เจิ้งโป๋หง พูดออกมา
เสิ่นอีเวยที่ได้ฟังอยู่ข้างนอกก็รู้สึกถึงความตกใจไปอีกขั้นหนึ่ง
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ เขาก็มีการเตรียมการรับมือไว้อย่างดี แต่นี่ไม่ใช่เป็นการหารือใด ๆ เขาเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และไม่ได้ไปวิจารณ์ถึงคุณสมบัติความเป็นคนของเขา
“ไฉนท่านประเจิ้งถึงพูดวาจานี้ออกมา ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ประเมินสถานการณ์ว่าคงที่แล้ว เลยได้ผ่อนคลายออกมาบางส่วน เขาได้นั่งลงไปยังด้านหน้าของเครื่องดื่มชา และได้หยิบถ้วยชาวางไปตรงหน้าของเจิ้งโป๋หง และตัวเอง และได้รินน้ำชาให้เจิ้งโป๋หง แล้วรินให้ตัวเอง
เจิ้งโป๋หงเห็นท่าทีที่เคารพของเซิ่งเจ๋อเฉิง ในใจก็ได้ชัดเจนอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจิ้งอวิ๋ชวน วันนี้ที่ตัวเองนั้นได้ขอร้องและอธิบายก็ถึงจุดสุดท้ายแล้ว หมดปัญญาแล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดใดใด แม้จะอธิบายอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ เจิ้งโป๋หงก็ได้ปล่อยวางลงไป ให้เป็นไปตามวิถีโชคชะตาเถิด
เขากลับหมุนตัวกลับไปแล้วนั่งยังบนโซฟาอย่างช้า ๆ เรพาะว่าใบชาที่มีความหอมอย่างที่สุด ทำให้จิตและอารมณ์มีความสบายใจ
เจิ้งโป๋หงได้ยกถ้วยชาหมุนไปมา แล้วพูดอย่างธรรมดาว่า “ผมเห็นชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญนัก เหมือนจะเหลือสิ่งเหล่านี้ให้กับครอบครัวและผู้สืบทอด แต่ความจริงแล้วมีเพียงแต่ผมเองที่รู้ ผมไม่อาจจะละทิ้งเลือดเนื้อของผมได้เลย”
เจิ้งโป๋หงได้พูด แล้วเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ฟังอย่างสงบเสงี่ยม
“ผมอายุขนาดนี้ มาถึงสถานภาพ ฐานะเช่นนี้ ในมือนั้นได้กำอะไรไว้หลายสิ่ง สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นภาพมายา แต่ความจริงแล้วก็เหมือนกับตราประทับ ที่ประทับลงบนผิวหนังและสายเลือดข้างใน จะละทิ้งมันไปก็ละทิ้งไม่ได้เลย”
พอพูดถึงตรงนี้ เจิ้งโป๋หงก็ได้ถอนหายใจแล้วยิ้มเหมือนดูถูกตัวเอง
“ผมชอบอยู่ในแวดวงธุรกิจที่คุณหลอกฉัน ฉันหลอกคุณ วันนี้ฉันปล่อยคุณไป พรุ่งนี้คุณปล่อยผมไป ก็รอดูว่าใครจะลงจากเวทีตรงนี้ก่อน คนนอกดูเหมือนว่าผมนั้นจะทำเพื่อครอบครัว แต่ความจริงผมรู้ตัวเองดี ผมเพียงแต่ทำเพื่อตัวเอง ผมชินชากับชีวิตแบบนั้น ห่างจะมันไม่ได้เลย แต่ไม่ใช่ทำเพื่อคนในครอบครัวอย่างจริงใจ”
พอพูดถึงตรงนี้ เจิ้งโป๋หงก็มีน้ำเสียงที่ค่อนข้างอ่อนลงไป
แม้เซิ่งเจ๋อเฉิงจะสามารถควบคุมสายตาตัวเองได้ แต่ว่าคำพูดของเจิ้งโป๋หงเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขานั้นมีความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้หนึ่งอารมณ์ หลินอวี้บอกว่าเจิ้งโป๋หงจะพาลูกชายมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการลงนามสัญญา ซึ่งในใจเขาก็ได้มีการเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นความหวังของการร่วมมือทางธุรกิจหรือความหวังอะไรก็ตาม มีผลปรากฏอยู่สองอย่างก็คือ สำเร็จ กับ ไม่สำเร็จ
เรื่องพวกนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงได้เห็นจนชินไปเสียแล้ว
แต่เขานั้นไม่ได้คิดถึงเลยว่า ในสถานการณ์ที่สำคัญเช่นนี้ จะเกิดเรื่องของเจิ้งอวิ๋นชวนขึ้น