สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 277
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 277 คุณเข้าหาเธอ คุณมีเจตนาอะไรกันแน่
บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำ ในระหว่างที่พูดนั้นเขาก็หลบตาไปทางอื่น รายละเอียดเล็กน้อยนี้ไม่สามารถหนีสายตาอันเฉียบคมของเสิ่นอีเวยได้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรกับบอดี้การ์ดต่อ
ในใจเธอรู้ดี คนที่อยู่รอบตัวเธอ เป็นคนรับใช้ของเซิ่งเจ๋อเฉิง เพียงแค่ผู้ชายคนนั้นออกคำสั่ง พวกนี้รู้ดีว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด
แม้ว่าเธอจะถามบอดี้การ์ดต่อไป ก็น่าจะไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม แทนที่จะมาเสียเวลาตรงนี้ สู้ไปถามเซิ่งเจ๋อเฉิงตัวต่อตัวดีกว่า
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ในขณะที่บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำกำลังสังเกตวิเคราะห์ปฏิกิริยาของเธออยู่นั้น เสิ่นอีเวยก็ไม่ลังเลเดินหันหลังไปที่บันไดทันที
ก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวเสิ่นอีเวยเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เธอหันหลังกลับมาพูดกับบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำคนเดิม “มีสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่า น่าจะต้องเตือนพวกคุณ- -”
บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ฟังจากน้ำเสียงจริงจังของเสิ่นอีเวยเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคุณนายเซิ่งต้องมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่จะบอกเขา เขาจึงตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
แววตาของเสิ่นอีเวยฉุนเฉียว เพราะเธอนึกถึงผู้หญิงที่ทำให้เธออารมณ์เสียทุกครั้ง
“ในเมื่อพวกคุณถูกจ้างมา เซิ่งเจ๋อเฉิงน่าจะกำชับให้พวกคุณดูแลปกป้องที่นี่ไม่ให้คาดสายตา ถ้าหากมีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ห้องคนไข้ของคุณเสิ่นหุ้ย ฉันหวังว่าพวกคุณทุกคนจะตื่นตัวกับเรื่องนี้
และในหมู่คนแปลกหน้าเหล่านี้ ต้องระวังผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าสวี่อันฉิง ผู้หญิงคนนี้อยู่ไม่เป็นที่ จิตใจต่ำช้าอำมหิตสิ้นดี เมื่อก่อนเธอก็พยายามจะทำร้ายคุณเสิ่นหุ้ยมาโดยตลอด หากเกิดเรื่องอะไร รีบแจ้งท่านประธานเซิ่งของพวกคุณโดยเร็วที่สุด”
บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำมองปราดเดียวก็รู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังมากขึ้นและจดจำข้อมูลสำคัญทั้งหมดของคำพูดเสิ่นอีเวยในสมอง
เขาพยักหน้ารับ: “ขอบคุณคุณนายเซิ่งที่เตือนเรื่องพวกนี้กับพวกผม โปรดวางใจได้ เราจะดูแลคุณเสิ่นหุ้ย เป็นอย่างดีครับ”
แต่ว่าทำไมกัน … บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำเบนสายตามองลงต่ำ รู้สึกกังขาเล็กน้อย
ทำไมน้ำเสียงของคุณนายเซิ่งที่พูดเมื่อสักครู่นี้ เหมือนกับกำลังสั่งเสีย? ราวกับว่าเธอกำลังจะจากที่นี่ไป บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกไป
เสิ่นอีเวยเห็นท่าทางของบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำรับปากแข็งขัน ดูน่าเชื่อถือ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้นเธอหันกลับไปเหลียวมองเสิ่นหุ้ยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
ส่วนเรื่องที่เสิ่นเหยียนชิ่งทำผิด ที่บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำเล่าให้เธอฟัง ตอนนี้เธอต้องไปเอาคำตอบกับเซิ่งเจ๋อเฉิง
รถของเสิ่นอีเวยขับไปด้วยความเร็วสูง ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มาหยุดที่หน้าประตูวิลล่าของตระกูลเซิ่ง
พึ่งจะก้าวข้ามประตูหน้าบ้าน เสิ่นอีเวยก็นึกขึ้นได้ว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงน่าจะยังยุ่งอยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อ จะอยู่บ้านเวลานี้ได้อย่างไร
ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเธอเป็นไบโพลาร์ เสิ่นอีเวยก็พยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมอารมณ์ให้สงบมาโดยตลอด
แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าการป่วยทางจิตส่วนใหญ่ต้องอาศัยยาเพื่อระงับประสาท แต่เธอรู้สึกว่าเรื่องอารมณ์ความรู้สึก หากไม่มีใครหรือสิ่งแวดล้อมอะไรไปกระตุ้น อาการก็จะไม่ออกชัดเจนสักเท่าไร
และนี่คือเหตุผลที่ตั้งแต่เสิ่นอีเวยเป็นโรคนี้ คนใกล้ตัวก็ดูไม่ออก เรื่องนี้เธอไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงแต่เธอแสดงได้ดีเท่านั้นเอง
แต่เธอต้องยอมรับว่าการใช้ยาระงับประสาทเป็นเวลานานมีผลให้ความจำของเธอเสื่อมลงเรื่อย ๆ
ความจำเพียงแต่เสื่อมลง ไม่ใช่จะลืมเรื่องราวทั้งหมดไปเลยสะทีเดียว เพราะเธอรู้ตัวว่ายังไม่ถึงระดับร้ายแรงขนาดนั้น แต่เสิ่นอีเวยก็รู้ดีว่าสภาพร่างกายของเธอเป็นอย่างไร
บ้านหลังใหญ่แต่กลับเงียบสงัด เสิ่นอีเวยนั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาขนาดใหญ่ในห้องรับแขก ดังเช่นตอนนี้ที่เธอกลับมาจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาหาเซิ่งเจ๋อเฉิง นั่นก็เป็นสัญญาณของความจำเสื่อมที่เธอเป็นอยู่นั้นเอง
ในเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง เวลาในตอนนี้ ท่านประธานใหญ่อย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงคงจะยุ่งวุ่นวายกับงานที่รัดตัวอยู่ในบริษัทตระกูลเซิ่ง
ก่อนหน้านี้เสิ่นอีเวยจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อครู่ เหมือนสมองของเธอคลาดเคลื่อนไป ความคิดในหัวเหมือนขาดหายไปวูบหนึ่ง เธอจึงไม่ได้ตรงไปหาเขาที่บริษัทเซิ่งซื่อ
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอครุ่นคิดว่าหากเธอยังกินยาระงับประสาทต่อไปเรื่อยๆ ความจำของเธอก็คงจะแย่ลงไปเรื่อยๆเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง บนห้องรับรองชั้นที่24ของบริษัทเซิ่งซื่อ เซิ่งเจ๋อเฉิงและเซียวหันถิง กำลังนั่งเผชิญหน้ากัน
หลินอวี้ยืนอยู่ด้านข้างเซิ่งเจ๋อเฉิง ท่าทางดูสงบเสงี่ยม
สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ดีสักเท่าไร แววตาของเขาดูเย็นชา
เซียวหันถิงเป็นผู้ปริปากก่อน: “ท่านประธานเซิ่ง คุณเชิญผมมา ผมก็มาให้แล้ว พูดมาเถอะ เชิญผมมามีเรื่องอะไร?”
แม้ว่าเซียวหันถิงจะใช้คำสรรพนามว่า “คุณ” แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความเคารพยำเกรงแม้แต่น้อย ราวกับว่าถ้อยคำสุภาพที่ออกมาจากปากเขา ก็เหมือนกับคำพูดธรรมดาทั่วไปไม่แตกต่างอะไร
“คุณจ้างเสิ่นเหยียนชิ่งเรื่องนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม น้ำเสียงเย็นชาไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิแม้แต่น้อย
ไม่เคารพยำเกรงแล้วจะทำไม?
ในโลกนี้มีคนบางกลุ่มเกิดมาพร้อมกับบุคลิกน่ายำเกรงเหมือนพระราชา ถึงจะกลบยังไงก็กลบไม่มิด เหมือนอย่างเช่นท่าทางของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่พูดกับเขาในตอนนี้
หลังจากฟังคำถามของเซิ่งเจ๋อเฉิงจบ เซียวหันถิงก็แบมือออกทั้งสองข้างเล็กน้อย ดูท่าทางมั่นใจ: “ท่านประธานเซิ่งหมายความว่ายังไง? ผมไม่เข้าใจ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา หันหน้าไปส่งซิกกับหลินอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลินอวี้พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวไปข้างหน้า
ในมือของเขาถือ iPad อยู่ บนหน้าจอมีวิดีโอที่เตรียมเปิด หลินอวี้เดินไปอยู่ด้านหน้าของเซียวหันถิงและกดปุ่มเล่นวิดีโอ ในวิดีโอนั้นเป็นภาพของเสิ่นเหยียนชิ่งอยู่ในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง
เสียงอันน่าสมเพชเวทนาของชายผู้นั้นอ้อนวอนขอความเมตตา: “เป็น…เป็นคุณเซียวหันถิงจ้างผม ท่านประธานเซิ่ง ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ … ”
สีหน้าของเซียวหันถิงเคร่งเครียด หลินอวี้กดปุ่มหยุดเล่นวิดีโอ และเดินกลับมายืนด้านข้างของเซิ่งเจ๋อเฉิงตามเดิม
“ท่านประธานเซียว คุณมีอะไรจะพูดแก้ต่างไหม? มาถึงจุดนี้แล้ว ผมหวังว่าคุณจะไม่บอกผม ว่าคุณไม่รู้จักผู้ชายที่อยู่ในวิดีโอนี้หรอกนะ” น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงเต็มไปด้วยการเสียดสีอย่างชัดเจน
เซียวหันถิงยิ้มเยาะพลางพูดว่า: “ถึงแม้ว่าผมจะจ้างเสิ่นเหยียนชิ่ง แล้วจะทำไม? ท่านประธานเซิ่งจะทำอะไรผมได้?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงแววตาขุ่นมัวอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดว่า “เซียวหันถิง คุณเข้าหาภรรยาของผมเสิ่นอีเวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณมีเจตนาอะไรกันแน่?