สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 276
บทที่ 276 รู้ได้ทันทีว่าอะไรแปลกไป
โชคดีที่ตอนนี้เสิ่นอีเวยไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป
ตอนนี้หรืออนาคตเซิ่งเจ๋อเฉิงจะรักกับใคร? เธอไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
เสิ่นอีเวยถอนสายตากลับ มองไปที่ใบหน้าคนที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นเธอกุมมือเสิ่นหุ้ยเบาๆ
อุณหภูมิของมือเสิ่นหุ้ยอยู่ในระดับปกติ นุ่มนวลและอบอุ่นราวกับเต็มไปด้วยพลังชีวิตแต่ก็เหมือนไร้ซึ่งพลังชีวิต
ที่จริงเซิ่งเจ๋อเฉิงเลือกห้องคนไข้ให้เสิ่นหุ้ยได้ทำเลพอดิบพอดี ห้องอยู่ชั้นสามสำหรับห้องผู้ป่วยแล้วชั้นนี้ไม่เตี้ยไม่สูงจนเกินไป บวกกับด้านนอกที่สนามหญ้าปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่งด้วย
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง มองจากหน้าต่างห้องคนไข้ของเสิ่นหุ้ย ก็จะเห็นกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้สวยงาม ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเข้ามาในห้อง
ในโลกนี้ คงมีเพียงแต่เสิ่นหุ้ยพี่สาวคนเดียวของเธอที่ทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงยอมให้ได้ทุกอย่าง
การที่มองใบหน้าที่หลับใหลของเสิ่นหุ้ยจนตอนท้ายที่สุดเสิ่นอีเวยก็พูดอย่างแผ่วเบาว่า: “พี่คะฉันไม่เคยคิดเลยว่า ตอนที่ฉันกำลังจะจากที่นี่ไป อย่างเดียวที่ทำให้ฉันยังมีห่วงอยู่ก็คือพี่”
ไม่รู้ว่าทำไมเสิ่นอีเวยรู้สึกปวดใจแปลบขึ้นมาอย่างกระทันหัน เสิ่นหุ้ยเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเธอ แต่ว่าเหมือนกับฟ้าเล่นตลก ทำไมพระเจ้าต้องทำให้เสิ่นหุ้ยกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่แตกต่างกับคนที่ตายไปแล้วเลยแม้แต่นิด
ประโยคที่เธอเพิ่งพูดออกไปกลับไม่มีคำตอบกลับมา คนที่กำลังหลับใหลอยู่ ก็ยังคงหลับต่อไป ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองเลย
จนในที่สุดเสิ่นอีเวยก็เข้าใจตอนนี้เองว่าคำว่าเลือดข้นกว่าน้ำหมายความว่าอย่างไร
ที่จริงก่อนที่จะเกิดเรื่องกับเสิ่นหุ้ยความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับเธอไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร คนเป็นพี่น้องกันส่วนใหญ่ก็มักจะนัดกันไปเดินเล่นช็อปปิ้งด้วยกัน หรือไม่ก็หากิจกรรมอะไรสักอย่างทำร่วมกัน แต่เธอกับเสิ่นหุ้ยกลับไม่เคยทำเช่นนั้นเลย
เมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองยังเด็ก มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนี้ ทั้งสองไปโรงเรียนด้วยกันไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าด้วยกัน จนพี่น้องคู่อื่นเห็นแล้วยังต้องอิจฉา
แต่พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเข้าเรียนชั้นมัธยม เสิ่นอีเวยก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเสิ่นหุ้ยพี่สาวของเธอเปลี่ยนไป
พี่สาวของเธอเริ่มตีตัวออกห่างจากเธอ ทำเย็นชาใส่เธอ มองข้ามความหวังดีและเป็นห่วงเป็นใยของเธอเหมือนกับว่าไม่ต้องการ ที่สำคัญคือพอเสิ่นหุ้ยขึ้นมัธยมก็เริ่มมีเพื่อนใหม่เข้ามา
เวลาที่อยู่ด้วยกันระหว่างเธอและพี่สาวก็น้อยลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเสิ่นอีเวยเคยไปถามพ่อแม่ว่าเธอและพี่สาวใช่พี่น้องร่วมสายเลือดกันหรือเปล่า จนถึงวันนี้เสิ่นอีเวยยังคงจำได้ว่าหลังจากแม่ของเธอได้ยินคำถามชัดเจนแล้ว ก็หันหน้าไปมองตากับพ่อพักหนึ่ง
จากนั้นทั้งสองก็บอกเธอพร้อมกันว่าเธอกับเสิ่นหุ้ยเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน
ในเวลานั้นเสิ่นอีเวยยังเด็กเกินไปเธอจึงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรว่าสายตาที่แม่มองพ่อสื่อความหมายว่ายังไง จนเธอโตขึ้นเรื่อย ๆ พอคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เสิ่นอีเวยจึงค่อยๆเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้น
ระหว่างเสิ่นหุ้ยพี่สาวของเธอกับพ่อแม่จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตอนที่เกิดเรื่องอยู่เธอไม่ได้รับรู้อะไร ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกต เรื่องผ่านมาเป็นเวลานานขนาดนี้ แม้ว่าเสิ่นอีเวยจะพยายามถามหาเหตุผลอย่างจริงจัง เธอก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกับตัวเองได้เลย
จนถึงทุกวันนี้พ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้ถามอีกต่อไป ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าระหว่างพ่อแม่ และพี่สาวเสิ่นหุ้ยเกิดอะไรขึ้น ก็คงต้องรอให้เสิ่นหุ้ยฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
จริง ๆในคืนนั้นเสิ่นอีเวยจงใจบอกต่อหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าในห้องคนไข้ของเสิ่นหุ้ย ควรจะมีคนคอยเฝ้า จุดประสงค์ก็เพื่อให้เซิ่งเจ๋อเฉิงส่งคนไปคอยเฝ้าที่ห้องคนไข้ไม่ให้คาดสายตา เพราะมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียว ถึงจะมีคนช่วยปกป้องเสิ่นหุ้ยให้ปลอดภัย ในช่วงที่เธอไม่ได้อยู่ในประเทศ
จริง ๆ แล้วในใจลึกๆของเสิ่นอีเวย คาดการไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าการไปรักษาตัวที่อังกฤษครั้งนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไรกันแน่ อาจจะหนึ่งปี? สองปี?หรือสามปี?
ไม่มีความแน่นอนเลยสักนิด ดังนั้นในวันที่ไม่รู้ว่าเธอจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรในโลกใบนี้ คนที่เธอจะต้องปกป้องให้ดีที่สุดก็คือเสิ่นหุ้ย ญาติทางสายเลือดคนเดียวของเธอ
แม้ว่าจะต้องใช้วิธีหลอกใช้เซิ่งเจ๋อเฉิง เสิ่นอีเวยก็ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด —
พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ถึงยังไงนี่เป็นเรื่องที่ตระกูลเซิ่งติดหนี้พวกเธอไว้
เมื่อเสิ่นอีเวยออกจากคนพักคนไข้ของเสิ่นหุ้ย เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว เธอปิดประตูห้องอย่างช้า ๆ ส่วนบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำก็ยังคงยืนนิ่งอย่างเงียบๆอยู่ข้างประตูโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสิ่นอีเวยเดินไปหาบอดี้การ์ดคนเดิม และถามว่า “คุณช่วยตอบคำถามฉันสักอย่างได้ไหม?”
น้ำเสียงของเธอสุภาพมากแต่คนฟังรู้สึกจะตกใจกับท่าทีของเธอ
ทันใดนั้นบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำก็ก้มคำนับอย่างสุภาพและกล่าวว่า “คุณนายเซิ่ง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจผมขนาดนั้นหรอกครับ ที่ผมทำไปทุกอย่างก็ทำตามคำสั่งของท่านประธานเซิ่ง คุณต้องการให้ผมช่วยอะไรเชิญว่ามาได้เลยครับ”
“……”
เสิ่นอีเวยนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เผชิญหน้ากับความเคารพนอบน้อมของบอดี้การ์ดคนนี้แล้ว รู้สึกไม่ค่อยชิน
อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้เปลืองเวลาสนใจอะไรกับเรื่องนี้สักเท่าไร: “ท่านประธานเซิ่งของพวกคุณ ให้พวกคุณเรียกสรรพนามแทนตัวฉันใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ที่ตอนนี้เสิ่นอีเวยใส่ใจกับเรื่องนี้ ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ เพราะอย่างไรก็แล้วแต่เธออยากจะรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดยังไง ถึงได้ให้คนรอบข้างยอมรับว่าเธอคือคุณนายเซิ่ง?
บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำมองเสิ่นอีเวยอย่างมีพิรุธทีหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยพลางตอบว่า “เป็น…วันที่ท่านประธานเซิ่งสืบได้ว่าลุงของคุณนายเซิ่ง คุณเสิ่นเหยียนชิ่งทำเรื่องร้ายแรงในวันนั้น ”
เมื่อได้รับคำตอบจากบอดี้การ์ดคนนั้นเสิ่นอีเวยชะงักไปชั่วครู่ หมายความว่าอย่างไร?เสิ่นเหยียนชิ่งทำอะไรผิด?
“เกิดอะไรขึ้น? เสิ่นเหยียนชิ่งทำอะไรผิด? เซิ่งเจ๋อเฉิงสืบเจอเรื่องอะไร?” เสิ่นอีเวยโยนคำถามทั้งหมดที่อยู่ในใจของเธอไปเรื่อยๆ ให้ฝ่ายตรงข้าม
ส่วนบอดี้การ์ดคนนั้นเห็นปฏิกิริยาของเสิ่นอีเวยดูจริงจังขนาดนั้น ก็เริ่มรู้สึกตึงเครียด แต่เขาก็เลือกที่จะพูดทุกอย่างที่เขารู้ให้เธอฟัง:”คุณนายเซิ่ง คุณไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ เหรอครับ? รู้สึกว่าคุณเสิ่นจะทำผิดเรื่องใหญ่อยู่นะครับ อีกอย่าง อีกอย่างคือเรื่องนี้เกี่ยวกับท่านประธานเซิ่งด้วย ตอนนี้ท่านประธานเซิ่งรู้เรื่องหมดแล้ว พวกเราแค่ทำตามคำสั่งจับคน ส่วนเรื่องรายละเอียดพวกผมก็ไม่รู้อะไรมาก”