สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 272
บทที่ 272 ฉันไม่เห็นด้วยกับการหย่าอย่างเด็ดขาด
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบจนน่าขนลุก
นัยน์ตาสีเข้มของเซิ่งเจ๋อเฉิงแสดงสัญญาณเตือนภัยอย่างชัดเจน: “เสิ่นอีเวยเธอพูดเรื่องหย่ากับฉันเป็นรอบที่สองแล้วนะ นี่เป็นเพราะฉันตามใจเธอมากจนเกินไปหรือเพราะเหตุผลอะไร? เธอถึงกล้าพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอถึงได้คืบจะเอาศอกแบบนี้? ”
คำพูดนี้มันร้ายแรงมากสำหรับเสิ่นอีเวย เหมือนสายฟ้าฟาดผ่านกลางใจ ในสมองมีเสียงนับหมื่นนับแสนกำลังพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองอยู่
บอกเขาไป บอกเขาไปว่าที่จริงเธอไม่อยากหย่า แต่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ
ถ้ายังอยู่ด้วยกันต่อไป ก็รั้งแต่จะทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
ในใจของเสิ่นอีเวยยืนยันและเชื่อมั่นหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์ หากเธอพูดความในใจกับเขาให้ชัดเจน เซิ่งเจ๋อเฉิงจะต้องหาทางออกที่รอบคอบสำหรับเรื่องนี้เป็นแน่
แต่เสิ่นอีเวยกลับทำนิ่งเงียบต่อไปไม่ไหว
นั่นเพียงเพราะเธอไม่อาจแน่ใจ และไม่กล้าแน่ใจแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมานี้เธอจะรู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่สำหรับเสิ่นอีเวยแล้ว เธอยังไม่กล้าเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้กับคำว่า“ความรัก”
เวลาเกือบสามปีที่แต่งงานอยู่กินกันมา เธอได้รับความทรมานใจจากความไม่ไว้ใจและเย็นชาจากชายที่อยู่ตรงหน้า จนรู้สึกขยาด หัวใจดวงน้อย เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์พรุนไปหมดแล้ว ทำให้หัวใจของเธอไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอจะจากที่นี่ไปอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ ไปรักษาโรคที่เธอเป็นอยู่ ดังนั้นสิ่งทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า มันก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธออีกต่อไป
รวมถึงผู้ชายคนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าเธอ เขาไม่เคยแคร์เธอเลยสักนิดไม่ใช่หรือ? ดังนั้นในตอนนี้เธอก็ไม่ต้องการเขาอีกต่อไป
เพียงแต่เรื่องนี้ ยังไม่สามารถให้เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ได้
“เซิ่งเจ๋อเฉิง” เสิ่นอีเวยมองไปที่ชายที่เธอรักมาตลอดหลายปี แล้วพูดอย่างช้า ๆ
“ฉันมีคำถามหนึ่งอยากถามคุณ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้แววตาที่เร่าร้อนแฝงความว่างเปล่าตอบสนองคำถามของเธอ นิ่งเงียบ เหมือนกำลังตั้งใจฟังคำถามของเธอ
“ตอนนี้ฉันยอมรับความประนีประนอมของคุณ ความอดทนของคุณที่มีต่อฉัน ฉันก็รู้สึกได้แต่ฉันไม่เข้าใจว่า เพราะสาเหตุอะไรที่ทำให้คุณปฏิบัติติเช่นนี้กับฉัน? เพราะว่าฉันน่าสงสารอย่างนั้นหรือ –”
พูดถึงตรงนี้เสิ่นอีเวยก็หยุดพูด หัวใจของเธอบีบรัดตัวเป็นพักๆ เพราะคำถามที่เธออยากจะถามเขา ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจและประหม่าอย่างมาก
“หรือเพราะคุณรักฉัน?”
หากสิ่งที่เรียกว่าความกล้าสามารถวัดได้ ถ้าเช่นนั้นเสิ่นอีเวยก็มั่นใจได้เลยว่า คำถามที่ถามเขาไปในตอนนี้ใช้ความกล้าที่สั่งสมมาทั้งชีวิตนี้ของเธอ
ทั้งสองจ้องตากันอย่างเงียบๆคนหนึ่งคาดหวังว่าจะได้ยินตำตอบใดออกมาจากปากของฝ่ายตรงข้าม ส่วนอีกคนหนึ่ง กลับรู้สึกว่าหายใจแทบไม่ออก
เงียบอยู่นาน เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดว่า “ฉันรู้ดีว่าพ่อของฉันรู้สึกผิดกับพ่อแม่ของเธอมาก และก็รู้สึกผิดกับเธอและเสิ่นหุ้ยมาก ดังนั้น–”
อุณหภูมิในแววตาของเสิ่นอีเวยค่อยๆเย็นชาลง ออกซิเจนที่หมุนเวียนอยู่ในอกเหมือนถูกใครสูบออกจนหมด เธอเริ่มรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่สะดวกมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเธอพอจะเดาออกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังจะพูดอะไรออกมา
“คุณพ่อของฉันต้องการให้ฉันชดเชยพวกเธอแทนเขา ฉันคิดว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น อีกอย่างฉันก็เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงราบเรียบ ไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใดๆ
เสิ่นอีเวยหัวเราะ หัวเราะเสียงดัง แต่ดวงตาของเธอกลับมีความทุกข์อยู่เปี่ยมล้น
“โอเคฉันเข้าใจแล้ว ดังนั้น คุณถึงไม่เห็นด้วยที่จะหย่ากับฉันใช่ไหม?”
ใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงกระตุกทีหนึ่ง ที่แท้ตั้งแต่ต้นจนจบเธอแค่สนใจเรื่องหย่าแค่นั้นเองหรือ?
ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชา มองเสิ่นอีเวยอย่างราบเรียบ : “ใช่ เรื่องหย่า ฉันไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด”
เสิ่นอีเวยจ้องตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง ราวกับว่าเธอต้องการที่จะสลักใบหน้านี้ที่สมองของเธอตลอดกาล หลังจากไปจากที่นี่ ไม่มีวันหวนกลับมาอีก
เธอยิ้ม พลางพูดว่า “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันต้องการพักผ่อน คุณเซิ่งเชิญคุณออกไปได้แล้ว”
หลังจากพูดประโยคนี้จบลง เสิ่นอีเวยยื่นมือไปดึงผ้าห่มด้านข้างมาคลุมร่างเธอไว้ นอนลงอย่างเงียบๆดวงตาสดใสมองไปที่โคมไฟระย้าบนเพดานแต่ในสายตาเธอมันช่างว่างเปล่า
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองดูเสิ่นอีเวยที่เป็นแบบนี้ รู้สึกแปลกใจนิดๆ ทำไมกัน? ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่พูดอะไรต่อ ทำไมอยู่ดี ๆก็เงียบไปแบบนี้?
สถานการณ์แบบเดียวกันถ้าเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องทะเลาะกับเขาอย่างดุเดือดแต่คราวนี้เสิ่นอีเวย กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ชั่วขณะหนึ่งเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกกลัวขึ้นมา ความกลัวพุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกลึก ๆ
ตอนนี้เขาเป็นห่วงเรื่องผู้หญิงคนนี้จนถึงขั้นนี้แล้วหรือ?
เมื่อแววตาของเขาจ้องไปที่เสิ่นอีเวยอีกครั้ง เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับเห็นว่าดวงตาของเธอคู่นั้นหลับลงแล้ว
สามนาที เขาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบสามนาที คนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งไม่ขยับ คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็นิ่งเงียบไม่ขยับ
ในที่สุด เซิ่งเจ๋อเฉิงถอนหายใจเล็กน้อยในใจ พลางลุกขึ้น เดินออกไปจากห้องนอน
ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู เสิ่นอีเวยลืมตาขึ้นทันควัน ในเวลาเดียวกันนั้นเองน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบสองแก้มของเธอ ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ค่อยๆไหลผ่านผิวหนังลงมา ทำให้เธอรู้สึกคันยิบๆ
อยากจะเอามือมาปาดน้ำตา แต่มือนั้นกลับเย็บเฉียบไร้ซึ่งอุณหภูมิใดๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงจากไปแล้ว หัวใจของเสิ่นอีเวยว่างเปล่า
เมื่อนึกถึงประโยคที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดว่า ไม่เห็นด้วยที่จะหย่ากับเธอ หัวใจของเธอเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่โชคดีที่สมองยังสั่งการให้สงบนิ่งไว้ได้ แม้ว่าท่าทีของเซิ่งเจ๋อเฉิงจะหนักแน่นเพียงใด แต่ในใจของเธอก็ไม่ได้แยแสกับสิ่งที่เขาอนุญาตหรือไม่ก็ตาม
เพียงเพราะว่า เรื่องทุกอย่างดำเนินมาถึงตอนนี้ เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่ยอมเซ็นต์ชื่อในใบหย่า เธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเดิม
เมื่อครู่ที่เธอพูดเรื่องหย่ากับเซิ่งเจ๋อเฉิง เพียงเพราะมีความหวังอยู่ในใจ และแน่นอนถ้าเขาตอบตกลงก็ดี แต่หากไม่ตกลงก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
ขาเป็นของฉัน ฉันอยากไปที่ไหนก็ไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงจะขังฉันได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่อากาศเย็นสัมผัสกับผิวของเธอ ร่างกายก็สั่นเทา
เธอเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างเตียง ดื่มน้ำลงคออึกหนึ่ง คิดเงียบๆในใจเกี่ยวกับการตัดสินใจของเธอ
เธอต้องรักษาตัวเอง และเธอก็ต้องพึ่งพาตัวเองเช่นกัน ส่วนเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอจะไม่สนใจความคิดใดๆของเขาอีกต่อไป
อีกอย่างเธอต้องจากสถานที่นี้ไปชั่วคราว อาจเป็นเพราะเธอต้องตกอยู่ในสภาวะการดำเนินชีวิตที่กดดันเช่นนี้มาเป็นเวลาแรมปี ดังนั้นอารมณ์เธอจึงแปรปรวน เธอจึงมีปัญหาทางด้านจิตใจ
และเรื่องนี้ จนถึงวันนี้ เธอไม่เคยบอกใครมาก่อน