สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 333
บทที่ 333 จะให้ฉันเข้าไปกอดเธอเองเลยไหมล่ะ
ในเวลานี้ช่างพอเหมาะพอดีที่ประตูรถ Bugatti Veyron ก็ค่อยเปิดออก ในใจของเสิ่นอีเวยเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ได้แต่คิดในใจว่าจะใช่ผู้ชายคนนั้นไหม? หล่อนไม่มั่นใจเอาซะเลย….
จากนั้น บานประตูรถค่อยๆเปิดออกจนกว้างพอที่คนจะลงได้ ร่างกายของชายหนุ่มค่อยปรากฏขึ้นมา ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนระอุ เซิ่งเจ๋อเฉิงจึงถอดเสื้อสูทออกเหลือแต่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มที่กำลังสวมใส่อยู่ กระดุมแขนเสื้อของเขาที่สั่งทำHand madeอย่างประณีตนั้นยามกระทบกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาจนส่องแสงประกายระยิบระยับออกมา
เสิ่นอีเวยเริ่มเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้อง หล่อนได้แต่รีบก้มศีรษะลงในทันที หล่อนได้แต่คิดพยายามหลีกเลี่ยงการมองหน้าระหว่างเธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิง ทว่าในใจของเธอนั้นแทบอยู่ไม่เป็นสุขเลย เพราะเธอกลับมีความรู้สึกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงหาเธอจนพบแล้ว ตอนนี้ตัวเธอได้แต่ระมัดระวังตัวไว้ทุกขณะหรืออาจจะอยู่ในสายตาของชายคนนั้นแล้วก็ได้ ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันสักข้อได้อย่างชัดเจนเลย
แต่เธอเองก็ยังพนันกับตัวเองว่า บางทีเซิ่งเจ๋อเฉิงอาจจะไม่เห็นเธอก็ได้
ที่จริงแล้วเสิ่นอีเวยค่อนข้างเกลียดความรู้สึกนี้ของตัวเอง
ช่วงขณะที่เซิ่งเจ๋อเฉิงปรากฏกายขึ้นมานั้น สายตาทุกคนรวมทั้งผู้ชายเองก็ตามก็จดจ้องไปที่เขา รวมถึงคนที่รวมอยู่ในรถด้วย ไม่เว้นแม้แต่สวี่เส้าเหิงและอวี๋มั่นมั่นก็ตาม
สวี่เส้าเหิงและอวี่มั่นมั่นยืนอยู่แถวเดียวกับเธอ ฉะนั้นการที่เสิ่นอีเวยยืนอยู่ไม่ไกลจากสวี่เส้าเหิงจึงมองเห็นสีหน้าที่เขาแสดงออกมาอย่างชัดเจน สายตาที่เขาจับจ้องไปทางเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นกลับกระตุกสั่นเล็กสีหน้าถอดสีเล็กน้อย
ในใจของเสิ่นอีเวยรู้อย่างชัดเจนว่า คนที่มีความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นในยามนี้นั้น โดยส่วนใหญ่คือความหวาดกลัวทั้งสิ้น คราวที่แล้วที่สวี่เส้าเหิงเจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นครั้งแรกนั้น เสิ่นอีเวยไม่กล้าปฏิเสธได้เลยว่า อำนาจและความบ้าดุเดือดที่แผ่รังสีมาจากร่างกายของเขานั้นมันช่างสร้างความกดดันให้คนโดยรอบจริงๆ เสิ่นอีเวยแทบไม่เคยเห็นใครก็ตามที่พบเจอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขาเลย
หากจะมีก็เธอนี่แหละ ในตอนนี้เสิ่นอีเวยมองเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนเป็นคนไม่รู้จักแบบนั้น สำหรับเขาแล้วในใจของเธอนั้นก็แค่คนปกติธรรมดาเท่านั้นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของเธอถึงกับเกิดอาการยิ้มอย่างตลกขบขันขึ้นมา เพราะเธอเองเพิ่งค้นพบว่าในใจตัวเองนั้นสงบนิ่งกว่าเดิมขึ้นมาบ้าง ไม่มีทั้งการตื่นตระหนกตื่นเต้นแต่อย่างใด สิ่งที่หล่อนเข้าใจก็คือ… หากเดี๋ยวอีกสักพักระหว่างเธอและเขามีการทักทายกันเกิดขึ้น หรือว่าเธอจะจับมือทักทายกับเขาดีนะ?
ในเวลานี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิง ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตา สันกราม จมูกโด่งเข้ารูป เอาเข้าจริงๆเสิ่นอีเวยแทบไม่เคยสังเกตดวงตาของเขาเลยว่าสีอะไร แต่ขณะนี้ยามเมื่อแสงแดดสาดส่องลงมาแล้ว เสิ่นอีเวยจึงมองเห็นว่ารูม่านตาของเขาเป็นสีชาอ่อนๆ แต่ว่ามองให้ถนัดอีกครั้งรู้สึกว่าเหมือนสีเหลืองอำพัน
คนที่แผ่รังสีการกดดันร้ายกาจอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงแถมดวงตายังตากลมโตอีก อีกทั้งบนตัวเขายังแผ่รังสีที่แกร่งกล้าและการสันโดษอย่างชัดเจน จนทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นทุกคนแทบไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเลย
เสิ่นอีเวยเห็นว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่พูดอะไรสักคำในใจแต่ดีใจขึ้นมา เพราะเธอคิดเอาเองว่าอีตานั่นคงไม่เห็นเธอแน่ แต่เธอคิดผิด
“คุณเสิ่น ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ช่างบังเอิญจริงๆ” เซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังยืนไขว้เท้าแล้วพูดเอ่ยกับเธอ เสิ่นอีเวยคิดไม่ตกจริงๆว่า ทำไมผู้ชายคนนี้ใส่กางเกงสแล็คสีดำทรงกระบอกที่แสนจะธรรมดาแล้วถึงใส่ได้ดูดีซะขนาดนี้กันนะ?
เซิ่งเจ๋อเฉิงผู้ชายคนนี้…ไม่รู้ว่าเทวดาองค์ไหนมาทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้กันนะ..
เสิ่นอีเวยที่กำลังคิดเพ้อไปเรื่อยจนเสียงเย็นยะเยือกของเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้ามาในโสตประสาทหู เธอถึงกับตกใจ
ในที่สุดเขาก็เห็นเธอจนได้… ใบหน้าเสิ่นอีเวยเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาทีละนิด ในใจเธอรู้สึกว่าเหมือนมีตัวอัลปาก้าหมื่นตัววิ่งพรวดเข้ามาชนเธออย่างจัง…
ไหนๆก็เห็นแล้ว งั้นก็กล้าหน่อยสิ เสิ่นอีเวยคิดได้ดังนั้นเลยทำท่าทางกล้าเผชิญหน้ากับเขา
เธอยืนอยู่ที่เดิมแต่สายตาที่ส่งให้เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นกลับเย็นชาสิ้นดี ไม่มีความรู้สึกใดๆ ตอนที่เธอกำลังคิดว่าจะตอบกลับเขาให้สมเหตุสมผลในสิ่งที่เขาเริ่มพูดกับเธอนั้น
อยู่ดีๆเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เริ่มพูดแทรกขึ้นมาก่อน การพูดในครั้งนี้ของเขานั้น เสิ่นอีเวยเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างจังราวกับว่าด้านนอกนั้นไหม้เกรียมแต่ด้านในกำลังนิ่มอร่อยแบบนั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่ร่างกายของเขาที่กำลังเอนพิงอยู่บริเวณรถยนต์นั้นค่อยใช้นิ้วชี้ ชี้ตรงมาที่เสิ่นอีเวยแถมกวักนิ้วเข้าหาตัวเขาอีก แล้วยิ้มอ่อนๆบริเวณมุมปากแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ : “กลับมาหาฉันนี่”
เสิ่นอีเวยถึงกับเซถลาเลยทีเดียว: “….”
ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นถึงกับเบิกตาค้างกันเป็นแถว : “….”
เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกไม่ถูกใจเท่าไหร่เพราะน้ำเสียงที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมานั้นเหมือนเรียกสัตว์เลี้ยงของตัวเองแบบนั้นเลย
ตอนนี้คนที่เธอไม่อยากเจอที่สุดก็คือเซิ่งเจ๋อเฉิง
เพราะว่ายิ่งเห็นยิ่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆระหว่างเธอกับเขาที่เคยผ่านมาด้วยกัน ในสมองของเธอนั้นมันวิ่งเข้ามาเป็นฉากๆเลยทีเดียวทั้งเรื่องก่อนแต่งงานและหลังจากแต่งงาน
คราวที่แล้วที่เจอหน้ากัน เธอก็พูดจุดยืนของตัวเองให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังมาหาเรื่องเธออยู่ได้?
ในเวลานั้นเอง เสิ่นอีเวยถึงจับสังเกตได้ว่าสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นคอยจ้องมองแต่สวี่เส้าเหิง เธอถึงกับตกใจขึ้นมา เพราะรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่มีความจำดีมาก ถึงแม้ว่าวันนั้นที่พวกเขาทั้งสามคนเจอหน้ากันหน้าตึกใหญ่นั่นแล้วมีการทักทายนิดหน่อยก็ตาม แต่คนอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงแน่น่อนว่าเขาจดจำสวี่เส้าเหิงได้เป็นอย่างดี
เสิ่นอีเวยเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้วเหมือนเขากำลังสงสัยว่าทำไมสวี่เส้าเหิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้กันนะ
เสิ่นอีเวยก็ไม่ได้เชื่อฟังเขากับคำพูดที่เขาบอกให้เธอเดินไปหาเลยแม้แต่น้อย หล่อนได้แต่ใช้สายตานิ่งๆตอบกลับไปแถมพูดเยาะเย้ยเขาอีก: “คุณเซิ่ง ตอนนี้พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่าใช้อารมณ์ความดื้อรั้นนั่นมาคุยกับฉัน”
เสิ่นอีเวยแทบจะไม่ไว้หน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงเลย เธอพูดต่อหน้าสาธารณชนขึ้นมา เพราะเธอคิดว่าภาพพจน์ของแต่ละคนนั้นตัวเองต้องเป็นคนรักษาภาพพจน์นั้นไว้เอง ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นมาคอยสร้างไว้ให้
ผู้ชายอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิงสำหรับในใจหล่อนนั้นมันก็เหมือนกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆไปตั้งนานแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องน่าห่วงหรือการที่หล่อนต้องมาคอยเคารพเชื่อฟังอีก
“หืม? คุณเสิ่นมั่นใจแล้วหรอ? เอางั้นผมก็คงทำได้แค่เดินไปอุ้มคุณกลับมาแล้วนะสิ” น้ำเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงช่างราบเรียบ ฟังแล้วก็เหมือนพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
เสิ่นอีเวยฟังจบแล้วถึงกับพูดไม่ออก
ชีวิตคนเรานี่เป็นเราที่กำหนดชะตากรรมเองไม่ใช่ว่าฟ้าเป็นคนกำหนดซะจริงๆเลย เธอประเมินความหน้าด้านของเขาน้อยเกินไปแถมต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วยยังกล้าพูดดูถูกเธอขึ้นมาอีก
เสิ่นอีเวยได้แต่ยืนจ้องมองเขาอย่างไร้อารมณ์ เธอมองออกเลยว่าใบหน้าของเขาที่แสดงออกมานั้นไม่ได้เคร่งเครียดแต่อย่างใด แต่ในดวงตาของเขากลับดูยืนกรานคำพูดนั้นที่ออกมา จนทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นกับคำพูดที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่เลย