สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 284
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 284 เซิ่งเจ๋อเฉิงเสร็จธุระจากการเดินทางติดต่อทางธุรกิจ
เพียงแต่ความแตกต่างก็คือ ใบหน้าที่หล่อเหลาตอนวัยรุ่นเมื่อสิบปีก่อนนั้นมีความอบอุ่น อีกทั้งตอนนี้ตรงหัวคิ้วบนใบหน้าช่างสงบนิ่งและสุขุม ช่างทำให้คนเจ็บใจอยู่ลึกๆ
เสิ่นอีเวยพยายามสงบจิตสงบใจ การที่เก็บภาพขึ้นมาทีแรกยังคิดว่าเก็บไว้ในกระเป๋า แต่ว่ากลับหยิบใส่กระเป๋าสตางค์แทน แล้วเปิดกระเป๋าสตางค์ใส่รูปนั้นลงไปในช่องที่เวลาเปิดกระเป๋ามาแล้วเห็นใบหน้าในทันที
เสิ่นอีเวยปิดกระเป๋าสตางค์แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท บนนั้นมีดวงดาวแจ่มจรัสส่องประกายแวบวับ และยังมีไฟนำทางตอนกลางคืนของเครื่องบิน ดวงตาเสิ่นอีเวยเปียกชื้น การมองเห็นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเบลอๆ ยิ่งมองนานก็เริ่มรู้สึกว่าดวงดาวและไฟยามค่ำคืนของเครื่องบินถูกหลอมรวมอยู่ด้วยกัน
การที่ยังเอารูปใบนี้ไว้ ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะว่า ยังตั้งตารอคอยอะไรกับคนเดิม และเพราะในอดีตที่ผ่านมานั้นก็ไม่คิดจะปฏิเสธความรู้สึกของตนเองเท่านั้น
เรื่องหนุ่มสาว หรือรักแรก คืนนี้จะถือว่าหายไปจากตนเองอย่างสมบูรณ์
เสียงตามสายในห้องโถงกำลังดังเตือนซ้ำไปซ้ำมาเพื่อแจ้งเวลาขึ้นเครื่อง เสียงประกาศเป็นเสียงผู้หญิงอ่อนโยนและสบายหู กำลังเตือนผู้โดยสารทุกท่านที่รอขึ้นเครื่องในยามค่ำคืนนี้อย่างไม่ลดละ
เก็บน้ำตา เตรียมใจที่จะออกเดินทาง
เสิ่นอีเวยลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ ในสถานีปลายทางขนาดใหญ่ มีทั้งคนที่กำลังเดินอยู่มากมายมีทั้งเหนื่อยล้าหรือไม่ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่มีความสุข
หล่อนสะพายกระเป๋าข้างไว้บนไหล่ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ภาพขนาดหนึ่งนิ้วนั่นอยู่ในกระกระเป๋าสตางค์ ก็ถูกหล่อนเอาใส่ไว้ในกระเป๋าสะพาย ในเวลานี้มันติดอยู่ข้างกายหล่อน ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดแปลกไปหรือเปล่า
เสิ่นอีเวยสาวเท้ายาวๆเดินไปข้างหน้า สายตาข้างกายและคนเดินถนนราวกับว่าถอยหลังอย่างรวดเร็ว แม้หล่อนจะรู้สึกว่าสถานีปลายทางใหญ่ เหมือนว่าตนเองจะถูกทิ้งไว้คนเดียว
ที่แท้เป็นเพียงฝันหวานเท่านั้น แต่ละคนต่างแยกย้ายกันเดินบนโลกที่คึกคักนี้
ที่จริงแล้วเรื่องคนที่เรารัก ก็ต้องปล่อยไปตามชะตากรรม แต่ไม่ใช่จะเปลี่ยนไปตามที่ใจต้องการ
เมืองของฉัน ลาก่อน คนรักของฉัน ลาก่อน
วันนี้ท้องฟ้ามีแดดจัด ตั้งแต่เข้าช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นมา ยากมากกว่าจะมีแดดสาดส่องลงมา ความเร็วของเครื่องบินลำสีขาวค่อยๆลดลงช้าๆแล้วก็ลดระดับลง ก็เหมือนกับนกสีขาวตัวใหญ่ที่กำลังจะถลาลงพื้นด้านล่างบนลานพื้นกว้าง
เซิ่งเจ๋อเฉิงและหลินอวี้เดินลงจากเครื่องบิน แม้การเดินทางไปทำธุรกิจที่ใช้เวลาสามวันกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ แต่บนใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงไม่แยแสและยังสดชื่นแจ่มใส มองไม่เห็นท่าทีความเหนื่อยล้าแม้แต่นิดเดียว
หลินอวี้ที่สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำ พร้อมทั้งถือกระเป๋าเอกสารเดินอยู่ข้างๆเขาพลางกล่าวว่า: “การร่วมมือครั้งนี้ถือว่าราบรื่นดีนะครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพยักหน้าตอบรับแล้วพูดตอบกลับว่า: “ช่วงที่รอแผนการเริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ ประมาณเดือนหน้า ถึงเวลานั้นคุณออกไปติดตามผลเรื่องการเจรจาธุรกิจแทนผมด้วย”
หลินอวี้พยักหน้า มองเจ้านายของตนเองที่เดินก้าวยาวอยู่ข้างหน้าตน ดูมีชีวิตชีวาขนาดนั้น ในใจก็เกิดความสงสัย นึกได้ขึ้นมาทันทีว่าตารางงานเดือนหน้า พวกเขาไม่มีงานที่ต้องออกไปติดต่อธุรกิจที่ไหนนี่
หลินอวี้ถึงกับเปิดปากถาม: “เดือนหน้าคุณมีธุระอะไรต้องทำหรือเปล่า?”
ฝีท้าวของเซิ่งเจ๋อเฉิงชะลอลง สายตาทอดมองท้องฟ้าที่ไกลออกไป ในดวงตาเหมือนมีแสงวาบผ่าน
“เดือนหน้าผมเตรียมจะพาหล่อนไปเที่ยวยุโรปก่อน จากนั้นค่อยไปอเมริกาให้หล่อนไปรักษาที่นั่น ผมเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ให้หล่อนเตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้วผมจะกลับมา หลังจากนั้นก็คงจะไปๆมาๆทั้งสองที่ ดังนั้นตอนที่ผมไม่อยู่ ทางด้านนี้มีเรื่องบางเรื่องต้องให้คุณคอยจัดการ”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงนิ่งมาก อธิบายเรื่องสำคัญอย่างชัดเจน แต่ว่าหลินอวี้ฟังออกถึงความสงบใจเย็นในน้ำเสียงของเขา
ส่วนเรื่องที่เจ้านายของตนเองพูดถึง “หล่อน” นั้น หลินอวี้รู้ว่าคือใครอย่างแน่นอน
จริงๆแล้วจะไม่พูดก็ไม่ได้ ในใจของเขานั้นยินดีมาก ด้วยการที่เขาอยู่ข้างกายเซิ่งเจ๋อเฉิงมานานหลายปีขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นเขามีใจให้กับผู้หญิงคนไหนอย่างเปิดเผยมาก่อนเลย พูดถึงคุณเสิ่นหุ้ยแล้ว จริงๆก่อนหน้านี้ก็เคยมีช่วงเวลาที่มีความคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่ว่านั่นก็นานมาแล้วไม่เคยมีช่วงเวลาของความรู้สึกที่แน่นอน เซิ่งเจ๋อเฉิงในตอนนั้นก็ไม่เหมือนกับเขาในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
เซิ่งเจ๋อเฉิงตอนนั้น ตอนอยู่ต่อหน้าเสิ่นหุ้ย แม้ว่าในสายตาจะแสดงออกถึงความรักอย่างเปิดเผย ทว่าสภาวะของเขาคนนี้จะสงบสุดขีดและอดกลั้นไว้ แต่ว่าหลังจากแต่งงานกับคุณเสิ่นอีเวย เขาก็ตระหนักถึงอารมณ์ของเจ้านายตนเองและเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์บนดวงตาที่แสดงออกมา
ในช่วงเวลาตอนแรกเริ่มนั้น คนทั้งสองโดยพื้นฐานแล้วล้วนทะเลาะและทำสงครามเย็นกัน แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ตอนที่ปฏิบัติต่อคุณเสิ่นอีเวย เจ้านายของตนเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ยิ่งนานก็ยิ่งมีความอดทนอดกลั้น ท่าทียิ่งนานก็ยิ่งจริงใจ
ส่วนคุณเสิ่นคนนั้น ที่จริงแล้วตนเองกับหล่อนก็แทบจะไม่มีการติดต่อกันอย่างเป็นส่วนตัวเลย แต่ว่าจากกิริยาท่าทางของการพูดคุยไม่กี่ครั้งผ่านมานานขนาดนี้ เขารู้สึกพอแล้วว่า คุณเสิ่นคนนั้นเป็นคนที่จริงใจกับเจ้านายของตนเองจริงๆ อีกทั้งความสามารถในการทำงานก็ทำทำงานได้ไม่เลวทีเดียว
“เอาล่ะ ท่านวางใจได้ เรื่องทางด้านนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อยเอง
เพราะบริษัทเซิ่งซื่อยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้อง ดังนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงยังไม่ได้กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่กลับจากสนามบินมุ่งหน้าตรงไปยังเซิ่งซื่อแทน
ตอนนี้สายตาการมองเสิ่นอีเวยของเขามันไม่เหมือนกับตอนแรกเริ่มแบบนั้นตั้งนานแล้ว วิธีตามที่ว่ามานี้ ท่าทีเป็นธรรมชาติทำให้เปลี่ยนไปมาก เร็วกว่าที่คิด ตอนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินผ่านห้องทำงานของเสิ่นอีเวย ฝีเท้าของเขาได้หยุดลง
มือขวาของเขากำเป็นกำปั้นแล้วเอามาป้องปากตนเองแล้วทำท่าที่กระแอมหนึ่งที
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ในขณะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังคมชัดสม่ำเสมอสามที
แต่เนิ่นนานด้านในก็ยังไม่มีการตอบกลับ ผู้ชายตรงประตูขมวดคิ้วเล็กน้อย อุณหภูมิในดวงตาเข้มขึ้นเล็กน้อย
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่จดจ่ออยู่กับการเคาะประตูกลับไม่รู้ว่าว่า ด้านหลังเหล่าพนักงานในสำนักงานเริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว
“คุณเซิ่งวันนี้นี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า?”
“นั่นสิ ฉันก็รู้สึกว่าแปลกมาก ก่อนหน้านี้คุณเซิ่งจะเข้าห้องทำงานผู้อำนวยการเสิ่นไม่เคยเคาะประตูมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงการที่จะมายืนรออยู่ที่นี่มันหนึ่งนาทีแล้วด้วยนะ” คนพูดคนหนึ่งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาจับเวลา
“ก็แค่ ใครไม่รู้บ้างว่าความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเขาสองคนไม่ค่อยดี ท่าทีของคุณเซิ่งวันนี้…ผิดปกติมากจริงๆ”
คนที่ตั้งอกตั้งใจเคาะประตู แทบไม่ได้ยินเสียงพูดคุยเหล่านี้แน่ แต่ว่าสีหน้ายิ่งขุ่นหมองลงเรื่อยๆ
ผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรนะ? กล้าดียังไงไม่เปิดประตูให้ตน? นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตนเองไม่เคารพความคิดและทัศนคติของหล่อน ในใจก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง ดังนั้นวันนี้เขาเพิ่งเข้าใจการเคาะประตูอย่างมีมารยาท
แต่ว่าเห็นได้ชัด ความอดทนในการรอของเซิ่งเจ๋อเฉิงหมดลง มือขวาออกแรงบิด ประตูก็เปิดออก ไม่ได้ล็อคไว้?
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินตรงเข้าไป กลับพบว่าทั่วทั้งออฟฟิศว่างเปล่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียว แฟ้มบนโต๊ะทำงานถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อบ พืชสีเขียวข้างหน้าต่างก็ยังสดอยู่
เพียงแต่—
เซิ่งเจ๋อเฉิงสังเกตเห็นปัญหาอย่างหนึ่ง ในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดนี้ ของใช้ส่วนตัวแม้แต่ชิ้นเดียวของเสิ่นอีเวยแทบไม่มีไว้เลย