สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 308
บทที่ 308 ฉันไม่ต้องการขั้นตอนนี้
“คุณซ่ง ฉันไม่มีเวลาว่างให้คุณรั้งฉันไว้ที่นี่ ฉันยังต้องกลับไปหาลูกสาวที่บ้าน คงนั่งเป็นเพื่อนคุณต่อไปไม่ได้!”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เสิ่นอีเวยก็หันไปที่ประตูเตรียมตัวเดินออกไป แต่กลับถูกซ่งลู่เหยี่ยนเรียกไว้เสียก่อน
“คุณเสิ่น รอเดี๋ยว”
จิตใต้สำนึกสั่งให้เสิ่นอีเวยหยุดก้าวเท้าเดิน ไม่ใช่เพราะมีสาเหตุอย่างอื่น แต่เป็นเพราะเธอสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนที่ทำมาตลอด
เธอหันกลับมา ตอนนี้ซ่งลู่เหยี่ยนก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เรียบร้อย
“คุณซ่ง คุณมีธุระอย่างอื่นหรอคะ?”เสิ่นอีเวยถามอย่างเย็นชา
ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดหรือเปล่า เสิ่นอีเวยเห็นแววตาและท่าทีของซ่งลู่เหยี่ยนที่แสดงออกอย่างชัดเจน จึงพูดดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่หน่อย
“คุณเสิ่น ประธานเซิ่งฝากให้ผมมาพูดกับคุณ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
เสิ่นอีเวยใจเต้น รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังพูดเล่น:“ได้ ฉันจะตั้งใจฟังอย่างดี แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะ ถ้ายังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำว่า“แต่งงานใหม่ ”ฉันแนะนำว่าคุณซ่งอย่าพูดมันออกมาเด็ดขาด คิดจะเอาคำพูดเหล่านี้มาพูดกับฉันในตอนนี้มันเสียเวลา”
เสิ่นอีเวยพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย แต่กลับทำให้คนที่ได้ยินต้องตั้งใจฟัง
ซ่งลู่เหยี่ยนสูดลมหายใจที่แสนเยือกเย็น เธอคู่ควรที่จะเป็นผู้หญิงของเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาคิดประโยคนี้ออกมาโดยพลการ เขาเคยเจอผู้หญิงคนอื่นกล้าใช้น้ำเสียงและทัศนคติแบบนี้พูดถึงประธานเซิ่งไหมนะ?
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมี
ซ่งลู่เหยี่ยนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า:“ประธานเซิ่งพูดว่า ถ้าเรื่องในวันนี้มาถึงตอนสุดท้าย คุณเสิ่นยังไม่ยินยอมแต่งงานใหม่ เช่นนั้นเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตือนคุณเรื่องหนึ่ง เมื่อสักครู่บนเอกสาร“ข้อตกลงการแต่งงานใหม่” แท้จริงแล้วเพียงแค่ทำไปเท่านั้น เพราะมีเพียงคู่สามีภรรยาที่หย่ากันถึงจะแต่งงานใหม่ได้ แต่ไม่มีการหย่าเกิดขึ้นระหว่างพวกคุณ ดังนั้นจึงไม่สามารถแต่งงานใหม่ได้โดยปริยาย แต่เหตุผลที่ประธานเซิ่งแสดงเอกสารข้อตกลงให้คุณ ทั้งหมดเพื่อให้คุณเป็นขั้นเป็นตอน เพราะถึงอย่างไรพวกคุณก็แยกกันอยู่เป็นเวลานานถึงสี่ปี ความสนิทสนมของทั้งสองฝ่ายอาจจะจืดจางลงไปบ้าง ดังนั้นประธานเซิ่งจึงคิดว่าเมื่อต้องคุยเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ ก่อนอื่นต้องเคารพความคิดเห็นของคุณ ดังนั้นจึงให้คุณเลือกที่จะลงนามข้อตกลงนี้——”
ซ่งลู่เหยี่ยนพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดชั่วคราว เขายกมือขึ้นมาผลักแว่นตา คล้ายกับสังเกตว่าเมื่อเสิ่นอีเวยฟังตนเองพูดจบแล้วจะมีท่าทีอย่างไร
ฟังเขาเล่าเรื่องราว ความคิดมากมายโผล่เข้ามาในใจของเสิ่นอีเวย แต่เธอกลับไม่ได้แสดงอารมณ์ของเธอออกมาอย่างง่ายดาย เพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง ต้องรอให้ซ่งลู่เหยี่ยนพูดออกมาให้จบก่อน
“เจ้านายของคุณพูดว่าอย่างไรอีกคะ?”
ประธานเซิ่งยังพูดว่าขั้นตอนที่เขาให้คุณในวันนี้ คุณจะรับหรือไม่รับก็ได้ มีเพียงสองทางเลือก เขาไม่อยากบังคับคุณ ดังนั้นจึงให้คุณตัดสินใจสักหน่อย แต่ไม่เกินสามวัน ถ้าคุณเสิ่นปฏิเสธ ถึงตอนนั้นเขาจะบังคับให้คุณแต่งงานใหม่กับเขา และยังต้องย้ายไปอยู่กับเขาที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง อย่างไรเสียไม่มีหลักฐานว่าคุณสองคนหย่ากัน ทะเบียนสมรสยังคงอยู่กับเขา”
เสิ่นอีเวยเห็นซ่งลู่เหยี่ยนไม่เปิดปากพูดต่ออีก เธอขมวดคิ้วถาม:“พูดจบแล้วใช่ไหม?”
ซ่งลู่เหยี่ยนพยักหน้าเป็นคำตอบ
สีหน้าของเสิ่นอีเวยสงบนิ่งมาตลอด เธอมองซ่งลู่เหยี่ยนแล้วพูดว่า :“คุณซ่งรู้ไหมคะ ฟังคุณพูดคำเหล่านั้น ในใจของฉันไม่รู้สึกอะไรสักนิดเดียว ฉันอยากจะหัวเราะด้วยซ้ำ อยากรู้ไหมว่าทำไม?”
เมื่อได้ฟังประโยคนั้นของเสิ่นอีเวย ซ่งลู่เหยี่ยนไม่รู้จะจัดการอย่างไร การต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่ไม่คาดคิด เขาทำได้เพียงพยักหน้าไปตามสัญชาตญาณ
“เนื่องจากเจ้านายของคุณมีสิ่งที่ต้องการฝากมาบอกฉัน ถ้างั้นฉันก็มีสิ่งที่ต้องการฝากคุณไปบอกเขาเช่นกัน ฉันจากไปประเทศอังกฤษเมื่อสี่ปีก่อนเป็นเพราะเขา แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกับ“ยิ่งรักมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกลียดมากเท่านั้น”เหตุผลไร้สาระพวกนั้น แต่เป็นเพราะฉันรำคาญเขา ฉันเกลียดเขา ไม่อยากเห็นหน้าเขา ดังนั้นฉันจึงจากเขาไป
และครั้งนี้เมื่อกลับมาจากประเทศอังกฤษ ก็ไม่ใช่เพราะเขาเช่นกัน แท้จริงแล้วฉันโดนใครบังคับให้กลับมา เขาเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่ต้องให้ฉันพูดมาก นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา ฉันลืมมันไปตั้งแต่อยู่ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับฉัน
แน่นอนฉันจะไม่ปฏิเสธที่จะติดต่อกับเขา แต่ต้องเป็นการติดต่อที่มีขอบเขต เรื่องการแต่งงานใหม่ ระหว่างฉันและเขาไม่สามารถคุยเรื่องนี้ได้ คุณเคยได้ยินสำนวนสีซอให้ความฟังไหมคะ ?ความหมายที่อยากจะถ่ายทอดไม่น้อยไปกว่านี้หรอกค่ะ——”
ซ่งลู่เหยี่ยนอาศัยจังหวะที่เสิ่นอีเวยพักหายใจ เตรียมตัวจะพูด กลับโดนเธอโบกมือห้าม :“ฉันยังพูดไม่จบ คุณอย่าเพิ่งพูด!”
ซ่งลู่เหยี่ยน:“…..”
“ขั้นตอนนี้ฉันไม่ต้องการ
อีกอย่าง เกี่ยวกับเรื่องไม่ได้หย่าและทะเบียนสมรสอยู่ในมือเขา ฉันจะพูดให้ชัดเจนนะ ว่าฉันไม่สนใจ แม้แต่เรื่องที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตกับเขาที่คฤหาสน์ตระกูลเซิ่ง นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนไม่มีที่อยู่ จึงไม่ต้องการที่พักพิงจากเซิ่งเจ๋อเฉิง คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหมคะ?
ถ้าเขากล้าบังคับฉัน ได้ ฉันไม่ต่อต้าน แต่ขาคู่นี้เป็นของฉัน ฉันอยากจะวิ่งก็วิ่ง แต่แท้จริงแล้ว มันไมสำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจของคน
พูดถึงตรงนี้ อยู่ดีๆเสิ่นอีเวยก็จริงจังขึ้นมาก ครั้งนี้ เธอใช้หัวใจอธิบาย เพราะเธอเคยได้ลิ้มรสความรู้สึกเจ็บปวดจากความเข้าใจผิด ดังนั้นครั้งนี้ เธอต้องการกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือบ้านของเธอ เธอเติบโตที่นี่ ประเทศอังกฤษเสมือนเป็นสถานที่เยียวยารักษาแผลใจที่ดีมากของเธอ แต่ในที่สุด ที่นี่ก็คือบ้านเกิดของเธอ
ด้วยเหตุนี้ จากการคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเธอจึงพาเหมียนเหมียนน้อยกลับมา
แต่เธอกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องการคิดถึงคนที่ผ่านมาหรือเรื่องราวที่ทำให้ผิดหวัง มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือต้องตัดขาดจากอดีตที่เลวร้าย ถึงจะสามารถก้าวผ่านเมฆหมอกและพบเจอแสงสว่างของวันใหม่ที่อยู่ข้างหน้า
แต่ถึงแม้เสิ่นอีเวยจะพยายามให้จิตใจของตนเองที่มีต่อเซิ่งเจ๋อเฉิงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่เธอก็ยังไม่สามารถยอมรับได้ เมื่อสักครู่ตอนที่คิดถึงปัญหาเหล่านั้น ใจของเธอยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดจนไม่สามารถควบคุมได้
เพียงแต่ เธอไม่ต้องการให้ความสำคัญกับอารมณ์ของเธอมากเกินไป เพราะเรื่องเหล่านี้ยิ่งคิดมากกลับยิ่งหาทางออกไม่เจอ มันคือประสบการณ์ที่เธอผ่านมันมาก่อนหน้านี้ จนตอนนี้เธอสามารถสรุปมันออกมาได้ หลังจากนั้นจึงเริ่มจำให้ขึ้นใจ
เสิ่นอีเวยขนตาสั่นไหวทันที น้ำเสียงที่ใช้พูดก็ต่างไปจากเมื่อสักครู่ที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย แต่เผยให้เห็นความอ่อนล้า:“หัวใจของฉันปล่อยวางเรื่องเขาเซิ่งเจ๋อเฉิงไปนานแล้ว ฉันตอนนี้ ไม่ได้เป็นของใคร แต่เป็นของตัวฉันเอง”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เสิ่นอีเวยรู้สึกเจ็บปวด เธอเติมอีกหนึ่งประโยค:“ตอนที่ฉันไร้ที่พึ่งต้องการเขาที่สุด เขากลับไม่เคยอยู่ข้างกายฉัน ไม่เคยให้ความช่วยเหลือฉันเลย หลังจากที่ฉันผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ ฉันจึงไม่ต้องการเขาอีกต่อไป”